“ตัวผม ชาร์ล เรสเวน องค์ชายอันดับสองแห่งราชวงศ์เรสเวน ขอประกาศสถานะการหมั้นหมายของพวกเราอย่างเป็นทางการครับ”
เมื่อสิ้นเสียงลง ความสงบของโบสถ์ซึ่งเหลือน้อยลงอยู่แล้วกลับยิ่งน้อยลงเข้าไปใหญ่ เหล่าคนที่รายล้อมมาเรียตอนนี้ต่างแตกตื่นคุยกระซิบกระซาบกันออกรสชาติ
ส่วนตัวผมที่ได้ยินเรื่องสุดจะไม่คาดถึงนั้น ตอนนี้ได้อ้าปากค้างแบบจับเรื่องจับราวไม่ถูกแล้ว เพราะตั้งแต่อยู่ที่มหาวิหารนี้มาก็เกือบเดือน แค่ชีวิตประจำวันก็ปวดหัวพออยู่แล้ว มาคราวนี้มาเจอเรื่องหมั้นหมายบ้าบออะไรนี่ ตัวผมยิ่งอยากบ้าเข้าไปใหญ่
แล้วที่สำคัญ เรื่องนี้มันบ้าอะไรกันฟะ มาบอกว่าประกาศการหมั้นหมายอย่างเป็นทางการกับผมเนี่ยนะ ถามจริงเหอะ นี่จะหมั้นทั้งทีได้ถามความเห็นอีกฝ่ายบ้างไหม คิดว่าเป็นเจ้าชายแล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอไง
แถมที่สำคัญ ให้มาหมั้นกับใครไม่หมั้น ให้มาหมั้นกับไอ้เด็กแก่แดดหน้าตาดูหลงตัวเองคนนี้เนี่ยนะ จะบ้ารึไง ขืนได้แต่งงานกันจริงๆ ชีวิตผมต้องอยู่ในนรกตลอด 24 ชั่วโมงแน่นอน
ดูสิ ตอนนี้เจ้าหมอนี่ไม่ใช่แค่ก้มตัวลงแบบอัศวินเคารพเจ้าหญิง แต่ดันมาจูบมือผมแบบที่พวกในหนังชอบทำกัน แค่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีเดียวหลังมันทำ ผมก็รู้สึกหนาวไปทั่วสันหลัง ขนทั่วร่างกายของผมลุกวูบราวกับถูกผีหลอก
…อี๋ หยะแหยงง่ะ!
ผมรีบชักมือกลับขึ้นมาพร้อมกับปัดสะบัดหลังมือของตัวเองที่ถูกจูบ ก่อนจะมองไปที่หมอนั่นแบบอึ้งๆ กับการกระทำที่สุดแสนจะแก่เกินวัย
“นี่…นี่มัน”
มือของผมสั่นไปหมด เหตุผลไม่ใช่อะไรแต่เป็นการที่ผมกำลังหักห้ามอาการของตัวเองไม่ให้เอามือของผมตบอัดหน้ามันซะก่อน
ใจเย็นไว้ ออโรร่า ใจเย็นไว้ นั่นมันเจ้าชายเลยนะเว้ย นั่นมันเจ้าชาย ขืนเธอทำอะไรไปล่ะก็ รับรองเรื่องบานปลายหนักกว่าเดิมแน่นอน
แต่ก็แค่กระทำแบบให้คนอื่นเห็นล่ะนะ!
หึ ตอนแรกแค่จะเล่นงานให้เข็ดหลาบ แต่มาทำงี้สงสัยแกคงได้ไปหาท่านยมแน่นอน ไปแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวแน่!
พอนึกถึงแผนการที่วิ่งเข้ามาในหัวเมื่อครู่มันก็ทำให้ผมเผลอแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย เพราะหากมันสำเร็จล่ะก็ มันก็จะการันตีอิสรภาพในชีวิตของผมได้อีกมากเลยล่ะ
“เป็นรอยยิ้มที่งดงามมากเลยครับ”
งดงามกับผีเด้
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรแต่เจ้าชาร์ลที่เห็นผมยิ้มออกมาแบบนี้แทนที่จะกลัวเพราะจับได้ถึงแผนการอันชั่วร้ายจากรอยยิ้มอันชั่วร้าย มันกลับยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มแสนงดงามกระชากใจสาว
หรือไอ้นี่มันเป็นมาโซฟะ? นี่พอเราแสยะยิ้มใส่มันทีไรมันชอบดีใจทุกทีเลย ต้องใช่แน่ๆ ไอ้บ้านี่มันต้องเป็นมาโซให้คนทำร้ายด้วยสีหน้า!
