ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ – บทที่ 8 ออโรร่าน้อยกับอาการป่วย(เหรอ)

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

“หนึ่ง สอง สาม….”

ขวับ ขวับ

เสียงดาบไม้สองเล่มแหวกอากาศดังขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน โดยเล่มแรกนั้นทั้งมีทั้งความรุนแรงและจังหวะที่สม่ำเสมอ ส่วนเล่มที่สองเสียงของมันขึ้นๆ ลงๆ อย่างไม่ค่อยไพเราะเท่าไหร่ ส่วนจังหวะน่ะเหรอ……โบกมือลาได้เลย

ฮือออ แล้วนี่มันอะไร ไอ้เราก็ฝึกก่อนเจ้าไรน์แถมยังแอบฝึกในห้องก่อนนอนอีกแล้วทำไมการฟันของเรามันอนาถได้เยี่ยงนี้ สงสัยต้องเป็นเพราะเจ้าร่างกายสาวน้อยนี่แน่ๆ เลยทำให้เราไม่มีแรงพอจะไปกำหนดแนวดาบ

“ออโรร่า ลูกไม่ต้องฝืนนะ เอาเท่าที่ทำได้….ส่วนไรน์ฮาร์ต ฟันต่อไปเรื่อยๆ ห้ามหยุด ถ้าหยุดวันนี้ไม่ต้องกินข้าว!”

คุณพ่อพูดมาที่ผมอย่างเป็นห่วง กลับกันกับน้ำเสียงที่พูดให้กับไรน์ที่แข็งกระด้างดูเหมือนเป็นอาจารย์ที่กำลังสอนลูกศิษย์อย่างเข้มงวด

ฮือออ เป็นอย่างที่เราคิดจริงๆ ด้วย พอเจ้าไรน์มา คุณพ่อก็ไปทุ่มฝึกให้มันรัวๆ ทิ้งเราไว้เป็นแค่ตัวประกอบประจำสำนัก… ทำไม…ทำไมคุณพ่อถึงทอดทิ้งผมมมมม

ผมได้แต่หันไปมองเจ้าไรน์ฮาร์ตอย่างเคืองแค้น ก่อนที่คุณพ่อจะเดินเข้ามาบังไว้แล้วยกตัวของผมขึ้นมาจากนั้นก็ยึดดาบของผมไป

“สำหรับออโรร่าวันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ มือลูกแดงหมดแล้ว”

“แต่หนู…แต่หนูยัง”

“ไม่มีแต่ทั้งนั้นนะออโรร่า นี่ถ้าลูก

ผมทำท่าจะเถียงเพราะอยากจะฝึกต่อ แต่ก็หยุดเมื่อเจอรอยยิ้มของคุณพ่อที่มาในรูปแบบเชิงบ่งบอกถึงการบังคับไม่ให้เถียง จึงได้แต่ก้มหน้าเสียดายต่อไป

จากนั้นคุณพ่อก็ปล่อยตัวผมลงก่อนที่ผมจะแยกตัวไปอาบน้ำตามคำสั่งของคุณพ่อ ก่อนออกไปคุณพ่อก็บอกเพียงแค่ว่าจะฝึกให้ไรน์มันต่อ….อิจฉาจริงๆ

“ให้ตายสิ เจ้าไรน์มันดีอะไรนักหนาคุณพ่อถึงทุ่มฝึกมันจังนะ”

ผมพูดบ่นไปพลางถอดเสื้อของตัวเองออกก่อนจะเอาชุดพวกนั้นโยนลงตะกร้าเตรียมซัก โดยตัวผมก็ได้แต่ถอนหายใจให้กับร่างของตัวเองที่ไม่ว่ายังไงก็ยังไม่ชิน จากนั้นก็กระโดดลงแช่น้ำร้อนอย่างสบายอารมณ์

นี่ก็ผ่านมาปีหนึ่งแล้วหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ซึ่งก็นับว่าดีจนน่าแปลกเพราะนอกจากเจ้าไรน์ที่เข้ามาแย่งเวลาฝึกของผมกับคุณพ่อแล้วนอกนั้นก็แทบจะเหมือนเดิมทุกอย่าง

