ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ – บทที่ 26 ออโรร่าน้อยกับความจริงอันแสนพรั่นพรึง

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

          “เอ่อคุณหนูผู้น่ารัก ช่วยขยับแขนอีกนิดนึงได้ไหมครับ หากคุณหนูทำแบบนั้นแล้วข้าก็จะได้มุมที่สามารถแสดงถึงความเจิดจรัสของคุณหนูได้อย่างดีเยี่ยมเลยนะครับ”

          มันเป็นแบบนี้ยังไงกัน….

          ผมที่ตอนนี้จำยอมต้องมาเป็นแบบให้กับเจ้าผีโลลิคอนไม่ยอมตายตนนี้ ได้แต่ร้องไห้ในใจพลางจัดตัวไปตามที่เจ้าผีตัวนี้บอก

          ฮือ เมื่อไหร่เจ้าผีบ้านี่มันจะวาดเสร็จแล้วรีบไปตายโหงตายห่าน….เออ ไปผุดไปเกิดใหม่ซะทีเนี่ย รู้ไหมว่าผมที่ต้องเป็นแบบให้มันอายขนาดไหน

          ไม่ใช่แค่ให้เป็นแบบเท่านั้น แต่เจ้าผีนี่มันเล่นให้ผมจัดท่าซะสาวน้อยจ๋าอย่างการจับชายกระโปรงด้วยมือทั้งสองข้างอย่างเขินอายแบบนี้ผมก็แทบจะคุมร่างกายของตัวเองไม่ให้สั่นไม่ได้พอดีน่ะสิ

          หนักกว่านั้นไม่ใช่แค่เจ้าผีนี่เท่านั้น แต่ผีนักบวชฟรานซิสที่ตอนนี้เปลี่ยนอาชีพจากอดีตนักบวชมาเป็นคนจัดสถานที่เพราะทั้งเอาดอกไม้ที่ไม่รู้ว่าโตได้ยังไงมาวางเป็นฉากหลังแล้วที่หนักกว่านั้น……

          “โอ้ แสงอันสว่างเจิดจ้าโปรดส่องทางเพื่อสลายความมืดที่บบดบางการเดินทางอันไม่สิ้นสุดของข้าด้วยเถิด!”

          สิ้นคำพูดของนักบวชฟรานซิส ห้องที่มีเพียงแสงจากเทียนกลับถูกปกคลุมด้วยแสงสว่างอันเจิดจ้าเหนือเพดานและแสงเหล่านั้นต่างแผ่ออกไปโดยยึดผมเป็นสูงกลาง

          “เป็นอย่างไรบ้างท่านเดลอน ด้วยแสงสว่างจากเวทมนต์ศักดิ์สิทธิ์นี้จะทำให้ท่านนักบุญนั้นยิ่งส่องประกายขึ้นไปอีก”

          ใช่ ที่หนักกว่านั้นคือเจ้านักบวชชั้นเอลลาสคนนี้มันดันบ้าใช้เวทที่ควรเอาไปใช้ประโยชน์ที่ดีกว่านี้มาเป็นไฟสปอตไลท์สำหรับจัดฉากซะอย่างงั้น!

          “เยี่ยมมากเลยท่าน ด้วยแสงสว่างที่ท่านร่ายออกมานั้นทำให้ข้าสามารถสร้างสรรค์ภาพที่สื่อความบริสุทธิ์ของท่านนักบุญได้ดียิ่งกว่าที่ข้าคิดนัก โอ้แสงสว่างอันเจิดจ้ากับสาวน้อยที่ส่องประกาย สุดยอด มือของข้ากำลังลุกเป็นไฟแล้ว”

          มอดไหม้ไปทั้งตัวเหอะเอ็ง!

          ผมได้แต่สาปแช่งเจ้าผีบ้าที่ตอนนี้คึกจัด จนรัวมือละเลงวาดภาพด้วยอารมณ์ราวกับอยู่ในหนังแอคชั่น แต่สำหรับผมที่เป็นผู้ดูนั้นก็แอบอดชื่นชมไม่ได้กับฝีมือการใช้เวทของเขา เพราะพู่กันถูกบังคับให้วาดภาพไปมาอย่างคล่องแคล่วราวกับมันถูกจับด้วยมือของเขาเอง

          ใช่น่าทึ่งมาก….แต่โคตรเสียดาย ทำไมฝีมือดีๆกับเวทดีๆแบบนนี้ถึงต้องตกมาอยู่กับคนสติไม่ดีแบบนี้ด้วย!