“เข้าใจครับว่าคุณคงตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ตัวผมเองก็เช่นกัน ไม่นึกเลยว่าจะได้เกียรติให้เป็นคู่หมั้นกับนักบุญเช่นคุณแบบนี้”
ตกใจกับผีพระบิดาเอ็งสิ อย่ามาแหลผมนะ ไอ้เด็กอำนาจเยอะอย่างแกน่ะมันต้องอยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้แบบไม่ต้องสืบ ให้เดาว่าคงวิ่งร้องไห้ไปซุกอกพ่ออกแม่แล้วขอร้องแน่นอน หนอยไอ้ชั่ว!
“แต่ไม่ต้องห่วงนะครับว่าจะเป็นการรับรองเพียงฝั่งเดียว เพราะทางท่านสังฆราชเองก็ได้รับทราบเรื่องนี้แล้ว ท่านเองก็เห็นดีเห็นงามด้วย”
แกก็ด้วยงั้นเรอะ ไอ้สังฆราชจอมมโน! นี่มันรวมหัวกันจับคลุมถุงชนชัดๆ เลยนี่หว่า ยอมไม่ได้ คนสมัยใหม่ผมจะยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ยิ่งเป็นเจ้าเด็กหัวกระโปกหลงตัวเองแบบนี้ด้วยแล้ว ผมจะยอมให้มันมายุ่งกับออโรร่าน้อยผู้น่ารักนี้ไม่ได้เด็ดขาด
หึๆ เพราะงั้น เอ็งเตรียมตัวตายได้เลย ไอ้ชาร์ล อย่าหวังนะว่าจะได้กลับวังไปแบบครบสามสิบสอง
“เอ่อ….มาพูดเรื่องนี้ในที่แบบนี้คงไม่ดีเท่าไหร่นะคะ”
ใช่ ในที่ที่คนเยอะแบบนี้น่ะ มันไม่เหมาะสมกับที่จะฆ่าแกหมกท่อเลยแม้แต่น้อย
เจ้าชายมาโซดูเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูด ทำให้เขาโค้งหัวของเขาลงอย่างช้าๆ ก่อนจะหันมายิ้มให้ในแบบที่เด็กสาวคนอื่นคงใจเต้นตึกๆ …..หึ เด็กกระโปกอย่างแกอย่าฝันเลย
“นั่นสินะครับ ผมเองคงตื่นเต้นไปจนลืมเรื่องนี้เลย ต้องขออภัยด้วยจริงๆ เช่นนั้นเราหาที่คุยที่อื่นน่าจะดีกว่านะครับ”
เมื่อสรุปได้แบบนี้ ผมกับเขาแยกตัวออกไป ซึ่งระหว่างเดินออกไปมันก็มีเสียงนกเสียงกา มาอวยว่าคู่นี้ช่างเหมาะสมบ้างล่ะ นี่เป็นคู่ที่พระเจ้าจัดมาให้โดยเฉพาะบ้างล่ะ…บรึ๋ย
แต่แล้วพวกกองอวยก็ถูกแยกวงเมื่อท่านนักบวชชั้นสูงเดินกลับมาก่อนที่จะสั่งให้พวกเขากลับไปทำภารกิจประจำวันของตัวเอง ซึ่งผมที่เป็นนักบุญและอยู่ในช่วงปรับตัวทำให้ว่างพอมาเดินเล่นกับเจ้าชายมาโซนี่ได้
“ถ้างั้นไปคุยที่สวนดีไหมคะ?”
ใช่แล้ว หากจะฆ่าคนมันต้องฆ่าหมกพงหญ้า เพราะงั้นสวนจึงเป็นที่ง่ายที่สุดต่อการซ่อนศพ
ตอนนี้ไม่รู้ว่าเพราะความเครียดที่สะสมมาตลอดทั้งเดือนมันมาระเบิดอะไร แต่ในหัวตอนนี้ของผมนั้นโคตรจะเต็มไปด้วยความรุนแรง และเหตุผลที่ควรจะมีดันพุ่งระเบิดสลายกลายเป็นปุ๋ย
หึๆ ต่อให้แกจะรอดมาได้ แต่คงไม่สมประกอบและพอแบบนั้นผมก็มีข้ออ้างในการยกเลิกการหมั้นด้วยเหตุผลว่าเศร้าใจที่ไม่สามารถช่วยแกได้ หรือต่อให้มันพลาดถูกจับได้ ไอ้สถานะนักบุญบ้าๆ นี่ก็จะโดนถอดออกและตัวผมก็จะเป็นอิสระ
ฮ่าๆ จงตายซะไอ้ชาร์ล จงตายเพื่อขนมหวานของฉันซะ
เอาล่ะเริ่มแผนการที่หนึ่ง
“เฮ เรื่องเป็นอย่างงั้นเองเหรอคะ”
ตอนนี้ผมกับชาร์ลได้มาอยู่ที่สวนของมหาวิหารเป็นที่เรียบร้อย ตัวสวนนั้นเป็นสวนด้านหลังของวิหารซึ่งมีความใหญ่มาก โดยมันถูกจัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทางเดินทั้งสี่ซึ่งถูกรายล้อมไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์พุ่งเข้าไปรวมกันอยู่ที่น้ำพุขนาดใหญ่ซึ่งมีเทวดาทั้งสี่คอยถือลูกแก้วที่พ่นน้ำออกมา
ส่วนตอนนี้ที่ผมพูดอยู่กับชาร์ลนั้นกำลังทำเป็นเออออกับเรื่องที่หมอนี่ชวนคุยมา ก็นับว่าชีวิตมันก็ดูสมเป็นเจ้าชายดีล่ะนะ ทั้งมีความกดดันจากครอบครัวทั้งมีความกดดันจากสงครามการเมืองภายในราชวัง
แถมเท่าที่ได้ยินข่าวมา เจ้าชายนี่ก็เป็นอัจฉริยะซะด้วยสิ เพราะเห็นว่าไม่ว่าจะเรียนรู้อะไรก็ดันเรียนรู้ได้เร็วจนเกินวัยแถมยังทำได้ดีมากอีกด้วย นั่นคงทำให้เหล่าขุนนางหลายๆ คนต่างหวังจะเอาไปเข้าในเกมการเมืองของตัวเอง เพราะงั้นขั้วอำนาจทางการเมืองจึงเริ่มเกิดขึ้นมาโดยที่เจ้าตัวบอกว่าไม่อยาก
ว่าแต่ผมฟังแล้วก็แอบทึ่ง ๆ นะ เพราะเจ้าหมอนี่ก็เป็นเด็กอายุพอๆ กับผมแท้ๆ แต่ความคิดอ่านของมันดันล้ำหน้ากว่าเด็กทั่วไปเยอะมากบางทีอาจเยอะกว่าผม….ไม่ ผมที่อายุจริงๆ เกือบยี่สิบนั้นไม่ยอมรับหรอกเฟ้ย
“ครับ ตัวผมน่ะแค่อยากอยู่ชีวิตอันแสนเรียบง่ายในราชวังก็พอใจแล้ว”
เรียบง่ายตายล่ะ ได้ข่าวว่าประเทศเรสเวนน่ามันรวยมาก ทำให้ทางราชวงศ์มีเงินเหลือใช้เล่นมากอยู่พอตัว แถมดูจากชุดที่เจ้าหมอนี่ใส่ เนื้อผ้ามันดูหรูกว่าชุดที่ผมใส่ตอนแรกนับสิบเท่าได้มั้ง
“ว่าแต่เห็นบอกว่าท่านเก่งดาบด้วยนี่คะ?”
“ฮะๆ นั่นแค่เรื่องที่ทุกคนลือกันไปเองครับ ผมก็แค่เรียนรู้เร็วกว่าคนอื่นเล็กน้อยเท่านั้นเอง ท่านนักบุญสนใจเรื่องนี้ด้วยงั้นเหรอครับ?”
“เรียกว่าออโรร่าก็ได้ค่ะ”
หึๆ ตำนานได้ว่าไว้ เวลาจะลอบสังหารใครต้องทำให้อีกฝ่ายมันตายใจก่อน เพราะงั้นแล้วผมจึงแสร้งทำเป็นสุภาพกับมันเพื่อให้มันคลายการป้องกันตัวของตัวเองลง
“ได้ครับ ออ…เอ่อ ออโรร่า”
“ค่ะ”
เจ้าหนูนี่เริ่มพูดออกมาอย่างเขินอายซึ่งภาพมันก็ดูน่ารักอยู่นะ ภาพของเจ้าชายที่ดูหล่อแต่กลับเขินที่จะพูดชื่อของสาวน้อยเนี่ยแต่ว่า…..นั่นมันต้องเป็นเล่ห์จีบสาวของไอ้เด็กแก่แดดนี่แน่นอน ดูจากคำพูดคำจาแล้ว มันต้องเชี่ยวเรื่องพวกนี้แน่นอน
“ถามว่าสนใจไหมต้องตอบว่าแน่นอนค่ะ เพราะคุณพ่อของฉันเองก็เป็นนักดาบที่เก่งมาก ฉันฝันว่าสักวันนึงจะเป็นนักดาบที่เก่งที่สุดแบบคุณพ่อค่ะ”
ใช่ นั่นคงจะเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีมารผจญแบบไอ้ไรน์เข้ามาขัดขวางซะก่อนล่ะนะ
“งั้นเหรอครับ ไม่อยากเชื่อเลยนะครับ”
ชาร์ลพูดมาด้วยสีหน้าทึ่งเล็กน้อย แต่มันก็แน่ล่ะ มีเด็กผู้หญิงบ้าที่ไหนมาบอกว่าตัวเองชอบฝึกดาบกันเล่า ไม่สินี่อาจเป็นการดีก็ได้ ถ้ามันไม่พอใจที่ผมไม่ใช่สาวน้อยแสนเรียบร้อยตามที่มันหวังมันอาจจะงอแงขอพ่อขอแม่ถอนหมั้นก็ได้ อืมๆ
“ไม่ชอบงั้นเหรอคะ?”
“เปล่าครับ แค่รู้สึกว่าน่าสนใจมากแค่นั้นล่ะครับ”
หึ เริ่มเผยหางออกมาแล้วสินะ ถ้างั้นทางผมก็ขอดำเนินแผนการของตัวเองบ้างก็แล้วกัน
จากนั้นผมก็คุยกับชาร์ลต่อกันเล็กน้อยตามภาษาที่ดูจะเหมือนเด็กคุยกัน แต่ระหว่างคุยผมก็ค่อยๆ ลากชาร์ลมาอยู่จุดใกล้ๆ โรงเก็บปุ่ยซึ่งจะเป็นที่มันจะได้หายใจเป็นครั้งสุดท้าย
“เอ่อ เหมือนฉันนึกได้ว่าลืมของ ช่วยรอตรงนี้หน่อยได้ไหมคะ”
ผมบอกให้เจ้าชายยืนรออยู่ตรงพอดีกับบริเวณริมหน้าต่างชั้นสองซึ่งมันเป็นบริเวณที่เหมาะเจาะแกการรอบสังหารแบบไม่ต้องสืบ
ใช่ แผนการของผมนั้นช่างง่ายดายแต่น่าจะได้ผล เพราะนี่คือแผนการซึ่งผมได้เรียนรู้มาจากการเล่นเกม HITMAN ซึ่งเราแค่ล่อเหยื่อมายืนจุดที่ต้องการแล้วก็จัดการทิ้งของใส่หัวให้มันดูเป็นอุบัติเหตุซะก็สิ้นเรื่อง
“ยินดีครับ”
ชาร์ลยิ้มยินดีมาให้ โดยไม่รู้ซะแล้วว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า มันจะได้ไปยิ้มอยู่กับตัวนอนใต้วิหาร
ระหว่างที่ผมก้มหัวขอแยกตัวไป ไม่รู้ว่าทำไมชาร์ลถึงได้มีสีหน้าตกใจเล็กน้อยเมื่อมองขึ้นไปด้านบนแต่ก็เปลี่ยนสีหน้ากลับมาทันทีเมื่อเห็นผมหันมาหา
เมื่อผมเดินเข้ามาในตัวอาคาร ผมก็ค่อยๆ เดินขึ้นไปอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้มันดูผิดปกติ เนื่องจากในบริเวณนี้ยังมีคนทำงานอยู่หนึ่งคน
เอ ไม่รู้ด้วยว่าคนทำปุ๋ยต้องใส่ผ้าปิดหน้าปิดตาขนาดนั้นนะเนี่ย…สงสัยกันฝุ่นมั้ง
ผมเดินผ่านบุรุษใส่ผ้าปิดหน้าจนเห็นเพียงแค่ตา ซึ่งชุดเขานั้นมันดูแปลกมากเพราะมันดูหนาขึ้นจนคล้ายกับซุกอะไรอยู่ข้างใน
“นักบุญเข้ามางั้นเหรอ! สงสัยต้องเปลี่ยนที่”
เหมือนหูผีของผมจะได้ยินอะไรแปลกๆ จากชายคนที่ว่า ซึ่งเขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกพร้อมสะดุ้งตัวทันทีเมื่อเห็นว่าผมเข้ามา
แต่ผมก็ช่างหัวเขาไปเพราะในที่ลับๆ แบบนี้คงมีใครแอบมาทำอะไรอยู่แล้ว อย่างเช่นมานั่งดื่มเหล้า เพราะในวิหารห้ามเรื่องนี้ดังนั้นพวกคนงานที่ชอบเหล้าคงอดไม่ไหวเลยแอบมากินกันล่ะมั้ง
เมื่อผมเดินขึ้นไปก็ราวกับโชคดีเหมือนมีพระเจ้ามาเสกของให้ เพราะไม่รู้ว่าด้วยอะไรถึงได้มีกระถางต้นไม้วางไว้อยู่ที่ขอบหน้าต่างอยู่แล้ว ทำให้ผมไม่ต้องลำบากไปเอาดินมายัดใส่กระถางให้มากความ
งานนี้เอ็งอย่าอยู่เลยเจ้าชาย
เหมือนดั่งมีปีศาจมาเป่าหู ตัวผมได้พุ่งตัวเข้าไปคว้าเจ้ากระถางต้นไม้นั้นทันทีและเมื่อผมจับมันเข้ามาอยู่ในมือ รอยยิ้มผมก็แสยะออกมาอย่างชั่วร้าย
ฮ่าๆ ลาก่อนเจ้าคู่หมั้น อย่าหวังเลยว่าจะเคลมออโรร่าคนนี้ได้ง่ายๆ น่ะ
แด่ขนมหวาน จงสมองเสื่อมไปซะ!
แต่ด้วยความซวยหรืออะไรไม่รู้ ทำให้ผมดันมาเหยียบเจ้าหน้าไม้ตรงพื้นที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ไหนและเพราะผมกำลังถือเจ้ากระถางต้นไม้อยู่ ด้วยความหนักของมันแล้วทำให้ร่างของผมซึ่งมีแรงอยู่น้อยนิดร่วงลงไป
“หวา”
“ท่านออโรร่า ระวัง!”
เสียงของเจ้าชายชาร์ลดังขึ้นมาพร้อมกับตัวของผมซึ่งถูกกระชากไปอยู่ที่อ้อมกอดของเขา โดยตัวผมนั้นยังอยู่ในสภาพที่…เอ่อ อุบาทเล็กน้อยเนื่องจากยังถือกระถางต้นไม้อยู่
ง…..งานงอกแล้วไง แบบนี้ แบบนี้มันก็รู้หมดแล้วสิว่าเราวางแผนฆ่ามันน่ะ….ไม่ได้ ต้องหาข้ออ้าง!
“ต้…ต้องขอโทษด้วยค่ะ คือฉัน ฉันเผลอไปหน่อย”
แล้วนั่นมันใช่ข้ออ้างไหมออโรร่า ดูไงๆ มันก็เหมือนกับผู้ร้ายโดนจับผิดแล้วสารภาพชัดๆ!
“ขอ…ขอบคุณมากจริงๆ ครับ”
ห๊ะ!
ผมที่กำลังหวาดเสียวกับการถูกจับได้นั้นอ้าปากค้างงงเป็นไก่ตาแตกทันที เพราะไม่ใช่แค่จะไม่ว่าแต่เจ้าชายนั่นมันดันยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณผมด้วยซะงั้น
“ขอบคุณที่ช่วยผมเอาไว้”
งงพะยะค่ะ นี่ผมวางแผนฆาตกรรมมันนะ แล้วไหงมันถึงมาขอบคุณผมฟะ หรือว่ามันเป็นพวกมาโซของแท้กันแน่?
เรื่องก็จบลงโดยไม่มีอะไร เพียงแค่หมอนั่นเช็คสภาพว่าผมไม่เป็นอะไรมากก่อนที่จะพาเดินกันต่อโดยผมก็ทำการดำเนินตามแผนการของผมต่อไป
แต่ไม่ว่าผมจะทำอะไร มันกลับไม่เป็นไปตามแผนซะอย่างงั้น ไม่ว่าจะวางเปลือกกล้วยเพื่อให้มันล้มหัวฟาดขอบน้ำพุตาย แต่ในระหว่างที่จะผลักมันไปให้โดนเปลือกกล้วย ไม่รู้ว่าบ้าอะไร ดาบที่อยู่ในมือรูปปั้นดันหล่นมาใส่จนผมต้องรีบพุ่งตัวผลักหลบไปพร้อมกับมัน ซึ่งก็ดันจบลงด้วยมันช่วยผมแล้วขอบคุณผมซะงั้น
แล้วก็มีอีกสารพัดแผนซึ่งผมพยายามจะทำให้มันต้องเข็ดหลาบ แต่แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมมันต้องมีมารผจญมาขัดขวางผมทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นของที่หล่นมาจากไหนไม่รู้ หรือไม่ก็มีดที่พุ่งมาจากสารพัดทิศทาง
หรือว่าเทพมันจะคุ้มครองมันฟะ
ในเมื่อการจะวางแผนกระทืบมันด้วยสารพัดวิธีจากเกมไม่ได้ผล แบบนั้นผมคงต้องใช้วิธีพื้นฐานที่สุดในชีวิตมนุษยชาติแล้ว…..เอาสากไปตีหัวมัน!
ถ้าเรื่องมันยากนักล่ะก็ เอาสากนี่ล่ะไปตีหัวมันตรงๆ เลย ดูสิมันจะยังมีอะไรมาขวางตูอีกไหม
ใช่ ตอนนี้ในมือของผมนั้นได้เก็บสากที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนซึ่งวางไว้อยู่ตรงพื้นคล้ายๆ กับหน้าไม้ขึ้นมา ก่อนจะเตรียมตัวพุ่งเข้าไปทุบหัวไอ้องค์ชายบ้าที่กำลังหันหลังให้ด้วยตัวสั่นๆ
ตูจะทุบให้เอ็งเรียกชื่อออโรร่าอีกเป็นครั้งที่สองไม่ได้เลยคอยดู
ย้ากกกกก แด่เทพขนมหวาน
และในจังหวะนั้นเองที่ผมจะเอาสากไปทุบหัวมัน ก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น จู่ๆ ที่ไหล่ของผมก็ถูกปักด้วยลูกธนูจนตัวผมปลิวไปชนร่างของเจ้าชาย
เพราะหน้าไม้มันปักเข้าที่ไหล่ของผมอย่างจัง ทำให้สากในมือของผมได้หลุดลอยออกไปข้างหน้าจนเข้าไปในพุ่มไม้
“โอ้ย! นังบ้าเอ้ย…ฝ…ฝากไว้ก่อนเถอะ”
เสียงผู้ชายตะโกนบ่นขึ้นมาจากในป่าหลังมหาวิหาร จนผมแอบสงสัยว่านี่มหาวิหารมีเจ้าที่ที่ไหนด้วยอย่างงั้นเหรอ
“ขอบคุณ…ขอบคุณมากจริงๆ ครับ”
แต่แล้วสายตาของผมที่คิดจะสอดส่องดูว่าเกิดอะไรขึ้นก็หันกลับมามองตามเสียงสะอื้นขององค์ชายที่ตอนนี้กำลังถูกผมคร่อมไว้อยู่
“ที่ท่านออโรร่าผู้แสนอ่อนโยนต้องเจ็บแบบนี้มาตลอดเป็นเพราะผมแท้ๆ เลย ฮึก ฮึก”
น้ำเสียงสะอื้นได้ดังขึ้นมาอย่างไม่หยุด แต่นั่นก็เตือนสติของผมแล้วว่าตัวผมนั้นกำลังบาดเจ็บอยู่
เมื่อผมหันไปมองที่ไหล่ของผมซึ่งตอนนี้มีลูกธนูปักจนเลือดเริ่มที่จะไหลออกมาอยู่นั้น ความเจ็บปวดก็ได้วิ่งผ่านไปทั่วร่างกายจนน้ำตาของผมเริ่มที่จะไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ทั้งๆ ที่….ทั้งๆ ที่เป็นปัญหาบ้านของผมแท้ๆ แต่ท่านก็กลับช่วยเหลือผมโดยไม่สนใจตัวเองแบบนี้นั่นน่ะ…นั่น่ะ”
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร”
ไม่เป็นไรนะตัวฉัน ฮือออออ ผิวจะมีแผลเป็นไหมเนี่ย ไอ้เราอุตสาห์ดูแลมาอย่างดีแท้ๆ เชียวนะ ฮือออ ใครมันเป็นคนทำกันฟะ
เพราะมีลูกธนูมาปักเข้าที่ไหล่ของผม ทำให้สติของผมมันกระเจิดกระเจิงจนไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกแล้ว ดังนั้นตอนนี้ผมจึงไม่รู้เลยว่าเจ้าชายมาโซคนนี้มันพูดอะไรอยู่
“ทุกอย่างจะต้องดีเอง”
ผมยิ้มทั้งน้ำตาให้กับเจ้าไหล่ของผม โดยในใจก็หวังแค่ว่าเวทของเจ้าพระเจ้านั่นมันน่าจะแรงพอที่จะรักษาให้ผิวหายดีไม่มีแผลนะ
และแล้วตอนนั้นก็จบลงโดยเจ้าชายมันร้องไห้ ส่วนผมก็พยายามร่ายเวทรักษาตัวเองซึ่งมันก็แรงไปหน่อยจนดันกลายเป็นรักษาแบบหมู่ไปซะอย่างงั้น
ว่าแต่ใครมันแค้นผมถึงขนาดเล่นยิงธนูอัดใส่กันแบบนี้ฟะ ได้ข่าวว่าเราไม่ได้ไปสร้างศัตรูที่ไหนนะเฮ้ย….มีแค่แอบจิ๊กข้าวจากห้องอาหารแค่นั้นเอง
เรื่องก็จบลงที่หาว่าใครมันยิงธนูใส่ผม ซึ่งด้วยเหตุนี้มันจึงทำให้บรรยากาศในมหาวิหารตรึงเครียดขึ้นมาทันที และนั่นก็ทำให้องค์ชายถูกเรียกกลับวังอย่างรวดเร็ว ส่วนผมก็ต้องถูกนำไปอยู่ในห้องพิเศษเพื่อดูแลรักษาความปลอดภัย แต่เจ้าชายก็ไม่รู้เกิดบ้าอะไรดันมาขอพบผมก่อนจาก
“ต้องขอบคุณมากครับสำหรับเรื่องเมื่อวาน”
“คะ?”
ผมตกใจขึ้นมาทันทีเมื่อมันพูดถึงเรื่องเมื่อวาน เพราะแบบนี้แสดงให้เห็นว่ามันรู้แล้วสินะว่าผมทำการลอบสังหารมัน…ตายล่ะ งานงอกๆ
แต่แล้วระหว่างที่สติของผมกำลังกระเจิง เจ้าชายมันก็คว้ามือของผมขึ้นมาแล้วประทับจูบลงที่หลังมือของผม
“ด้วยความน่ารักที่เป็นเหมือนดั่งแสงในยามเช้าของพระอาทิตย์ ผมคงต้องมีคู่แข่งอีกมากแน่นอนแต่ว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล เพราะผมจะต้องเป็นคนที่เหมาะสมกับท่านออโรร่ามากที่สุดให้ได้”
นี่มันพูดบ้าไรเนี่ย เหมาะสมกับผมอย่างงั้นเหรอ…อย่าบอกนะว่ามันถูกใจที่โดนผมลอบทำร้ายน่ะ…เฮ้ย ไอ้บ้านี่มันมาโซตัวพ่อเลยนี่หว่า ใครก็ได้เรียกหมอมาเร็ว
“ในตอนแรกผมคิดว่านี่คงเป็นแค่เรื่องของการเมือง แต่จากเหตุการณ์เมื่อวานทำให้ผมรู้แล้วว่าตัวผมนั้นคงต้องจริงจังซะแล้ว”
เมื่อพูดจบ เจ้าชายมันก็ประทับจูบเข้ากับหลังมือของผม จากนั้นก็ได้โค้งให้ทีหนึ่งก่อนที่จะเดินจากไป
…..
สรุปมันเป็นมาโซจริงๆ สินะ
เอาล่ะครับจบไปแล้วกับตอนสบายๆ เนื่องจากเป็นตอนเปิดตัวละครใหม่จึงมิอยากให้มันกาวมากจนเกินไปนะครับ 555+