โดยเฉพาะเรื่องศาสนจักรที่ตอนแรกผมคิดว่าหลังจากวันนั้นไม่นานพวกเขาคงได้ยกพวกมาลากผมเอาไปขึ้นหิ้งผูกผ้าสามสีให้ชาวบ้านบูชา แต่ที่ไหนได้ กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย

ชีวิตผมยังสงบสุขเหมือนเดิม หากจะมีอะไรแปลกไปจากเรื่องที่ชาวบ้านเข้าใจว่าผมเป็นนักบุญผู้สูงส่งมาเกิดนั้นก็คงมีแต่ชาวบ้านที่ทักทายผมด้วยน้ำเสียงที่แปลกไป ที่จริงก็ยังทักทายแบบสนิทสนมล่ะนะ แต่แววตาเนี่ยสิเปลี่ยนไปจริงๆ จากแค่มองเด็กน้อยแบบผู้ใหญ่เอ็นดู กลายเป็นสายตาคาดหวังซะอย่างงั้น….ไม่ค่อยชอบเลยแหะ

ไม่ค่อยชอบให้ถูกคนคาดหวังเลยจริงๆ แบบว่าพอคาดหวังแล้วทำไมไม่ได้ขึ้นมาคงได้ถูกเอาไปมองแง่ร้ายแน่นอน…ยิ่งคิดว่าเป็นนักบุญด้วยแล้ว หากผมสร้างอภินิหารไม่ได้แบบที่พวกเขาคิด พวกเขาไม่จับผมไปเผาเพราะคิดว่าเป็นแม่มดกันพอดีเรอะ

แถมไอ้ของที่ขึ้นชื่อว่านักบุญเนี่ยมันคือคนดังดีๆ ไม่ใช่หรือไงแล้วหากเป็นคนดังมันก็ต้องมีคนหมั่นไส้…….หวา สงสัยเราต้องหาอะไรทำเป็นผลงานสร้างชื่อเสียงกันเหนียวซะแล้วล่ะมั้ง เวลาโดนคนกล่าวหาจะได้เอาไอ้พวกนั้นมาอ้าง

“ดีล่ะ งั้นเสร็จนี่เราต้องรีบวางแผนอนาคต เราจะต้องเป็นผู้พลิกหน้าประวัติศาสตร์ของโลก”

เมื่อนึกขึ้นได้แบบนี้มก็ลุกขึ้นจากอ่างน้ำพร้อมชูมือขึ้นแบบพวกนักกีฬาเวลาได้รับกำลังใจ

“ออโรร่า สู้ค้…..เหวอ”

ตู้ม

แต่สงสัยว่าผมจะรีบลุกไปหน่อยทำให้เท้าดันลื่นล้มลงน้ำแตกกระจายทั่วห้องซะอย่างงั้น นี่ยังโชคดีที่หัวไม่ฟาดอะไร ไม่งั้นตัวผมคงดูไม่จืดแน่นอน

ผมค่อยๆ คลานขึ้นมาจากอ่างน้ำ แล้วกระโดดออกมาจากอ่างอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบคว้าผ้าขนหนูมาเพื่อจัดการร่างกายที่เปียกอยู่ให้เสร็จสรรพ แล้วตอนนั้นเองในขณะที่ผมกำลังยื่นมือไปหยิบเสื้อที่วางอยู่เพื่อมาใส่ ตัวผมก็ได้ตกใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เสื้อผ้าที่ปกติจะเป็นเสื้อผ้าสวยๆ น่ารักซึ่งคุณพ่อชอบซื้อมาแต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเสื้อผ้าสีขาวเรียบโดยมีสีดำปนบ้างเล็กน้อยตามชายขอบ

อันที่จริงถ้าถามว่าผมชอบไหม ผมก็ชอบนะ ไอ้พวกเสื้อเรียบง่ายเนี่ย แต่สำหรับตอนนี้น่ะมันไม่ใช่

เพราะการที่คุณพ่อที่เห่อลูกสาวซึ่งยัดเยียดชุดน่ารักๆ มีลายลูกไม้ติดตลอดเวลา จู่ๆ จะมาเปลี่ยนใจเอาชุดธรรมดาๆ มาให้ผมใส่นั้นคงไม่ใช่เรื่องปกติ ดังนั้นแล้วเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำอะไรสักอย่างแน่นอน