          “ช่างน่าดีใจจริงๆที่ข้ามีส่วนช่วยในภาพที่จะมาเป็นหนึ่งในสุดยอดภาพแห่งบุพผางามแห่งยุค…..นี่นับว่าไม่ผิดจริงๆที่ข้าขอให้ท่านอาจารย์สอนให้”

          อาจารย์…ท่านสังฆราชน่ะเรอะ โอ้ไม่นะเจ้าบ้านี่มันขอเรียนจากท่านสังฆราชที่ภูมิใจในศิษย์ของตัวเองขนาดนั้นไปเพื่อจุดประสงค์ที่โคตรจะต่ำทรามชั่วร้ายแบบนี้ แถมยังพูดออกมาด้วยความมั่นใจอีก นี่นายรู้ไหมว่านายกำลังทำให้ท่านสังฆราชร้องไห้เป็นสายเลือดอยู่น่ะ!

          ไปหมดแล้วสมงสมองพวกนี้ คนนึงก็วิจัยเวทเพื่อวาดรูปเด็กสาว คนหนึ่งก็เรียนเวทศักดิ์สิทธิ์เพื่อใช้เป็นเอฟเฟคประกอบฉาก  พระเจ้าตอนสั่งพวกนี้มาเกิดท่านกำลังดมกาวอยู่หรืออย่างไร

          ข้าไม่เกี่ยวนะ!

          มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาแทรกที่หูของผมซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น คนที่ผมพึ่งกล่าวอ้างไปเมื่อครู่นั่นล่ะ…..

          เรื่องนั้นรู้แล้ว มันแค่คำอุปมาอุปไมย!

          “เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆที่ข้าต้องมาตายก่อน หากข้าตายช้ากว่านี้อีกสักสิบปีคงได้พบกับท่านนักบุญในขณะที่ข้ายังเป็นมนุษย์อยู่ นั่นคงทำให้การพบกันของพวกเราดูดีกว่านี้แน่ๆ”

          ไม่อ่ะ เร่องผีถึงมีผลก็เถอะ แต่ถ้าคุณท่านฟรานซิสแกเป็นหมีตั้งแต่ตอนยังเป็นคนแบบนี้ผมว่าผลลัพธ์คงไม่เปลี่ยนแถมน่าจะเลวร้ายลงสุดๆเพราะผมคงเอาไปแฉให้เละจนรู้กันไปสามบ้านสี่บ้านเพื่อถีบหัวส่งเขาออกไปไกลๆผมแน่นอน

          “เออจะว่าไปพูดถึงเรื่องการตายของท่านเหมือนท่านจะถูกเจ้าเด็กน้อยคนหนึ่งฆ่าไม่ใช่เหรอ ใครหว่าชักจำไม่ค่อยได้ละ”

          “ท่านหมายถึงเจ้าคนที่มันเสียบข้าซะจนกลายเป็นผีเลือดอาบเสื้อน่ะเหรอ ให้ตายสิพูดแล้วข้าก็ยังแค้นมันอยู่”

          ได้ยินแล้วผมก็หูผึ่งเพราะการสนทนาของสองคนนี้นั้นมันมีสิ่งที่ผมต้องการซ่อนเอาไว้อยู่ นั่นคือข้อมูลที่ไว้ใช้เล่นงานเจ้าเคาท์ชั่วที่บังอาจทำให้ผมต้องมาร้องเพลงช้าง…เอ้ยบังอาจมาทำให้ศาสนจักรต้องเสื่อมเสีย

          ว่าแต่ท่านนักบวชฟรานซิสยังแค้นอีกอยู่งั้นเหรอ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรเท่าไหร่เพราะถึงขั้นเป็นคนฆ่าตัวเองแบบนี้

          “มันดันมาฆ่าข้าด้วยอะไรไม่ฆ่า ดันมาฆ่าข้าด้วยดาบเสียบซะจนกลายเป็นผีเลือดอาบแบบนี้ สภาพตอนเป้นวิญญาณข้าก็เลยออกมาน่ากลัวซะเด็กสาวคนไหนเจอก็วิ่งหนีร้องไห้ ทำเอาข้ารู้สึกเศร้าใจจริงๆ จะฆ่าทั้งทีก็ฆ่าแบบไม่มีแผลสิฟะ”

          เรื่องนั้นเองเรอะ!

          สมองคุณท่านทำมาจากอะไรม่ทราบ ที่ไอ้สาวน้อยที่ท่านเสพติดนักหนาวิ่งหนีน่ะไม่ใช่เพราะเลือดที่กระฉูดออกจากอกแต่เป็นไอ้ยศนำหน้าของท่านที่สะกดด้วยผอผึ้งสระอีต่างหากเล่า

          แล้วนี่คิดได้ไง ให้ฆ่าแบบไม่มีแผลเรอะ ได้ข่าวเขาบุกบ้านท่านมานะ ท่านจะให้เขาคลานเข่าเข้ามาเอาหมอนปิดหน้าท่านจนขาดอากาศหายใจตายเหรอไงกัน คิดหน่อยสิคิด!

          ที่จริงก็อยากตะโกนด่าขัดออกไปอยู่ล่ะนะ แต่ถ้าเปลี่ยนท่าแล้วเจ้าผีโลลิค่อนนั่นมันได้บ่นลั่นบ้านแตกแล้วขยำภาพทิ้งวาดใหม่แน่นอน ถ้าเป็นแบบนั้นผมจะซวยเอา

          “รู้สึกจะชื่อเฮอร์แมนอะไรสักอย่างงนี่ล่ะ ก็แปลกใจอยู่ที่จู่ๆเจ้านั้นก็เล่นขนทหารมาเป็นหลายสิบนายมาแบบนั้น แล้วก็มาพูดอะไรแปลกๆอย่างเขาได้ยินข่าวว่าข้าฉ่อโกงอะไรนี่ล่ะแล้วก็บุกเข้ามาเลย”

          “หือ ฉ่อโกง ท่านเนี่ยนะ ตลกแล้ว”

          “นั่นสิ ข้ายังงงงเลยว่ามันเอาจากไหนมาพูด”

          บทสนทนาชักแปลกๆจนผมเริ่มสงสัย เพราะสิ่งที่ทำให้ท่านเคาท์รุ่งเรืองได้มาถึงปัจจุบันก็คือการตายของท่านฟรานซิส แล้วที่ศาสนจักรต้องอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก เสี่ยงต่อผู้คนเสื่อมศัทธาอยู่รอมร่อก็เพราะข่าวการโกงของท่านฟรานซิส

          งานนี้มีเงื่อนงำแน่นอน!

          “คือเรื่องนั้นช่วยเล่าให้หนูฟังหน่อยได้ไหมคะ”

          “หือ ท่านนักบุญ เรื่องเช่นนี้ข้าเกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะสมต่อวัยของท่านเท่าไหร่”

          ถึงแม้จะเป็นหมี แต่ดูเหมือนท่านฟรานซิสก็ยังมีความเป้นผู้ใหญ่และนักบวชชั้นสูงอยู่ถึงได้พูดคล้ายไม่อยากจะบอกเรื่องของการเมืองซึ่งดูหนักไปสำหรับเด็กอย่างผม ผิดกับ…

          “สุดยอดดด ใบหน้าจริงจังของท่านนักบุญ นี่มัน อ้าก ข้าจะทำอย่างไรดี เมื่อครู่ข้าอุตสาห์วาดภาพอารมณ์ขานอายของสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่ใบหน้าที่จริงจังนี่ก็มาสเตอร์พีช ข้า…ข้าต้องทำอย่างไร

          ใช่ ส่วนอีกคนดูเหมือนกำลังสับสนในตัวเองแล้วหลุดออกจากสาระบบของบทสนทนาเป็นที่เรียบร้อย

          จ้องงง

          “อยากรู้ค่ะ!”

          “เรื่องนี้เกรงว่า…”

          “หนูอยากรู้จริงๆค่ะ!”

          ผมใช้สายตาจริงจังของตัวเองกดดันท่านนักบวชฟรานซิสซึ่งดูเหมือนจะได้ผลเพราะตอนนี้หน้าของท่านเริ่มแสดงถึงความลังเลมากขึ้นเรื่อยๆ

          หึๆ ถึงยังไงวิญญาณแห่งมีที่มีมากเกินกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซนต์ของสมองไม่มีทางทนทานสายตากดดันที่แสนน่ารักและชวนหลงไหลของออโรร่าน้อยไปได้แน่นอน เอาล่ะท่านฟรานซิส คายออกมาเลย คายเรื่องทั้งหมดออกมา!

          “ก็ได้ๆ ท่านนักบุญข้ายอมแพ้ โปรดอย่าจ้องข้าด้วยสายตาเช่นนั้นเลยมันช่างทำร้ายจิตใจของข้ายิ่งนัก”

          นั่นไง สุดท้ายก็แพ้แววตาอันเกินทานทนของออโรร่าน้อยคนนี้!

          “การที่ไม่อาจจะกอดเด็กสาวที่น่ารักเช่นท่านได้แบบนี้ ช่างทำร้ายจิตใจข้าจริงๆ”

          เรื่องนั้นอีกเรอะ!

          เจ้าผีนี่อุตสาห์พูดมาซะผมเชื่อว่ายังพอมีความดีหลงเหลืออยู่บ้าง แต่สุดท้ายมันก็โดนความหมีกลืนกินหมดสมองแล้วนี่หว่า ไม่ต่างกันเลย…ไม่ต่างกับไอ้เจ้าผีบ้าที่กำลังเถียงกับตัวเองอยู่ตรงนั้นเลยสักนิด จะดีกว่าก็แค่ตรงที่เก็บอาการตัวเองเก่งกว่าแค่นั้นเองนี่หว่า

          “อืมเรื่องนี้ข้าก็ไม่มั่นใจนะ ถ้าให้เล่าก็…อืม ประมาณเดือนสองเดือนก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุ เหมือนจะมีคนของทางอาณาจักรมาป้วนเปี้ยนแถวบ้านข้าแถมขอเข้าตรวจสอบ ซึ่งแน่นอนข้าก็ไม่ให้หรอกเรื่องอะไรจะมาค้นกันง่ายๆแถมตอนนั้นที่บ้านข้ายังมีงานสำคัญอีกด้วย”

          อืม งานสวดภาวนาให้กับพระเจ้าสินะ สำหรับพวกนักบวชชั้นสูง ก็มีหลายคนอยู่ที่ต้องการสวดคนเดียวเงียบๆไม่ต้องการให้ใครมารบกวน ซึ่งนี่อาจเป็นจุดที่เอามาใช้เป็นข้ออ้างว่าท่านไม่ให้ความร่วมมือเลยใช้เป็นข้ออ้างขอหมายค้นได้

          “จากนั้นก็มีมาอีกเรื่อยๆนั่นล่ะแต่สุดท้ายข้าก็ไล่ไปแบบเดิมเพราะเหตุเดิม สุดท้ายเรื่องมันก็จบลงแบบที่ท่านนักบุญรู้นั่นล่ะ เพราะเขาคิดจะบุกเข้ามาค้น ข้าก็เลยสู้กลับไปแต่ก็นะ เพราะคนน้อยกว่าจะแพ้ก็ไม่แปลก”

          ผีของท่านฟรานซิสทำหน้าครุ่นคิดระหว่างเล่าเรื่อง ซึ่งผมก็ทำเพียงพยักหน้าตามพลางมโน…เอ่อคิดถึงความเป็นไปได้ แต่ข้อมูลแบบนี้ก็เป็นข้อมูลที่รู้กันอยู่แล้ว นั่นเลยไม่ค่อยช่วยอะไรผมเท่าไหร่ดังนั้นผมอาจจะต้องถามให้มากกว่าเดิมสักนิดนึง

          “แต่ก็โชคดีล่ะนะ ถึงข้าตายของสำคัญก็ไม่ได้หายไปไหน”

          ของสำคัญ!

          ด้วยประโยคนี้ทำให้ผมถึงกับมีเครื่องหมายตกใจโผล่ขึ้นมาบนหัว เพราะท่านฟรานซิสบอกว่าของสำคัญไม่หายไปไหนแสดงว่าอีกฝ่ายบุกเข้ามานั้นมีสาเหตุมากกว่าแค่การจับกุมท่านฟรานซิส แต่เป็นอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น อะไรบางอย่างที่สำคัญ

          และจุดๆนี้ก็ทำให้ผมนึกเรื่องอะไรบางอย่างได้ นั่นคือข้อมูลที่ผมทราบมาว่าบ้านหลังนี้ถูกใครไม่รู้แอบเข้ามารื้อค้นบ่อยๆ ถ้าหากเอาไปเชื่อมกับประโยคของท่านฟรานซิสแบบนี้ก็แสดงว่าเรื่องที่ผมคิดนั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นจริง

          “ของสำคัญงั้นเหรอคะ? แล้วของสำคัญที่ว่านั้นคือ?”

          ผมไม่รอช้ารีบถามออกไป เพราะหากได้ข้อมูลสำคัญนี้มาก็ทำให้ผมมีตัวหมากที่ไว้ใช้สู้กับเคาท์เฮอร์แมนเพิ่มแถมอาจใช้เป็นตัวแก้ต่างให้ศาสนจักร และด้วยผลงานขนาดนั้นเงินตอบแทนให้กับนักบุญก็ย่อมมีมาก และโอกาสที่ผมจะกระจายเงินไปเพื่อแบ่งปันขนมให้กับเหล่าทหารแล้วสามารถหลอกล่อให้ขนมมันวนเข้ามาหาผมนั้นก็จะมีมากขึ้น

          หึๆ แผนการเพื่อขนมหวานนี้ช่างสุดยอดจริงๆ เอาล่ะนักสืบสาวน้อยออโรร่า ลุยต่อเลยค่ะ

          “ของสำคัญงั้นเหรอ….ในที่บ้านข้านี้คงมีไม่กี่อย่างทว่าที่ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจยอมให้ใครแย่งไปได้นั้นคงมีอย่างเดียว”

          วิญญาณของท่านฟรานซิสเริ่มกำมือแน่นพร้อมพูดเสียงเครียดทำเอาผมเริ่มรู้สึกกดดันและตื่นเต้นไปพร้อมๆกันกับคำตอบของเขาที่ถูกซ่อนมานานนับสิบปี

          “ภาพวาดของเหล่าสาวน้ออย่างไรเล่า!!!!”

          เอาความตื่นเต้นของผมเมื่อครู่คืนมานะ!

          “เมื่อกี้ท่านว่าอะไรนะคะ เหมือนหนูจะได้ยินไม่ชัด!”

          ผมที่ตกใจไปกับคำตอบได้ลากสติของตัวเองที่กระเจิงไปกลับมาอย่างเร็วที่สุดก่อนถามออกไปใหม่โดยในใจก็หวังว่าคำตอบที่ได้ยินนั้นคงเป้ช็นการมโนจากอคติของผมเอง

          “ท่านก็ได้ยินชัดแล้วนะครับท่านนักบุญ สมบัติที่ข้ามิยอมจะให้ใครแย่งชิงไปได้นั่นคือภาพวาดของเหล่าสาวน้อยที่มิมีสิ่งใดในโลกมาเทียบเทียมได้อย่างไรเล่า!!!”

          “โอ้ภาพวาดของท่านเดลอนนั้นคือสมบัติที่พระเจ้าท่านมอบให้ เป็นสิ่งล้ำค่าที่เก็บความงดงามซึ่งไม่อาจถูกทำลายได้ด้วยกาลเวลาได้ เหล่าเด็กสาวน้อยผู้น่ารักในวันนี้ ผ่านไปย่อมโตขึ้นแล้วเป็นผู้หญิงที่ดีแต่เก่งแย่งชิงดี ทว่าด้วยภาพของท่านเดล่อน ความใสซื่อของพวกนาง ความน่ารักสดใสที่เหมือนดั่งบุปผาที่เพิ่งบานของนางจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงงง”

          ใครก็ได้เอาไอ้ผีบ้านี่ไปเก็บที!

          แล้วไอ้คำเมื่อครู่นี้คืออะไร สาวน้อยกลายเป็นหญิงชั่วร้ายเมื่อเวลาผ่านไปงั้นเหรอ นี่มันคำพูดของพวกโลลิคอนตัวพ่อชัดๆเลยนี่หว่า คบเพลิงอยู่ไหน ผมจะเผาไอ้สมบัติอันแสนโสมมนี้ให้หายไปเอง!

          “หึ เจ้าเด็กเฮอร์แมนนั่นไม่ผิดแน่ จู่ๆขนทหารบุกเข้ามาบ้านข้าแบบนั้น มันจะต้องคิดช่วงชิงสมบัติของข้าไปไม่ผิดแน่ โอ้ รูปที่แสนงดงามของข้ากับท่านเดลอนที่ไม่ว่าใครต่างก็หมายปอง ถึงแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ต้องปกป้องไว้ให้ได้!”

          ช่วยอย่าเอาคนตัวเองไปเทียบกับคนอื่นได้ไหม!

          นี่สมองของท่านทำได้สารระเหยหรืออย่างไร ถึงคิดว่าคนที่พกอาวุธครบไม้ครบมือพร้อมมาเดินถามท่านเรื่องทุจริตเช้าเย็นจะมาปล้นภาพบ้าๆบอๆพวกนี้น่ะ มันมีแต่พวกโรคจิตโลลิค่อนอย่างพวกเอ็งสองตัวนั่นล่ะที่จะคิดอะไรบ้าๆบอๆแบบนี้ออกมาได้

          นี่เหตุการนองเลือดครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของศาสนจักรต้องมาเกิดเพราะความเข้าใจผิดบ้าๆของตาลุงงที่วันๆนั่งดมแต่สาระเหยที่ชื่อว่าเด็กน้อยโลลิงั้นเหรอ!

          จะตลกก็ให้มันตลกน้อยหน่อยนะเว้ยพระเจ้า

          “พระองค์ท่านช่างเล่นตลกกับชะตากรรมของเหล่ามนุษย์ยิ่งนัก”

          แล้วไอ้คำสาปบ้าๆนี่มันจะมาแปลคำพูดอะไรตอนนี้ แถมนี่แกแปลงคำพูดอะไรออกมาเนี่ย ฟังไม่รู้เรื่องโว้ย

          “ใช่ ช่างเล่นตลกยิ่งนักที่ในอาณาจักรแห่งนี้ไม่เข้าใจถึงความงามที่แท้จริงได้”

          ถ้าอาณาจักรนี้เป็นแบบที่ท่านต้องการ ผมนี่ล่ะจะเผามันด้วยมือข้างนี้เอง!

          “ท่านช่างยอดเยี่ยมยิ่งนักท่านฟรานซิสที่สู้เพื่อปกป้องสมบัติอันล้ำค่าของพวกเรา ไม่เสียทีที่ข้าร่ายเวทผนึกห้องแห่งนี้ไว้นานนับเดือนจนร่างกายทนอดอาหารไม่ไหวตายไปก่อน แต่ก็ถือว่าคุ้มที่พวกเราปกป้องมันได้”

          “ใช่ ช่างน่ายินดีจริงๆ!”

          เฮ้ยยย พ่อแม่ของพวกนายเป็นใครมิทราบ ไปขอขมาพวกท่านเดี๋ยวนี้เลยนะ อุตสาห์ให้พวกนายเกิดมาได้แต่กลับเอาชีวิตมาทิ้งกับเรื่องบ้าๆบอๆแบบนี้เนี่ยนะ

          นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย นักเวทอัจฉริยะแห่งยุคต้องมาตายเพราะขังตัวเองจนอดอาหารตาย ส่วนนักบวชชั้นสูงก็มาโดนฆ่าตายโดยทั้งสองอย่างดันมาเกิดเพราะความเข้าใจผิดจากรสนิยมแปลกๆของพวกบ้าพวกนี้เท่านั้นเอง

          “จะว่าไปเหมือนตอนข้ามาเยี่ยมท่านเมื่อตอนก่อนเกิดเหตุสองสามเดือน คล้ายๆท่านจะบอกข้าทำนองมีคนมาหาอยู่บ่อยๆจนผิดแปลกไปนี่นา”

          เหมือนผีนักเวทหมีจะเริ่มได้สติจึงกลับมาร่วมสนทนากับพวกผมอีกครั้งโดยเขาเล่นย้อนบทสนทนากลับไปถึงจุดที่พวกผมพูดผ่านกันมาเป็นชาติแล้ว

          “ก็อย่างที่ข้าได้เล่าให้ท่านนักบุญไปนั่นล่ะ เพราะท่านมาเยี่ยมข้าและพวกเรากำลังสนทนาประชุมเรื่องสำคัญอย่างเรื่องแคโรลีนหรือเออร์น่า ผู้ใดมีรอยยิ้มที่สดใสกว่ากันอยู่ ข้าเลยไม่อยากให้มีใครมาขัดการประชุมอันแสนสำคัญเช่นนั้นเลยไล่ๆพวกเขาไป”

          เออ แถมอีกฝ่ายได้ข้ออ้างมาจัดการพวกนายเพราะรสนิยมแปลกๆนี่อีก ไม่ทราบว่าจะทำร้ายตัวเองถึงไหนถึงจะพอใจครับคุณท่านทั้งหลาย แล้วเรื่องพวกนั้นมันถึงขั้นต้องคุยกันข้ามวันข้ามคืนกันเลยอย่างงั้นเหรอ

          โอ้ยปวดหัว! ไม่ไหวแล้ว พวกบ้านี่มันเกินเยียวยาไปแล้ว

          “จะว่าไปช่วงก่อนหน้านั้นก็เป็นช่วงที่ข้าเดินทางไปเก็บสะสมรูปก่อนจะส่งไปให้ท่านด้วยนี่นะ”

          “อ่าใช่ ตอนนั้นขาดีใจสุดๆไปเลยล่ะที่ความงดงามจำนวนมากจากท่านนั้นหลั่งไหลมาไม่หยุดไม่หย่อน ข้าก็เลยตื่นเต้นไปหน่อยจนเผลอถล่มเงินทองกว่าครึ่งไปกับการคุ้มกันภาพอันแสล้ำค่า ทั้งต้องซื้อของจำนวนมากมาเพื่อหลอกล่อ ทั้งจ้างคนมาคุ้มกัน ทั้งเอาเงินเหรียญหลายเหรียญมาวางทับไว้ให้เหมือนขนเงินเข้าบ้านธรรมดาๆจะได้ไม่มีใครสงสัยแล้วคิดแย่งชิงภาพไป แถมยังต้องแอบขนเข้าตอนกลางคืนจะได้ไม่มีใครเห็นภาพจงหลงไหลแล้วมาแอบปล้นด้วยอีกนะท่าน”

          ไอ้นั่นน่ะมันน่าสงสัยสุดๆไปเลยไม่ใช่เหรอไง ทั้งคนคุ้มกัน ทั้งเงินทองที่เอามาวางทับ ไหนจะแอบขนเข้าบ้านตอนกลางคืน ไม่ว่าจะดูทางไหนมันก็โคตรน่าสงสัยเลยไม่ใช่เหรอ

          เดี๋ยวนะ…

          เหมือนจะมีบางอย่างวิ่งเข้ามาในสมองผม บางอย่างที่เขาพูดมันช่างทำให้ผมรู้สึกสะดุดกับไอ้ประโยคและการกระทำพวกนั้น….

          นี่มันดูเหมือนกำลังทำอะไรลับๆล่ๆอยู่เลยไม่ใช่เหรอไงกัน

          ใช่ ทั้งคนของตอนกลางคืน แถมไอ้สัมภาระที่ว่านั่นดันดูเหมือนเป็นข้าวของและเงินทองจำนวนมาก ถึงจะเป้นเงินของท่านก็เถอะ แต่เห็นแบบนี้ ไม่ว่าใครก็คิดว่าท่านต้องไปปล้นมาจากไหนแน่ๆเลยไม่ใช่เหรอไงกัน…

          คิดได้แบบนี้ผมก็ถึงกับร้องอ๋อ เพราะผมได้คำตอบทั้งหมดของเรื่องราวมาเรียบร้อยแล้ว

          โถ๋ๆ นี่ศาสนจักรต้องมาซวยจนคนเกือบสิ้นศรัทธาไปเพราะรสนิยมแปลกๆของไอ้บ้าสองตัวนี้นี่เอง โอ้ เหล่านักบวชช่างน่าสงสาร ไม่สิ ท่านสังฆราชช่างน่าสงสารยิ่งนัก ที่ท่านต้องมาโศกเศร้ากับเรื่องเข้าใจผิดแบบนี้

          และอีกอย่าง…..นี่เป็นเพราะพวกมันสองตัวไม่ใช่เหรอไงกันที่ทำให้เจ้าเคาท์นั้นมีอำนาจจนมันมายุ่งกับผม เป็นเพราะเจ้าสองตัวนี่ไม่ใช่เหรอไงกันที่ทำให้ศาสนจักรถูกผู้คนเสื่อมศรัทธาจนต้องใช้บริการผมเช้าเย็นไปเป็นนางงามโบกมือเรียกความศรัทธาคืน

          เพราะงั้น……

          “คือทั้งสองท่านคะ”

          “โอ้มีอะไรเหรอท่านนักบุญ”

          ผมค่อยๆคลี่ยิ้มอย่างงดงาม จากนั้นก็ยกมือบางของตัวเองงขึ้นอย่างช้าๆแล้วรวบรวมพลังเวทไปที่ปลายมือ ส่วนสองตนนั้นที่เห็นรอยยิ้มของผมก็ร้องเฮออกมาเหมือนเจอดาราโดยไม่รู้ซะแล้วว่าต่อไปจะเจออะไร

          “ช่วยไปหาพระองค์ท่านทีนะคะ แสงแห่งพระเจ้าที่ลงทัณฑ์คนบาปเอ๋ยจงปรากฏต่อหน้าข้าและสลายวิญญาณชั่วร้ายพวกนี้ด้วย”

          เสาแสงขนาดใหญ่ได้พุ่งลงมาจากฝากฟ้า แล้วอาบร่างของเจ้าผีสองตัวนี่จนเรื่องของพวกมันเริ่มที่จะสลายๆไปอย่างรวดเร็ว

          “โอ้ววววว ไม่ได้ รูปที่อยู่ตรงหน้าข้า ข้ายังวาดไม่เสร็จ ข้าจะหายไปไม่ได้”

          “โอ้วววว ข้ายังไม่ได้เห็นสิ่งที่บันทึกความงดงามของท่านนักบุญ ตัวผู้นี้ยังไม่อาจกลับไปหาพระองค์ได้”

          ใช่ ผมรู้ดีว่าด้วยความบ้าของพวกนี้มันคงสร้างปาฏิหาริย์รวดจากการถูกส่งวิญญาณได้ แต่นี่ก็เพื่อถ่วงเวลาเพราะผมอาศัยจังหวะนี้พุ่งตัวเองออกจากห้องลับแล้วตรงขึ้นรถม้ากลับมหาวิหารทันทีโดยระหว่างกลับก็มีเสียงดังมาจากบ้านของฟรานซิสอย่างไม่ขาดสาย

          “โอ้ ท่านนักบุญช่างประเสริฐ แค่เห็นท่านก็ราวกับข้าเห็นสัจธรรมของโลก”

          “หากข้าไม่ได้เจอท่านนักบุญอีกข้ามิอาจไปสวรรค์ได้”

          คำตะโกนดังลั่นบ้านแตกของพวกนี้นั้นไม่ใช่แค่ผมที่ได้ยิน แต่ชาวเมืองรอบๆบริเวณนั้นต่างได้ยิน และมันคงไม่แปลกใจเลยที่จะถูกเอาไปลืออย่างหนาหูว่าวิญญาณในบ้านหลังนั้นได้ถูกผมชำระกลายเป็นวิญญาณผู้พิทักษบ้านไปเรียบร้อย

          ซึ่งจากเท่าที่ได้ยินมาทุกๆวันจะมีเสียงอยากเจอท่านนักบุญลอยออกมาจากบ้านเป็นระยะ ซึ่งแน่นอนว่า….

          ต่อให้เป็นชาติหน้าตูก็ไม่กลับไปหรอก!

           —————-

          จบไปแล้วครับกับตอนที่เฉลยความจริงอันแสนพรั่นพรึง อา การเมืองของที่นี่ช่างสับซ้อนยิ่งนัก

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์

Status: Ongoing
ตายไปต่างโลกไม่พอ ดันโดนเสกให้เกิดเป็นสาวน้อยน่ารักอีก หนักกว่านั้นไอ้พระเจ้าเฮงซวยดันสาปให้ทุกคำพูดที่จะด่ามันกลายเป็นสรรเสริญมัน เลยทำเอาชาวบ้านเข้าใจผิดว่าผมเป็นนักบุญซะงั้น เรื่องราวของสาวน้อยออโรร่าที่ถูกพระเจ้าให้พร(?) ไม่ว่านางจะพูดสิ่งใดก็ออกมาเป็นคำสรรเสริญพระเจ้าที่ออกมาจากจิตใจอันแน่วแน่ซึ่งแม้แต่เหล่าคนบาปทั้งหลายก้ยังต้องซึ้งในความศรัทธาของนาง (เรอะ) เอาล่ะ เรื่องราวน่ารักสดใสปนกาวเป็นถังขอเปิดอ้อมอกต้อนรับทุกท่านให้สูดกาวไปร่วมกันกับเหล่าตัวละครทั้งหลายที่ไม่รู้ว่าเมามาจากไหนกันเถอะ! ที่จริงเป็นเรื่องที่ลงในเด็กดีนานแล้วแต่มารีไรท์เพื่อแก้คำต่าง ๆ ครับ ส่วนตอนล่าสุดก็อัพเดทเรื่อย ๆ ในเด็กดี จะพยายามแก้ตอนเก่าให้ทันตอนใหม่ครับผม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท