อืดดดดด
นี่ก็ผ่านไปกว่าสัปดาห์หลังจากพิธีต้อนรับผมเข้าสู่ราชวัง ถึงเวลาจะผ่านไปเยอะขนาดนั้น แต่สภาพของผมในปัจจุบันกลับอืดเป็นแมวน้ำเกยตื้นทั้งยังมีตัวขี้เกียจเกาะอยู่เต็มตัวไปหมด
“มันจะว่างเกินไปไหม?”
สิ่งที่ผมได้ทำในราชวังแห่งนี้นั้นแทบจะนับนิ้วได้ หนึ่งกิน สองเดินเล่นไปมา สามพูดคุยกับชาวบ้านแล้วอวยพรเล็กน้อย สี่นอน ทั้งหมดที่ได้ทำก็มีวนไปวนมาอยู่แค่นี้จนผมเริ่มสงสัยว่า ทำไมพวกเขาถึงต้องเชิญตัวผมหลายต่อหลายครั้งทั้งที่พอผมมาก็ไม่ได้มีคำร้องขออะไร
อย่าว่าแต่ทำภารกิจเลย ขนาดกิจวัตรประจำวันยังแทบจะมีคนมาทำให้เกือบหมด ไม่ว่าจะเสิร์ฟอาหาร จัดที่นอน หรืออาบน้ำทำผม ทั้งหมดต่างมีเมดประจำตัวมาดูแลเป็นอย่างดีไม่มีขาด จนไอ้ผมเริ่มรู้สึกกลัว ๆ ว่าถ้ากลับไปที่วิหารแล้วผมจะติดความสบายจากที่นี่ไปหรือเปล่า
ด้วยเหตุผลทั้งปวงที่ว่ามาเลยทำให้ผมสงสัยจริงๆ ว่าท่านราชาจะให้ผมมานั่งนอนขี้เกียจแถมเพิ่มงานให้คนรับใช้ในวังของเขาทำไม?
หรือว่าจะเอามาประดับหิ้ง?
นั่นสิ ขึ้นชื่อว่าอาณาจักรที่มีศาสนาเป็นแกนหลักของการปกครอง ถ้าจะเอานักบุญมานั่งเล่นนอนเล่นเพื่อประดับบุญบารมีหรือเสริมโชคลาภก็คงไม่แปลกอะไร…… ใช่ซะที่ไหนล่ะเว้ย!!
นั่นมันราชาเลยนะ ราชา คนอย่างราชาที่ดูมีสติปัญญาแบบนั้นไม่น่าจะเชิญตัวผมมาให้นอนอืดในกรุแบบนั้นหรอกน่า
แต่ก็อย่างว่า มันช่างแปลกจริง ๆ ที่ไม่มีอะไรให้ผมทำ ต่างกับทางศาสนจักรที่ผมมาไม่นานถึงเดือนก็เล่นจับส่งไปทำภารกิจนั่นนี่จนชักเริ่มสงสัยว่าทางศาสนจักรคาดหวังอะไรกับเด็กอายุไม่ถึงสิบมากเกินไปหรือเปล่า…
เดี๋ยวนะ อายุไม่ถึงสิบ?
เออจริงด้วย ตอนนี้ตัวผมอายุไม่ถึงสิบเลยนี่หว่า ดังนั้นการที่คนอื่นจะไม่คาดหวังให้เด็กอายุเท่านี้ไปทำอะไรมากมายนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เจ้าพวกศาสนจักรที่ใช้ให้ผมไปทำนู๊นนั่นตั้งแต่อายุ 5 ขวบนั่นล่ะที่มันแปลก
ให้ตายสิ เพราะวิญญาณของผมมันดันอายุวัยรุ่นแถมพวกคนในศาสนจักรยังทำเหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกจนผมก็ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท เพราะงั้นมันก็เลยไม่ค่อยคุ้นเคยกับสภาพของผมในปัจจุบันที่เป็นแบบนี้
อืม สงสัยท่านราชาอยากให้ผมเรียนรู้บรรยากาศของทางฝั่งอาณาจักรแล้วก็ผูกมิตรกับคนของที่นี่เพื่อให้โตไปจะทำงานร่วมกันได้ง่าย ๆ ล่ะมั้ง
หากให้เทียบกับเกม RPG ที่เคยเล่นก็คงถือว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่ในช่วง tutorial ของเกม อย่างพวกสิ่งที่ควรทำ แนะนำฝ่ายหรือตัวละครที่ควรรู้จัก ดังนั้นตอนนี้คงอยู่ในช่วงแนะนำตัวละครกับฝ่ายของทางพระราชาอยู่ล่ะมั้ง
ถึงจะว่างั้นก็เถอะ นี่ผมแทบไม่ได้ไปแนะนำตัวกับใครเลย วัน ๆ ก็เอาแต่กินกับนอนจนรู้สึกว่าชุดเก่าที่เอามาด้วยมันชักจะเริ่มคับนิดหน่อยแล้วสิ…..หือ เสื้อคับ
เฮ้ย งานงอกแล้วไง นี่ผมลืมตัวไปได้ไงนะว่าถึงผมจะเป็นนักบุญแต่ก็ยังเป็นคนธรรมดาสามัญที่ถ้าวัน ๆ เอาแต่กินแล้วก็นอนมันย่อมเทิร์นเปลี่ยนร่างจากคนกลายเป็นหมูง่าย ๆ
“โอ้ท่านนักบุญ ร่างกายของท่านช่างอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก นี่ต้องนับว่าเป็นลางดีแห่งอาณาจักรเราที่จะอุดมสมบูรณ์ตามท่านเป็นแน่”
“นี่ต้องเป็นสัญญาณจากพระองค์ท่านที่บอกถึงอาณาจักรของพวกเราที่จะขยายกว้างใหญ่ไพศาลดั่งเช่นร่างของท่านนักบุญเป็นแน่”
เสียงกับภาพมันลอยมาเลย….. ภาพของตัวผมที่บวมอืดเป็นเส้นมาม่าค้างปีซึ่งนั่งอยู่แท่นบูชาแล้วมีเหล่าสาวกนับไม่ถ้วนเอาหมูหันมาบูชาพร้อมคำสรรเสริญยินดีแสนแปลกประหลาด
ไม่ได้ ๆ ผมจะให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด ผมส่ายหน้าไปมาให้กับความคิดอันแสนสุดสยองขวัญของตัวเอง
นี่เพราะวัน ๆ ไม่ทำอะไรสินะ…สงสัยงานนี้ผมคงต้องลากสังขารตัวเองออกจากเตียงแล้วหาอะไรทำก่อนที่จะกลายเป็นพะยูนเกยตื้นซะแล้ว
“เพราะงั้นจะรอช้าอยู่ทำไม เริ่มเควสเลยดีกว่า!”
ถูกต้อง เริ่มเควส ถึงแม้จะเป็นบทนำของเกมแต่บทนำก็ยังมีเควสให้ทำ ถึงมันจะเป็นเควสที่คนเล่นเกมหลาย ๆ คนคงขี้เกียจที่จะทำและอยากจะกดผ่านมันไปไว ๆ นั่นก็คือการคุย!
การคุย ภารกิจอันแสนน่าเบื่อแต่จำเป็นสำหรับผมมาก เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นนักบุญ โตไปรับรองว่าได้เจอขุนนางเข้าหาแบบไม่หยุดเพื่อมาหาผลประโยชน์แน่นอน รีบรู้จักพวกเขาตอนนี้ก่อนน่าจะดีกว่า…..เอ่อ จะพูดแบบนั้นตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วล่ะ เพราะขนาดแค่อายุห้าขวบก็…
ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อคิดถึงกองของขวัญที่ส่งมาตอนสมัยผมอยู่ที่มหาวิหาร แถมตอนมาที่ราชวังก็ยังมีของขวัญกองใหญ่ตามมาอีก มาเยอะขนาดที่ตอนมหาวิหารยังเทียบไม่ติดทั้งจำนวนและคุณภาพ…..ว่าแต่จะให้เพชรผมมาทำไมเนี่ย เด็กห้าขวบเองนะ!
แต่ช่างเรื่องของขวัญไปก่อนเถอะ ตอนนี้มาสนเรื่องสำรวจดีกว่าเพราะอย่างน้อยมันก็ได้ออกกำลังกายเดินไปเดินมาพอจะช่วยลดพลังงานสะสมที่นับวันชักจะทะลักขึ้นมาทุกที
ว่าแล้วผมก็เริ่มสะบัดตัวขี้เกียจนับแสนนับล้านที่เกาะผมมานานนับหมื่นปีออกก่อนจะคลานออกจากเตียงเพื่อป้องกันไขมันในระยะยาว
“ท่านนักบุญ?”
ชะอ้าว รู้สึกอีเว้นมันจะเกิดขึ้นเร็วไปไหมเนี่ย เดินออกจากห้องไม่กี่วินาทีก็มีคนมาทักผมซะแล้ว ไม่หันไปก็คงเสียมรรยาทดังนั้นผมจึงรีบหมุนตัวเองหาต้นเสียงก่อนยิ้มด้วยหน้าสดใสและล้นไปด้วยความเป็นเด็กไร้เดียงสา
ขึ้นชื่อว่าอยู่ในกลางดงเสือ ยิ่งทำตัวให้ดูไร้พิษภัยมากเท่าไหร่ ภัยก็จะมาหาเราน้อยลงเท่านั้น ดังนั้นช่างหัวศักดิ์ศรีลูกผู้ชายแล้วเป็นสาวน้อยผู้ใสซื่อให้เต็มเหนี่ยวดีกว่า
เมื่อหันไป ผมก็พบกับชายชราในชุดผ้าแพรสีน้ำเงินขลิบทองยาวจนเกือบถึงพื้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นนั้นบ่งบอกถึงอายุของเขาได้เป็นอย่างดี หากให้เทียบก็คงเท่ากับหรือมากกว่าท่านสังฆราชเล็กน้อย ส่วนเค้าโครงหน้าของชายชราคนนี้ถ้าให้บอกคงบรรยายได้แค่ว่า……น่าสงสัย
สีหน้าที่นิ่งสงบราวกับไร้อารมณ์พร้อมด้วยดวงตาสีน้ำเงินหม่นซึ่งพบเห็นได้มากในตัวละครที่ผ่านเหตุการณ์อันโหดร้ายมาอย่างโชกโชน ซึ่งดวงตานั่นกำลังจ้องผมอยู่ด้วยอารมณ์ที่ผมก็ไม่สามารถอ่านความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ได้…
จากรูปลักษณ์แบบนั้น ก็ไม่แปลกเลยที่ผมจะตกใจเพราะหันไปก็เล่นเจอหน้าใครไม่รู้หน้านิ่งเป็นรูปปั้นหินจ้องซะจริงจัง แต่อย่างน้อยถ้าให้เทียบกับเจ้าชายอันดับหนึ่งที่เล่นจ้องซะปานอยากกะซวกตับผมกิน มันก็ยังดีกว่าเป็นไหน ๆ
“ค่ะ ออโรร่าค่ะ?”
เขาว่าการพบกันครั้งแรกต้องทำให้อีกฝ่ายประทับใจดังนั้นผมเลยยิ้มไปด้วยใบหน้าของออโรร่าน้อยที่แสนน่ารักสดใสและใสซื่อสมวัย ไม่พอ เนื่องจากตอนนี้ผมกำลังอยู่ในราชวัง ดินแดนของพวกชนชั้นสูงเพราะงั้นมรรยาทจึงจำเป็นมาก ผมจับชายกระโปรงของตัวเองขึ้นมาและย่อขาตัวเองเล็กน้อยตามแบบฉบับขุนนาง
“แล้วท่านคือใครเหรอคะ?”
“นับว่าข้าเสียมรรยาทจริง ๆ ที่ผู้น้อยอย่างข้า ไม่แนะนำตัวเองก่อนเช่นนี้”
เดี๋ยว ๆ คุณตาครับ คือก็เข้าใจอยู่หรอกนะว่ายศนักบุญของผมมันสูงติดเพดานจนไม่ว่าใครก็ต่างต้องทำความเคารพ แต่ให้คุณตามาเรียกแทนตัวเองว่าผู้น้อยกับผมแบบนี้มันขนลุกยังไงชอบกลไม่รู้อะ แถมดูจากผ้าที่คุณตาใส่มาซะหรูแบบนี้ไม่น่าใช่ของที่คนธรรมดาหรือขุนนางชั้นล่างจะหามาใส่ได้ง่ายๆ ไม่ต้องสืบเลยว่าคุณตาตรงหน้าผมต้องเป็นขุนนางชั้นสูงติดระดับต้น ๆ ของประเทศนี้แน่ ๆ
“ข้า รีเชอลีเยอ เดอ โบอาร์ ขนนกที่หนึ่งแห่งเรสเวนและดยุคแห่งอาร์ค”
เหตุใดถึงต้องทำให้อ่านยากเช่นนั้นด้วย! ไม่ว่าจะชื่อ จะนามสกุล หรือกระทั่งยศของคุณท่านช่างอ่านและออกเสียงยากเสียเหลือเกิน ช่วยเกรงใจนักบุญที่แค่อ่านภาษาอังกฤษยังรู้สึกว่ายากเลยจะได้ไหม แล้วไอ้ยศที่ตามติดนั่นมันอะไรกัน ขนนกที่หนึ่ง? แปลว่ามันต้องมีที่สองและสามอยู่ใช่ไหม!
ว่าแต่เหตุใดคุณตาท่านถึงแนะนำตัวได้เป็นทางการเช่นนี้ แนะนำตัวได้เป็นทางการซะจนผมที่บอกแค่ชื่อตัวเองห้วน ๆ รู้สึกอายขึ้นมาตงิด ๆ นี่ถ้าจะทำให้สมศักดิ์กันผมต้องแนะนำตัวว่า ออโรร่า นักบุญแห่งราสเวนน่า ผู้รักพระเจ้าอย่างสุดซึ้ง บลาๆๆ ใช่ไหม…..ขนลุกง่ะ
“ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
“ข้าก็เช่นกัน ว่าแต่ท่านนักบุญออกจากห้องพักมาในยามเช้าเช่นนี้ มีเหตุอันใดหรือไม่เพราะตั้งแต่ท่านมาอยู่ที่นี่หนึ่งอาทิตย์ พวกข้าแทบไม่เห็นท่านออกจากห้องเลยจนแม้แต่องค์ราชายังเป็นกังวลว่าท่านจะป่วยหรือไม่?”
เอ่อ….. ผมจะบอกเขาอย่างไรดีล่ะว่าที่ผมแทบไม่ออกไปให้ใครเห็นหน้าเพราะถูกตัวขี้เกียจเกาะจนรากจะงอกจากตัวจนจะหยั่งรากฝังลึกในเตียงอยู่รอมร่อ ส่วนที่เดินออกมาวันนี้เพราะนอนอืดไม่มีอะไรทำจนเริ่มเบื่อ เลยเกิดคึกอยากสลัดตัวขี้เกียจเล่น ๆ ด้วยการไปทักทายทำความรู้จักชาวบ้านชาวช่อง
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปค่ะท่านร..รีเชอลี…ลี งับ อึก….”
เผลอกัดลิ้นอ่ะ ฮืออ อายจังเลย ใครให้ชื่อของคุณตาแกดันพูดยากซะจนลิ้นผมพันแบบนี้ล่ะ โธ่ พูดกัดลิ้นต่อหน้าชาวบ้านแบบนี้รู้สึกอายสุด ๆ ไปเลยอ่ะ อายจนรู้สึกว่าหน้าของผมมันเริ่มร้อนซะจนถ้าใครบ้าจี้เอาไข่มาวาง รับรองได้ว่ากลายเป็นไข่ต้มแน่นอน
แถมท่านรีเชอร์แกได้ยินผมเรียกชื่อแกแบบนั้นไปยังหน้านิ่งไม่ขำหรือโกรธสักนิด แบบนี้ยิ่งเสียวเข้าไปใหญ่ ในใจแกคงต้องคิดว่าผมเป็นเด็กตลกแน่ ๆ เลย ตายแล้ว ๆ ตาย ๆ
ใจเย็น ๆ สิออโรร่า ใจเย็น ๆ จะมาตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกตอนนี้ไม่ได้นะ ขืนเอาแต่ตกใจตาลายเป็นรูปเขาวงกตแบบตอนนี้ คุณตาคนนี้ได้มองว่าผมเป็นคนประหลาดแน่ ๆ ยิ่งพวกคนจากศาสนจักรยิ่งเพี้ยน ๆ อยู่ มิวายผมได้ถูกเอาไปเหมารวมกับพวกนั้นแหงม ๆ
“ต้อง…ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ค่ะ คือท่านรี…เชอลี…เยอร์คะ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ หนูแค่กำลังพยายามรวบรวมพลังเพื่อทำภารกิจที่สำคัญยิ่งอยู่น่ะค่ะ”
ใช่ รวมพลังความขยันเพื่อต่อสู้กับความขี้เกียจนับล้านที่เกาะผมไม่ปล่อยมาตลอดอาทิตย์มันช่างยากเย็นจริง ๆ แต่ก็สำคัญมากเพราะนี่คือเรื่องคอขาดบาดตายที่จะป้องกันไม่ให้ผมกลายเป็นพะยูนขึ้นอืด แต่จะพูดแบบนั้นตรง ๆ คงไม่ได้แถมการโกหกก็เป็นสิ่งไม่ดี….
“ดังนั้นเมื่อการเตรียมการของหนูเสร็จสิ้น จึงคิดว่าคงถึงเวลาที่หนูจะทำภารกิจอันแสนยิ่งใหญ่เสียทีค่ะ”
เมื่อพูดตรง ๆ ไม่ได้ โกหกไม่ได้ก็พูดมันแบบอ้อมโลกจนชาวบ้านชาวช่องมันแปลไม่ได้ไปเลยง่ายดี ไม่เสียหาย ไหน ๆ พวกเขาก็คิดว่าผมเป็นนักบุญอยู่แล้วคงไปแปลให้มันเป็นความหมายดี ๆ กันเองแบบทุกทีนั่นล่ะ!
“ภารกิจสินะ….. เหมือนท่านชาร์ลจะพูดอะไรประมาณนี้เหมือนกัน ว่าท่านนักบุญรักที่จะรับภารกิจช่วยเหลือผู้คน”
อะไรนะ! เจ้าชายมโนนั่นมันไปเล่าอะไรให้ท่านไม่ทราบ ขอบอกไว้เลยนะท่านว่าความน่าเชื่อถือของเจ้าหมอนั่นแทบจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินสุด ๆ เพราะเจ้าหมอนั่นชอบตีความไปแบบมั่ว ๆ ตลอด อย่างหนักสุดก็ตอนที่ดันเข้าใจผิดว่าหมั้นกับผมไง
ว่าแต่ผมไปบอกมันตอนไหนเนี่ยว่าผมชื่นชอบภารกิจช่วยผู้คน เพราะให้นับแล้วเจ้าภารกิจนี่แทบจะเป็นภารกิจอันดับท้าย ๆ ที่ผมเลือกเนื่องจากส่วนใหญ่มันต้องใช้เวทแล้วการใช้เวทของผมมันก็ดันมีเงื่อนไขที่ไม่ค่อยอยากจะหยิบมาใช้เท่าไหร่
“องค์ชายชาร์ลบอกเช่นนั้นเหรอคะ น่าดีใจจริง ๆ นะคะ ที่จำคำพูดของหนูได้ด้วย”
หึยย ถึงจะอยากปฏิเสธก็เถอะแต่ไอ้ผมมันก็อยู่ตำแหน่งนักบุญแล้ว จู่ ๆ จะมาบอกว่าผมไม่ชอบภารกิจดีงามอย่างการช่วยเหลือคนคงไม่ดีแน่ หากรู้ถึงหูของท่านสังฆราชรับรองว่าร้านขนมทั่วราชอาณาจักรถูกปิดแน่นอน!
“อ่าใช่! นี่ก็เป็นเรื่องหลักที่ข้ามาหาท่านนี่นะ”
ชายชราตรงหน้าเมื่อนึกเป้าหมายของตัวเองขึ้นมาได้ก็เอามือล้วงเข้าไปในผ้าคลุมสีฟ้าสวยของเขาก่อนจะค้นภายในอยู่ชั่วครู่
“นี่คือสิ่งที่องค์ราชาพระราชทานให้แก่ท่าน”
เขาล้วงกระดาษอะไรบางอย่างออกมาให้ผมซึ่งในนั้นมีตัวอักษรร่ายยาวและลงนามด้วยชื่อขององค์ราชาพร้อมมีตราประทับติดเอาไว้
“นี่คืออะไรเหรอคะ?”
“คำขอร้อง…จากองค์ราชาถึงท่านนักบุญเพื่อช่วยเหลือบ้านเมืองของพวกเราต่อวิกฤติที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า”
คำพูดของเขานั้นยังคงนิ่งเหมือนหินผา ไม่ได้เป็นน้ำเสียงร้องขออ้อนวอน ไม่ได้เป็นคำพูดของคนที่เปี่ยมล้นด้วยศรัทธาเหมือนคนอื่น เหมือนทั้งหมดที่พูดออกมาก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น……คนอะไร โคตรคูลเลย
นี่ถ้าบอกว่าเขาเป็นพวกแม่ทัพนายพลเก่าผมยินดีที่จะเชื่อเลยนะ ทั้งความสุขุมที่แสดงออกมาทั้งสีหน้าและแววตาซึ่งผมแทบหาไม่ได้จากอาณาจักรที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่สายตาของพวกสูดสารระเหย
ว่าแค่คำขอร้องเหรอ….? รู้สึกถึงลางไม่ค่อยดีเท่าไหร่ งานนี้มีอะไรยุ่ง ๆ ให้ผมทำอีกแน่นอน แถมเมื่อครู่ก็พูดเรื่องเจ้าชาร์ลมันมาบอกผมชอบ…..เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่า!
“องค์ราชาทรงได้ขอร้องตัวท่านสำหรับการช่วยเหลือดินแดนแห่งนี้ส่วนรายละเอียด ขอให้ท่านมาที่ห้องทรงอักษรในช่วงเวลาที่เขียนเอาไว้เพื่อหารือกัน”
นั่นไง มีงานให้ผมทำจริง ๆ ด้วย แต่ดูจากรูปแบบการพูดคุยแล้ว ทางนี้ดูมีแววรุ่งเรืองกว่าตอนอยู่กับท่านสังฆราชเยอะเลย เพราะทางนั้นถึงจะบอกว่าให้สิทธิผมเลือกจะทำอะไรก็เถอะ แต่จู่ ๆ ก็ชอบขอร้องกะทันหันอยู่บ่อย ๆ ไม่ถามไถ่สุขภาพคนลงพื้นที่สักนิด จะปฏิเสธก็เกรงใจแกอีก
“อันที่จริงความคิดเห็นของข้าก็สงสัยเสียจริงว่าเหตุใดถึงใช้ให้เด็กอายุเช่นท่านทำภารกิจเยี่ยงนี้ด้วย”
เหมือนได้ยินอะไรน่าสนใจ! ผมรีบหันหน้าขึ้นมองก็พบท่านรีเชอร์กำลังส่ายหน้าไปมาด้วยอารมณ์หน่ายใจ ทำให้ผมที่เห็นแทบจะร้องออกมาด้วยความยินดีพร้อมจ้องเขาด้วยตาเป็นประกาย
คนธรรมดา! ในที่สุด ในที่สุดที่นี่มันก็มีความคิดธรรรมดา ๆ ในที่สุดอาณาจักรนี้มันก็มีคนที่มีสติสตางค์กับเขาบ้างสักที ไชโย หลังผ่านร้อนผ่านหนาวกับอาณาจักรที่ล้นไปด้วยพวกสติเพี้ยนเสพกาววันละสองถึงสามเวลาหลังอาหาร สุดท้ายแผ่นดินแห่งนี้ก็ยังพอมีคนที่คิดว่าไอ้การส่งเด็กน้อยห้าขวบไปทำภารกิจปราบผี รักษาคนไฟไหม้หรือกระทั่งหาเสียงให้ศาสนจักรมันช่างเป็นอะไรที่โคตรจะบ้าและไม่เหมาะกับเด็กน้อยน่ารักอย่างออโรร่าสักนิด
ท่านรีเชอร์….ไม่สิ ท่านรีเชอลีเยอร์ ท่านช่างเป็นคนประเสริฐเลิศเลอเปี่ยมล้นด้วยสติปัญญายิ่งนัก นับว่าเสียดายจริง ๆ ที่รอบข้างตัวคุณตาผู้แสนจะมีความคิดเช่นนี้กลับรายล้อมไปด้วยพวกสติไม่เต็ม ไม่ว่าจะเป็นเจ้าชายจอมกระสวกไส้ เจ้าชายจอมมโน หรือกระทั่งไอ้ขุนนางที่ไปไล่จับคนเก็บรูปเด็กสาว
ผมสัญญา สัญญาว่าจะเรียกชื่อท่านแบบเต็ม ๆ ไม่ให้ติดขัดเป็นการตอบแทนแน่นอน!
“ไม่สิ…แต่ยังไงก็เป็นนักบุญ ถึงจะเป็นเด็กห้าขวบก็เถอะ…”
ไม่! ไม่ๆ ท่านรีเชอร์ ได้โปรดกรุณาอย่าหลงไปกับกาวที่เทราดไปทั่วราชวังและเมืองหลวงนี้เลย ความคิดแรกที่ท่านพูดมานั้นถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีความจำเป็นต้องไปคลางแคลงใจอะไรกับความคิดแรกแล้วเปลี่ยนไปใช้ความคิดที่สองสักนิด!
“ไหนจะยังคนผู้นั้น…..มันก็พอมีความเป็นไปได้ที่มันจะอยู่เบื้องหลังแต่ก็ยังสรุปมิได้ เมฆหมอกมันยังเยอะเกินไป”
ชักไม่ได้การ รู้สึกว่าสมองที่อยู่ภายในหัวของคุณตาชักจะเริ่มบินออกสู่ฟ้ากว้างขึ้นทุกที เห็นทีออโรร่าคนนี้จะต้องหาทางรีบตัดบทเพื่อทำลายปีกที่ติดอยู่ตรงสมองของท่านออกก่อนนำมันกลับไปใส่ไว้ที่เดิม ไม่งั้นผมคงได้ถูกคนที่นี่ใช้ให้ไปทำอะไรแปลก ๆ แน่นอน
“ว่าแต่ที่เรื่องงานที่ต้องหารือเนี่ยเป็นเรื่องอะไรงั้นเหรอคะ?”
ใช่ เมื่อเรือมันกำลังออกจากอ่าวที่เราต้องทำก็แค่ลากมันกลับเข้ามาอยู่จุดเดิม เมื่อครู่เหมือนคุณตาคนนี้จงใจที่จะเรียกผมจะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ ทว่าบทสนทนาของพวกเรากลับบินไปไกลเพราะเรื่องเด็กน้อยห้าขวบกับภารกิจที่เป็นไปไม่ได้ซะอย่างงั้น
“อาใช่ ข้าลืมเสียสนิทต้องขอโทษด้วย”
ท่านรีเชอลีเยอร์ก้มหัวให้ผมด้วยสีหน้านิ่งแบบเดิม ส่วนผมก็รีบโค้งกลับไปโดยถอนหายใจอย่างโล่งอกที่สมองของขุนนางชั้นสูงคนนี้ก็กลับมาเป็นผู้เป็นคนเหมือนเดิมสักที
ท่านคงต้องเหนื่อยมากแน่ ๆ ที่ต้องต้านทานความผิดเพี้ยนทางสมองอย่างรุนแรงของคนในศาสนจักรแห่งนี้ ผมจะขอเป็นกำลังใจให้ท่านนะครับ!
“เรื่องนั้นขออย่าได้เป็นกังวล การจะมอบหมายงานใด ๆ ให้ผู้ใดรับย่อมต้องดูความเหมาะสม ดังนั้นทุกสิ่งที่เราขอร้องท่านย่อมไม่เกินกว่าที่ท่านจะสามารถกระทำได้อย่างแน่นอน”
“ขอบคุณมากค่ะ”
เมื่อการชี้แจงของเขาสิ้นสุด ผมก็โค้งหัวขอบคุณโดยในใจก็หวังแต่ว่าท่านดยุคคนนี้จะช่วยให้ผมไม่ต้องเจอภารกิจอะไรแปลก ๆ แบบสมัยอยู่กับศาสนจักรที่ไม่ว่าจะทำกี่ครั้งก็รู้สึกอยากเอาหัวไปซุกกับปี๊บถังทุกรอบ
แต่ดยุคคนนี้ก็นับว่าแปลกกว่าขุนนางคนอื่นที่ผมเจอในวัง เพราะปกติต่อให้ธุระจบแล้ว หลาย ๆ คนก็ชอบมากราบไหว้หรือขอพรกับผมซะจนรู้สึกสยองขวัญกับความบ้าคลั่ง แต่เขาคนนี้เมื่อพูดธุระเสร็จก็ตรงกลับทันที
คนอะไรจะจริงจังกับงานได้เบอร์นี้ ชื่นชม ๆ ผมขอให้ท่านอยู่รอดปลอดภัยไม่ถูกผลกระทบจากกาวรอบด้านจนสมองท่านไม่บินไปก่อนจะเกษียณนะ
“ว่าแต่นี่นับว่าโชคร้ายจริง ๆ เลยที่ดันโดนเข้าใจผิดว่าชอบทำงานกุศลช่วยเหลือชาวบ้าน อดนอนอืดเลยเรา”
ผมก็ได้แต่ก้มน้ำตาไหลให้กับชีวิตซวย ๆ ที่ดันต้องมาเหนื่อยให้กับบทนำของเกมชีวิตที่เปิดมาไม่ทันไรก็เล่นมอบเควสมารัว ๆ ไม่เกรงใจคนรับสักนิด
“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะองค์ชายชาร์ลแท้ ๆ เชียว”
อย่าให้แม่เจอหน้านะ จะจัดการซะให้เข็ดเลยคอยดู
“ออโรร่าเรียกชื่อผมมีอะไรอย่างงั้นเหรอ?”
ชะอ้าว พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา งานซวยไม่ทันหาย งานบรรลัยก็เข้ามาแทรก เจองานเหนื่อย ๆ ไม่พอยังต้องมาเจอเด็กนรกที่เป็นต้นเหตุอีก โอ๊ยชีวิตผม ทำไมมันถึงได้เศร้าขนาดนี้
—————————————————
มาพักเบรกกับบทเบาสมองเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังจากโดนปั่นสมองลงถังเมื่อวานนะครับ