หากให้เดาตามสภาพการณ์ล่ะก็ตอนนี้คุณพ่อคงต้องการให้ผมใส่เจ้าชุดนี่อย่างจงใจแน่ ซึ่งการที่เด็กจะต้องใส่ชุดสุภาพแบบจงใจนั้นก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง

อย่างแรกคือการไปพบปะคนที่ยศสูงกว่าหรือพวกผู้ใหญ่ ซึ่งนี่คงไม่น่าใช่ เพราะคนที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านนี้มันก็มีแต่คุณตาผู้ใหญ่บ้านที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องพิธีการมากเท่าไหร่ แถมเวลาคุณพ่อพาผมไป แกก็จับผมยัดใส่ชุดน่ารักๆ ก่อนเอาไปอวดกับพวกชาวบ้านนั่นล่ะ

ดังนั้นแล้วประเด็นมันก็คงมาอยู่เรื่องสุดท้าย…….นั่นคือสถานที่ และสถานที่ซึ่งบังคับให้เราใส่ชุดแสนจะสุภาพนั้นก็มีอยู่ไม่กี่แห่ง

เนื่องจากที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวงหรือพวกเมืองใหญ่ ดังนั้นตัดสถานที่ทางราชการไปได้เลย เพราะงั้นแล้วสถานที่ซึ่งเข้ากับเงื่อนไขมันก็จะเหลืออยู่อย่างเดียว

“โบสถ์!!!!”

ผมเผลออุทานขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าสถานที่ซึ่งคุณพ่อคิดจะพาผมไปนั้นมันเป็นที่ไหน ทำให้ผมรีบหยิบชุดเดิมขึ้นมาใส่แล้วรีบวิ่งออกจากห้องน้ำไปทันทีเพื่อหวังจะเข้าไปหลบในห้องนอน

หึ อย่าคิดนะว่าผมรู้ไม่ทัน ที่แท้สถานการณ์สุดสงบตลอดหนึ่งปีคือการหลอกให้ผมตายใจจริงๆ สินะ ผมลืมไปได้อย่างไรกันนี่ ว่าที่นี่ถ้าจะส่งเด็กเข้าโบสถ์เพื่อเรียนรู้ทางศาสนาแล้วนั้นเด็กส่วนใหญ่ต้องพอรู้เรื่องหรืออายุประมาณหกปีขึ้นไปซึ่งผมก็ถึงช่วงเวลานั้นแล้ว….เข้าเค้าพอดี

ไม่มีวันหรอกน่า! รู้ไหมว่าพวกเด็กที่อยู่ที่โบสถ์น่ะ ชีวิตมันโคตรอนาถเลยนะ ทุกเช้าต้องตื่นเช้ามาสวดอ้อนวอนต่อไอ้พระเจ้าบ้านั่น ไหนจะต้องทำงานจิปาถะของโบสถ์ ซึ่งเด็กน้อยออโรร่าผู้นอนอืดอย่างผมนั่นไม่มีวันยอมรับได้หรอก

ที่สำคัญ……ชีวิตในโบสถ์น่ะมันขาดขนมหวาน! ได้ยินมาว่าหลายเดือนได้กินขนมที เพื่อเป็นการฝึกความอดทน ซึ่งสำหรับผมแล้ว ขนมเหล่านั้นคือความหวังเดียวที่ทำให้ผมอยู่โลกนี้ได้อย่างมีความสุข

เพราะงั้นหากการเข้าโบสถ์เพื่อเป็นสาวกของพระเจ้าจะต้องแยกห่างจากขนมหวานอันแสนสำคัญแล้วล่ะก็….ผมก็ขอยอมเป็นคนบาปที่ปฏิเสธพระเจ้าแล้วเสพติดขนมต่อไป!

“อ้าว ออโรร่านั่นลูกจะไปไหน”

แย่แล้ว สงสัยจะบ่นกับตัวเองมากไป พวกคุณพ่อกับไรน์ดูท่าจะฝึกเสร็จแล้วเพราะงั้นระหว่างที่ผมกำลังรีบวิ่งขึ้นห้องนอนก็เลยไปเจอกับทั้งสองคนที่เดินกลับเข้ามาพอดี

สกิลแสดงระดับ 5 : ทำงาน

“รู้สึกมึนหัวจังเลยค่ะ”

ร่างกายของผมล้มพับลงไปกับพื้นทันทีที่สติของผมคิดได้ว่าควรทำอะไรต่อ และเพื่อความแนบเนียนผมได้ค่อยๆ เอาเท้าข้างหนึ่งมาขัดอีกข้างดูราวกับผมเดินพลาด จากนั้นก็รีบปรับท่าของตัวเองอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันให้ตอนล้มไม่เจ็บมากเท่าไหร่

“ออโรร่า/ลูกพ่อ!!”

ทั้งสองคนเมื่อเห็นร่างของผมล้มลงก็รีบพุ่งตัวพยายามเข้ามารับทันที แต่ด้วยความที่ไรน์มันอยู่ใกล้กว่ามันเลยเข้าถึงตัวของผมก่อน….เหม็นเหงื่ออะ

“เป็นอะไรมากไหมออโรร่า?!”

ไรน์รีบพูดอย่างเป็นห่วง ซึ่งที่จริงก็อยากตอบกลับไปอยู่นะว่ากลิ่นเหงื่อนายนั่นล่ะที่จะทำให้ผมเป็นอะไร นี่เหงื่อออกหรือเอาเสื้อไปแช่เหงื่อ เหม็นอับโคตรๆ

แต่ไม่ได้ เพื่ออิสรภาพทางขนมหวาน ผมจะต้องแสดงแบบนี้ต่อไปเพื่อชลอเวลาการที่จะไปโบสถ์ และระหว่างป่วยก็ค่อยๆ คิดหาทางออก

“รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยน่ะ…นายไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกนะ”

ใช่ อย่างงั้นล่ะเนียนมากตัวผม เพราะสำหรับคนป่วยที่แท้จริงแล้วนั้นต้องพยายามให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองไม่ป่วยและพยายามให้คนอื่นไม่ต้องเป็นห่วงในขณะที่อาการดูย่ำแย่ ด้วยสิ่งนี้แล้วจะเรียกคะแนนความสงสารและความหนักของการป่วยได้มากเลยทีเดียว

“ไม่เป็นอะไรได้ยังไงกัน ดูน้ำเสียงของเธอสิ….เอ ตัวก็ไม่ร้อนแหะ”

จู่ๆ เจ้าไรน์ก็เอามือมาอังที่หน้าผากของผมแบบที่พวกพระเอกนิยายและละครชอบทำกัน แต่ขอโทษนะที่ผมไม่ได้ป่วย หึๆ แต่แน่นอนว่าระดับขั้นเทพแบบออโรร่าแล้วย่อมรู้ดีว่าการแกล้งป่วยบอกว่าตัวเองเป็นไข้ทั้งๆ ที่ไม่มีอาการนั้นมันโง่มากเพราะงั้นแล้ว…

“อืม….สงสัยแช่น้ำนานไปหน่อยเลยเวียนหัว แค่นั้นจริงๆ นะ”

เอาล่ะออโรร่า ยิ้มเข้าไว้ ยิ้มแบบพวกนางเอกในละครไทยสมัยก่อนเข้าไว้

“นายต่างหากล่ะฝึกอยู่ตลอดไม่หลับไม่นอนแบบนั้นระวังป่วยเอาได้นะ”

และเพื่อเสริมให้มันดูอลังการงานสร้างยิ่งขึ้น ผมจึงต้องแสดงความเป็นห่วงอีกฝ่ายไปด้วย

และดูเหมือนว่าการกระทำของผมมันจะได้ผล เพราะไรน์ที่ประคองตัวผมอยู่นั้นส่งสายตาของความเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก

“ห่วงตัวเองก่อนเถอะน่า”

ส่วนคุณพ่อน่ะเหรอ…ไม่รู้ว่าทำไมมีแวบนึงที่แววตาดูน่ากลัวขึ้นมาแต่ก็เพียงแค่นิดหน่อยก่อนที่จะหันกลับมามองที่ผมแล้วรีบไปหยิบเสื้อคลุมของตัวเองออกมา

เอ๊ะ…..รู้สึกแปลกๆ

จากนั้นคุณพ่อก็ได้ย่อตัวของเขาลงมาแล้วยื่นมือมาประคองตัวผม ซึ่งตอนแรกก็ไม่รู้ว่าทำไมผมรู้สึกถึงแรงแขนของทั้งสองคนที่มากขึ้นราวกับกำลังพยายามดึงอะไรบางอย่าง

….เอ่อ เข้าใจว่าเป็นห่วงแต่ไม่ต้องแย่งกันก็ได้ เรากลัว

แต่แล้วก็ดูเหมือนว่าคุณพ่อจะชนะ เพียงแค่แวบเดียวที่คุณพ่อหันไปจ้องตาของไรน์ ไรน์ก็ปล่อยมือของเขาออกทันที

อ๋อ แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าสายตาของลูกผู้ชายที่แค่มองตาก็เข้าใจกัน เอาล่ะเราต้องทำมั่ง…คุณพ่อได้โปรดอย่าส่งผมไปให้โบสถ์เลยนะ

ผมพยายามจ้องคุณพ่อเพื่อส่งกระแสจิตของตัวเองไปให้ ตอนแรกก็ดูเหมือนจะได้ผลแต่ไม่รู้ทำไมคุณพ่อถึงได้สะดุ้งแล้วหันหน้าไปหาไรน์ด้วยหน้าตาแบบเดิม

เอ้า ไหงกลับไปคุยกันเองแค่สองคนแบบนั้นล่ะ เอาคุณพ่อที่น่ารักของผมคืนมานะไอ้ไรน์

“ออโรร่าอย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ตอนนี้ลูกต้องห่วงตัวเองก่อนนะ ดูสภาพลูกตอนนี้สิแค่ยืนยังไม่ไหวเลย พ่อเป็นห่วงมากนะรู้ไหม”

อูว รู้สึกเจ็บในใจเล็กน้อยแหะที่ต้องโกหกคุณพ่อที่รักเราขนาดนี้ แต่ว่านี่ก็เพื่ออิสรภาพทางขนมนะออโรร่า ท่องไว้ๆ

“เพราะงั้นไม่ต้องห่วงนะ พ่อจะพาลูกไปรักษาที่โบสถ์เอง”

เอ้าเฮ้ยยยยยยยยย

คุณพ่อ เอาความรู้สึกผิดของผมคืนมาเลยนะ!

 

————————————————————————————–

ความคิดของไรน์ฮาร์ต

นี่ก็หนึ่งปีแล้วที่ผมได้มาฝึกที่บ้านหลังนี้ ซึ่งก็ต้องขอบคุณอาจารย์ซิกค์ที่สั่งสอนผมเป็นอย่างดี ทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่าฝีมือของผมนั้นแตกต่างจากปีที่แล้วเป็นอย่างมาก

“อืม การฟาดฟันในแต่ล่ะครั้งของเธอเฉียบคมกว่าก่อนมากเลยนะไรน์”

หลังจากส่งออโรร่าไปแล้วคุณซิกค์ก็กลับมามองผมฝึกต่อ ก็ดีใจกับคำชมของเขาอยู่หรอกนะ แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่ผมยังแอบสงสัยว่าทำไมเวลาออโรร่าอยู่ด้วยคุณซิกค์ชอบดูโหดเป็นพิเศษกับผมจัง

บางทีคงอยากให้ออโรร่าเห็นเป็นตัวอย่างล่ะมั้ง

จะว่าไปตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา คุณซิกค์ก็ฝึกกับผมอย่างจริงจังมาตลอด ในตอนชีวิตปกติก็ดูเหมือนเป็นคนเล่นๆ ก็จริงอยู่ แต่พอมาเข้าสู่ช่วงฝึกซ้อมแล้วคุณซิกค์กลับเปลี่ยนเป็นยักษ์มารได้เลยทีเดียว

ความเข้มงวดในการฝึกแต่ละช่วงนั้นเรียกได้ว่าเข้มข้นกว่าการฝึกของที่ไหนๆ ซึ่งผมเคยเห็นมาระหว่างการเดินทาง นี่คงเรียกได้ว่ายอดอาจารย์สินะ

“ไรน์สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ”

จู่ๆ คุณซิกค์ก็สั่งหยุดการฝึกซ้อมฟันดาบลมของผมซะอย่างงั้น ทำเอาผมแอบงงเล็กน้อยว่าทำไม เพราะเมื่อครู่ยังสั่งให้ผมเพิ่มจำนวนมากกว่าเดิมแท้ๆ

“จากเท่าที่ดูแล้ว สำหรับเธอนั้นฉันว่าการฟันดาบลมคงไม่ต้องแล้วล่ะ”

ได้ยินแบบนี้ผมก็ถึงกับเบิกตากว้างดีใจ เพราะความหมายของมันคือการที่ผมจะได้ฝึกในขั้นต่อไปแล้วนั่นเอง

ผมรีบเอาดาบไปเก็บในจุดวางของมันจากนั้นก็เดินไปหาคุณซิกค์ โดยเราสองคนก็เดินไปคุยเพื่อพักจากการซ้อม

“หนึ่งปีที่ผ่านมาเธอแสดงให้ฉันเห็นแล้วว่าเธอพร้อมกับการรับการฝึกจากฉันอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือทักษะที่แสดงให้เห็น และที่สำคัญที่สุดคงเป็นความพยายาม”

ผมพยักหน้ารับ โดยในใจก็ได้แต่แอบยินดีกับคำชมนี้ ซึ่งหากพูดถึงหนึ่งปีที่ผ่านมาแล้วนอกจากการฝึกนั้นผมก็ยังแสดงให้เห็นถึงความกตัญญูต่ออาจารย์แบบที่คุณแม่เคยสอนอยู่เป็นประจำ

เนื่องจากผมไม่มีที่อยู่ คุณซิกค์เลยให้ผมนอนชั้นล่างซึ่งเป็นห้องว่างที่ยังไม่ได้ใส่ของอะไร ผมเลยปูฟูกนอนตรงนั้นได้ ส่วนชีวิตประจำของผมนอกจากฝึกดาบก็คือการทำงานบ้านทุกอย่างแทนคุณซิกค์และดูแลออโรร่าในขณะที่คุณซิกค์ออกไปทำงานข้างนอกซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นงานของพวกนักผจญภัย

แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมอีกนั่นล่ะ เวลาก่อนที่คุณซิกค์จะออกไปนั้นทำไมถึงชอบย้ำกับผมนักหนาเรื่องการห้ามเข้าไปใกล้ออโรร่ามากนัก…ผมก็ว่าร่างกายเธอแข็งแรงดีนะ แถมผมเองก็ไม่ได้ป่วยอะไรด้วย น่าสงสัยจริงๆ

“อีกอย่างจากการที่ฉันดูแล้ว ก็ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไรที่รูปแบบของเธอน่าจะตรงกับฉันพอดีเพราะงั้นเลยคิดว่าน่าจะสอนเธออย่างเต็มที่ได้”

ผมพยักหน้าอย่างดีใจพร้อมกับเผลอยิ้มออกมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ กับเรื่องที่ได้ยินซึ่งมันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าในครั้งถัดไปของการฝึกผมจะได้เพิ่มพูนฝีมือของตัวเองได้อีก….ผมจะแข็งแกร่งมากขึ้น

แข็งแกร่ง..แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเอง….แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องเธอคนนั้น

“ออโรร่านั่นลูกจะไหนน่ะ”

ผมกับคุณซิกค์ที่เดินเข้ามาในบ้านก็บังเอิญเจอเข้ากับออโรร่าที่เพิ่งออกจากห้องน้ำ โดยตัวเธอในตอนนี้ดูท่าจะรีบออกมาจากห้องน้ำ โดยดูได้จากผมสีขาวที่ยังคงเปียกอยู่ แต่มีอย่างหนึ่งที่แปลกไปนั่นคือชุดของเธอเพราะปกติจะชอบใส่ชุดลูกไม้น่ารักแต่ตอนนี้กลับเป็นชุดขาวดำดูเรียบง่ายทว่ากลับไม่ทำให้ความน่ารักของเธอลดเลย ถ้าจะเรียกก็คงน่ารักแบบเรียบร้อยล่ะมั้ง

“รู้สึกมึนหัวจังเลยค่ะ”

“ออโรร่า!”

หัวใจของผมแทบหล่นวูบทันทีเมื่อเห็นร่างของออโรร่าที่ล้มลง ตัวผมจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปหาเธอแต่ว่าก็ช้าไป ร่างของเธอล้มกระแทกลงกับพื้นไปก่อน นั่นทำให้ผมรู้สึกตกใจยิ่งกว่าเดิม

ผมพยายามเรียกสติของเธอขึ้นมา ซึ่งเมื่อเห็นว่าเธอลืมตาขึ้นมาแล้วยิ้มให้ผมก็ทำให้รู้สึกคลายกังวลได้ไปนิดหน่อยทว่าใบหน้าของเธอยังไม่ค่อยสู้ดีนักทำให้ผมอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้

“เป็นอะไรมากไหมออโรร่า?!”

“รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยน่ะ…นายไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกนะ”

เธอตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูงดงามราวกับต้องการให้คนที่สนทนาด้วยกันกับเธอนั้นหายกังวลแต่นั่นมันทำให้ผมยิ่งกังวลเข้าไปใหญ่

“ไม่เป็นอะไรได้ยังไงกัน ดูน้ำเสียงของเธอสิ….เอ ตัวก็ไม่ร้อนแหะ”

กลัวว่าเธอจะเป็นหวัดผมเลยได้ลองเอามือไปทาบกับหน้าผากของเธอแต่ก็ไม่รู้สึกว่ามันร้อนเท่าไหร่ แต่กลับกันผมกลับรู้สึกถึงความเย็นยะเยือก….ไม่ใช่เธอหรอกนะ แต่หลังของผมนี่ล่ะ เย็นวาบขึ้นมาราวกับถูกจิตสังหารพุ่งเข้ามาหาโดยตรง

“อืม….สงสัยแช่น้ำนานไปหน่อยเลยเวียนหัว แค่นั้นจริงๆ นะ”

ออโรร่ายังคงตอบแบบเดิม เธอยังคงพูดให้ผมกับคุณซิกค์หายกังวลตามแบบฉบับของเธอ แต่จะให้ไม่เป็นห่วงได้ไงก็เสียงของเธอน่ะยังดูอ่อนเพลียขนาดนั้นเลย

แช่น้ำนานไป…..ไม่หรอกน่าออโรร่า ไม่มีคนแช่น้ำนานที่ไหนอาการเป็นหนักขนาดนั้นหรอกนะ

หรือว่าที่เห็นรีบวิ่งตอนนั้นก็เพื่อปิดบังอาการของตัวเอง ปิดบังไม่ให้รู้ว่าเธอนั้นกำลังป่วยเพื่อไม่อยากให้ใครต้องเป็นกังวล….เหมือนกับตอนนั้น

ตอนนั้นที่เธอใช้พลังรักษาผม ผมยังจำได้ดี สีหน้าของความทรมานของเธอในการใช้พลังที่ทุกคนต่างชื่นชม ทุกคนนั้นเห็นผลลัพธ์และชื่นชมกับมัน แต่ผม ผมเห็นกระบวนการ กระบวนการว่าเธอต้องทนเจ็บปวดขนาดไหนเพื่อร่ายเวทรักษาให้ผม

นั่นสินะ เวทรักษาที่รักษาได้ทั้งร่างกายและกำลังขนาดนั้นค่าตอบแทนของมันคงจะต้องสูงมากแน่ๆ แล้วคราวนี้ล่ะ? คราวนี้เธอได้ทำอะไรกัน

ถึงผมจะไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าด้วยนิสัยของเธอ นิสัยที่รักการช่วยผู้อื่นของเธอ คงทำให้ออโรร่าต้องแอบใช้เวทที่ได้รับการประทานมาจากพระเจ้าทำอะไรบางอย่างเป็นแน่

เพราะงั้นผมจึงรู้สึกวางใจไม่ค่อยได้

“นายต่างหากล่ะฝึกอยู่ตลอดไม่หลับไม่นอนแบบนั้นระวังป่วยเอาได้นะ”

และก็เช่นเคย เธอนั้นยังคงเป็นห่วงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ น้ำเสียงของเธอถามผมด้วยความเป็นห่วง ทั้งๆ ที่ตัวผมไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาแท้ๆ

แต่ผมนึกไม่ถึงจริงๆ นะว่าเธอจะรู้ด้วยว่าช่วงกลางคืนผมแอบซ้อมเงียบๆ คนเดียวอยู่ในห้องตลอด บางทีเธอคงอาจได้ยินเสียงมันก็ได้มั้ง

นั่นสินะ เพราะเธอเป็นแบบนี้ถึงได้เป็นนักบุญอย่างแท้จริง คอยเฝ้าดูทุกคนอย่างเป็นห่วงตลอดและคอยคิดช่วยเหลือคนอื่นตลอดโดยไม่สนว่าตัวเองจะเป็นอะไร

ถึงในใจผมจะรู้สึกดีใจมากที่เธอรู้เรื่องของผมและเป็นห่วงผมแต่มันก็ทำให้ผมเจ็บปวดมากขึ้นเมื่อเห็นสภาพของเธอในตอนนี้ซึ่งผมไม่สามารถช่วยอะไรได้

“ห่วงตัวเองก่อนเถอะน่า”

ผมได้แต่พูดแบบนั้นออกไปอย่างเจ็บใจในความไร้ความสามารถของตัวเอง ซึ่งสุดท้ายแล้วคุณซิกค์ก็เข้ามาเพื่อประคองออโรร่าไปรักษา ที่จริงผมอยากทำเองอยู่น่ะเพราะแม้จะเล็กน้อยแต่ผมก็อยากจะทำเพื่อเธอ แต่ว่าความน่ากลัวของคุณซิกค์ที่ส่งมาทำเอาผมต้องยอมถอย

พวกเรารีบพาออโรร่าขึ้นรถม้าก่อนจะนำตัวไปที่โบสถ์ทันที แต่ผมก็รู้สึกเป็นกังวลมากขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของออโรร่าที่แย่ลงไปเรื่อยๆ

หรือว่าอาการจะหนักขึ้น

…โธ่เว้ย นี่ถ้าเราพอทำอะไรได้ล่ะก็

เราต้องแข็งแกร่งขึ้น แข็งแกร่งขึ้นโดยไม่ใช่แค่ร่างกายแต่ต้องเป็นทุกอย่าง ทุกอย่างที่จะสามารถช่วยเหลือเธอคนนั้นได้ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม

และผมก็ได้ให้สัญญากับตัวเองไว้ สัญญาที่ผมจะไม่มีวันลืมเด็ดขาด

————————————————————————————————————-

จบแล้วกับตอนสบายๆ นะครับ พักถังกาวแล้วถ่ายออกกันเล็กน้อยนะครับเดี๋ยวมันจะเกินขนาด ดังนั้นตอนนี้เลยไม่ขอจัดหนักจัดเต็มเพื่อให้ทุกท่านพักหายใจนะครับ 555+

ช่วงนี้แต่งช้าขอโทษด้วย ติดกิลวอร์กับpso2 อยู่ เพราะงั้นจะพยายามเร่งเข็นทั้งสองเรื่องเรื่อยๆ จ้า

ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจ

 

 

 

 

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

Status: Ongoing
ตายไปต่างโลกไม่พอ ดันโดนเสกให้เกิดเป็นสาวน้อยน่ารักอีก หนักกว่านั้นไอ้พระเจ้าเฮงซวยดันสาปให้ทุกคำพูดที่จะด่ามันกลายเป็นสรรเสริญมัน เลยทำเอาชาวบ้านเข้าใจผิดว่าผมเป็นนักบุญซะงั้น เรื่องราวของสาวน้อยออโรร่าที่ถูกพระเจ้าให้พร(?) ไม่ว่านางจะพูดสิ่งใดก็ออกมาเป็นคำสรรเสริญพระเจ้าที่ออกมาจากจิตใจอันแน่วแน่ซึ่งแม้แต่เหล่าคนบาปทั้งหลายก้ยังต้องซึ้งในความศรัทธาของนาง (เรอะ) เอาล่ะ เรื่องราวน่ารักสดใสปนกาวเป็นถังขอเปิดอ้อมอกต้อนรับทุกท่านให้สูดกาวไปร่วมกันกับเหล่าตัวละครทั้งหลายที่ไม่รู้ว่าเมามาจากไหนกันเถอะ! ที่จริงเป็นเรื่องที่ลงในเด็กดีนานแล้วแต่มารีไรท์เพื่อแก้คำต่าง ๆ ครับ ส่วนตอนล่าสุดก็อัพเดทเรื่อย ๆ ในเด็กดี จะพยายามแก้ตอนเก่าให้ทันตอนใหม่ครับผม

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท