ตอนที่ 26 ความเคลื่อนไหวจากเมืองหลวง
“ไม่เป็นไรหรอกนะ ฮิคารุ ไม่ต้องกังวลไปหรอก”
“ฉันรู้ แต่ฉันทำเพื่อตัวเองน่ะ”
ไม่ใช่เพื่ออัศวิน ไม่ใช่เพื่อใครทั้งนั้น แต่เป็นเพื่อตัวเขาเอง อัศวินนั้นได้รับสิ่งที่สาสมแล้ว แต่ว่า ฮิคารุสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่ฆ่าใครในการช่วยลาเวีย แต่เรื่องหลังจากนั้นไม่ใช่เรื่องของเขา เขาไม่จำเป็นต้องกังวลแม้แต่น้อย แต่ว่า
“ฉันไม่อยากเสียใจภายหลังน่ะ แล้วฉันก็ทนไม่ได้ที่พวกนั้นจะทำแบบนี้น่ะ”
“หมายความว่ายังไงน่ะ”
“ฉันน่ะเป็นคนไว้ชีวิตเขา แล้วไอ้พวกที่ไม่เกี่ยวอะไรดันแส่จะมาฆ่าเขา ฉันค่อนข้างโมโหเลยล่ะที่เจ้าพวกนั้นมายุ่งไม่เข้าเรื่องแบบนี้น่ะ”
ลาเวียถอนหายใจ
“นายมั่นใจตัวเองเกินไปแล้วนะรู้ตัวมั้ย”
“ทำให้ผิดหวังเหรอ”
“ไม่หรอก เราเข้าใจว่านั่นคือตัวนาย ถ้านายอยากทำอะไรเราก็ไม่ห้ามนายหรอกนะ แต่สัญญานะ ว่าจะไม่ฝืนตัวเองจนเกินไปน่ะ แล้วก็อย่าทำอะไรอันตรายด้วย”
“ได้สิ ฉันสัญญาเลย”
ฮิคารุพาลาเวียไปส่งที่ห้อง หลังจากนั้นก็ตรงไปที่คฤหาส ที่นั่นมีพวกอัศวินจากเมืองหลวงอยู่ รวมไปถึงอีสด้วย
“หมอนั่นโง่รึไงเนี่ย”
ในห้องนั้นมีคนอยู่สามคน ชายที่ใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงินขอบสีแดง และมีสัญลักษณ์ของผู้สอบสวน เขานั้นมีทรงผมโมฮอค และคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามของเขาคือ เพื่อนร่วมงานของอีสนั่นเอง
“นี่ ชาค่ะ”
“ขอบใจ”
เมดเข้ามาในห้องพร้อมกับเข็นรถเข็นมาด้วย การทำงานจนดึกนั้นทำให้คอแห้งมากเลยทีเดียวแล้วผู้สืบสวนก็ยังชอบดื่มชาร้อนแม้กระทั่งในหน้าร้อนแบบนี้ด้วย เขารอให้เมดออกไปและเริ่มพูดขึ้น
“แล้ว หมอนั่นเป็นบุตรของบารอนสินะ”
“ใช่ครับ พวกเขาอยากให้เป็นชนชั้นสูงในนามเท่านั้นน่ะครับ”
ขุนนางที่ไม่มีที่ดินนั้น จะถูกเรียกว่าขุนนางในนาม ที่พอนโซเนียนี้มีกฎหมายที่ว่ามีแต่ขุนนางเท่านั้นที่จะสามารถมีบทบาทในการปกครองได้ เพราะแบบนั้น จึงมีระบบการแต่งตั้งขุนนางโดยไม่มอบดินแดนให้ขึ้นมา
และสำหรับผู้ที่มีความสามารถแล้ว การที่ได้เป็นชนชั้นสูงนั้นค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดีย ไม่ถูกจำกัดโดยรุ่น แถมยังมีเงินเดือนประจำอีก ไม่ว่าจะได้ดินแดนหรือไม่ก็ตาม
นี่ค่อนข้างเป็นปัญหาเลยทีเดียว ถ้าไม่ควบคุมไว้ จำนวนของขุนนางนั้นจะมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อย
“พ่อของเขาไม่ได้เป็นอัศวินของ บัญชาแห่งอัศวินสินะ ตามเอกสารเห็นว่าเป็นคนที่คอยจัดการเรื่องภาษีสินะ” ผู้สืบสวนพูด
“ผมได้ยินมาน่ะครับว่า พ่อของเขาเป็นคนที่ค่อนข้างเข้มงวด พอเขารู้ว่าอีสไม่เหมาะกับเรื่องตัวเลขเขาก็เลยส่งให้เขามาเข้ากองอัศวินน่ะครับ”
“แล้วเขาเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“สุดยอดมากเลยครับ ไม่มีใครฝึกหนักเท่าเขาเลย”
“ถ้าฝึกหนักขนาดนั้นแล้วหมอนั่นแพ้โจรได้ยังไงล่ะ”
“นั่นก็กวนใจผมพอสมควรครับ ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าอีสจะแพ้โจร”
“หมอนั่นบอกว่าโดนเด็กจัดการสินะ”
ชายคนหนึ่งกัดฟันส่วนอีกคนจึงรีบตัดเข้ามาในการสนธนาทันที
“บางทีอาจจะมีสิ่งที่ทำให้เขาพูดความจริงไม่ได้อยู่ก็ได้นะครับ”
“เรื่องนั้นตัดออกไปได้เลย ฉันใช้เครื่องจับเท็จดูแล้ว และมันไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย หรือบางทีหมอนั่นอาจจะทำให้ตัวเองเชื่อว่าที่พูดอยู่เป็นเรื่องจริงก็ได้”
“ถ้าเป็นแบบนั้น บางทีเขาอาจจะถูกหลอกก็ได้นะครับ พวกโจรอาจจะใช้สักวิธีเพื่อให้อีสเชื่อก็ได้”
“แบบนั้นน่าจะเป็นไปได้นะ”
ทั้งสองคนโล่งอกเมื่อผู้สืบสวนไม่มีทีท่าที่จะปองร้ายอีสอีกต่อไป
“อย่าเข้าใจผิดไป งานของฉันคือการหาความจริงเท่านั้น ไม่ใช่การปกป้องเกียรติของอัศวิน”
“พวกเราเข้าใจดีครับ ใช่มั้ย”
“อืม”
“เข้าใจก็ดี ยังไงก็เถอะ มีเรื่องอยากจะถามเกี่ยวกับเรื่องการฆาตรกรรมน่ะ” ผู้สืบสวนพูด “นักฆ่าลอบเข้ามาผ่านทางประตูระเบียงตอนกลางคืนสินะ อาวุธสังหารคือมีดสั้นความยาวสามสิบสองซม. ถูกทิ้งเอาไว้ในที่เกิดเหตุ ทันทีที่วิ่งไปถึงที่เกิดเหตุพวกนายกับอีสก็เห็นลาเวีย ดี มอร์คสแตทอยู่ที่นั่นอยู่แล้วสินะ”
“ใช่ครับ”
“ถ้าเป็นแบบนั้น ก็แปลว่าเธอเป็นผู้เห็นที่เกิดเหตุเป็นคนแรกสินะ ถ้างั้นที่ส่งเธอไปเมืองหลวงก็ถูกแล้วล่ะ”
“ครับ แต่ผมไม่คิว่าเธอจะเป็นคนฆ่านะครับ”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
“ถ้าเธอเป็นคนฆ่าจะต้องมีเลือดติดที่เสื้อผ้าบ้างสิ แต่ไม่มีรอยเลือดบนเสื้อของเธอเลยนะครับ”
“ถ้างั้น ขอถามหน่อยสิ พวกนายใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะไปถึงห้องนั้นล่ะ”
“น่าจะไม่ถึงนาทีนะครัย”
“ถึงจะอยู่ที่ไหนในคฤหาสก็น่าจะใช้เวลาประมาณนั้นนะครับ” อัศวินที่เป็นเสือผู้หญิงเห็นด้วย
“งั้นก็สันนิษฐานอย่างนี้ก็แล้วกัน ฆาตรกรนั้นเข้ามาจากทางเดินในคฤหาส ทันทีที่เคาท์รู้ว่ามีคนเข้ามาก็รีบกดสัญญาณ จากนั้นเขาก็ถูกฆ่า และก่อนที่พวกนายจะไปถึง ลูกสาวของเคาท์ก็เปิดประตูอยู่ก่อนแล้วและเธอบอกว่าไม่เห็นนักฆ่าสินะ”
“อ๊ะ….”
อัศวินดูเหมือนจะฉุกใจอะไรบางอย่างได้
“ท่านลาเวียบอกว่าไม่เห็นนักฆ่างั้นเหรอ”
“ใช่แล้ว ตามนั้นล่ะ แปลว่านักฆ่านั้นสามารถฆ่าเขาได้และใช้เวลาหนีไปโดยใชเวลาแค่แปบเดียวเท่านั้นใช่มั้ยล่ะ แบบนั้นน่ะ ฉันคิดว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยนะ แล้วอีกอย่างแทบไม่มีร่องรอยการขัดขืนของเคาท์เลย แล้วเขายังมีอุปกรณ์เวทที่สามารถเปิดใช้งานโดยแค่ใช้การสั่งการด้วยเสียงอีก ใช่มั้ยล่ะ”
“และอุปกรณ์เวทนั้นก็ไม่สามารถใช้การได้ถ้ามีคนอยู่ใกล้มากๆด้วย”
“ถูกต้อง แปลกนะที่คนร้ายเข้าไปใกล้ได้จนทำให้เขาใช้มันไม่ได้เลยน่ะ”
“อ๊ะ เข้าใจล่ะ”
“หรือก็คือ เคาท์นั้นปล่อยให้คนร้ายเข้าใกล้ได้ และคนร้ายก็ไม่ได้เขามาจากทางระเบียง หรือก็คือ คนที่จะเข้าใกล้ท่านเคาท์ได้ขนาดนั้น ก็คือลูกสาวยังไงล่ะ”
ทั้งสามคนต่างจ้องหน้ากันอีกครั้ง
“ทำหน้าเหมือนเคลือบแคลงในข้อสันนิษฐานของฉันเลยนะ”
“ไม่ครับ ถ้าตามเหตุผลแล้วมันน่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่า มันยังมีอะไรแปลกๆอยู่”
“ผมเห็นด้วยกับเขานะครับท่าน ก็ใช่ที่ลูกนั้นสามารถเข้าใกล้พ่อแม่ได้ แต่มันไม่ปกติเลยนะที่ลูกจะฆ่าพ่อแม่น่ะ โดยเฉพาะเด็กแบบเธอด้วยแล้ว…”
“รูปร่างภายนอกมันไม่เกี่ยวนะ ไอ้โง่เอ้ย อ๊ะขอโทษครับ ท่าน ถึงเราจะไม่ได้สนิทกับเคาท์แล้วภารกิจของเราก็ยังคุ้มกันได้แค่วันเดียวอีก แต่แค่วันเดียวก็พอที่จะทำให้รู้อะไรได้แล้วนะครับ”
“อะไรล่ะ” ผู้สืบสวนถามออกมา”
“เคาท์น่ะไม่ไว้ใจลูกของตัวเองยังไงล่ะ”
“ไม่ไว้ใจเหรอ”
“ท่านลาเวียถูกกักไว้ในบ้านและไม่สามารถออกไปขางนอกไปเป็นปีแล้วไงล่ะ”
“เธอถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวงั้นเหรอ แค่นั้นก็เป็นแรงจูงใจได้แล้วนะ”
“ใช่แล้ว แต่นั่นก็หมายความว่าเคาท์ก็ไม่น่าจะยอมให้เธอเข้าใกล้ได้เหมือนกัน ถ้าเป็นแบบนั้นข้อสงสัยที่บอกว่าคนร้ายต้องเข้าใกล้ตัวเหยื่อนั่นก็ถูกปัดตกไปนะครับ”
“เข้าใจล่ะ ตรงประเด็นดีนะ”
“แต่นี่ท่านไม่ได้จดลงสมุดเลยงั้นเหรอ”
“ใช่สิ” ผู้สืบสวนปิดสมุดไป
“แค่เธอหนีไปก็มั่นใจได้แล้วว่าเธอน่ะเป็นคนร้าย ตอนนี้น่ะฉันได้รับโทรศัพท์เวทให้หาเบาะแสที่จะช่วยให้จับเธอได้ยังไงล่ะ”
“โทรศัพท์เวท…. นี่ต้องเสียเงินไปเท่าไรกัน”
โทรศัพท์เวทนั้นเป็นอุปกรณ์ที่ถูกติดตั้งในคฤหาสของเจ้าของที่ดิน มันต้องใช้ทรัพยากรณ์เป็นอย่างมากเพื่อให้มันทำงานได้ ดังนั้นจึงต้องใช้ในเวลาฉุกเฉินเท่านั้น แต่ว่าที่พอนด์นั้นไม่มีเจ้าของที่ดิน ดังนั้นจึงถูกติดตั้งในสถานีของอัศวินแทน และการที่พอนด์กับเมืองหลวงนั้นห่างกันไม่มาก แปลว่ามันต้องถูกใช้ในสถานการณ์ที่ฉุกเฉินจริงๆเท่านั้น
“ต้องขออภัยด้วยนะครับท่าน อาจจะช้าไปหน่อยเพราะเธอหนีไปได้แล้วแต่ผมเชื่อว่าพวกนักผจญภัยเป็นคนร้ายครับ”
“อีสก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันสินะ”
“ใช่ครับ”
“ถ้างั้นเขาก็น่าจะเป็นผู้บริสุทธิ์ล่ะนะ ถ้าพวกนักผจญภัยทำงานร่วมกับพวกโจรน่ะ”
“ใช่แล้วครับ ถ้าอย่างนั้น—”
“แต่พวกเราจัดการเรื่องนี้ไปแล้วล่ะ นี่เป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ด้วยล่ะนะ เพราะว่าหน่วยพิเศษน่ะจัดการพวกนั้นไปแล้วยังไงล่ะ”
ทันใดนั้นทั้งสองคนกูไม่รู้จะพูดอะไรเลยทีเดียว
“หน่วยพิเศษเหรอ พวกนั้นเป็นพวกที่ถูกส่งไปแนวหน้าของสงครามไม่ใช่เหรอครับ”
“ก็เป้าหมายเป็นพวกนักผจญภัยล่ะนะ ใครจะไปรู้ว่าพวกนั้นจะทำอะไรบ้าง”
“นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอครับ”
“ฟังนะ” ผู้สืบสวนพูดพร้อมกับเคาะโต๊ะ “ฝ่าบาทน่ะจับตามองคดีนี้อยู่ ฉันต้องรีบรวบรวมข้อมูลและปิดคดีนี้ให้เรียบร้อย และพรุ่งนี้ฉันต้องไปที่เมืองหลวงแล้วด้วย”
“อืมมม..”
“เข้าใจล่ะ…”
“ส่วนเรื่องอีสน่ะ มันขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้มาล่ะนะ ทั้งเรื่องที่ว่านักผจญภัยร่วมมือกับพวกโจรรึเปล่า ท่านลาเวียเป็นคนฆ่าใช่มั้ย แต่ถ้านักฆ่าเข้ามาจากด้านนอกจริงๆ พวกนายเองก็จะได้รับโทษตายล่ะนะ”
“อึก!”
หน้าของทั้งสองคนซีดเผือด
“ไม่นะ ผมยังมีลูกกับเมียอยู่นะครับ”
“ฉันไม่ใช่คนตัดสินสักหน่อย ในการให้ปากคำของพวกนายมันยังมีบางส่วนที่น่าสงสัยอยู่ ถ้าไม่ว่าอะไรขอใช้เครื่องจับเท็จได้มั้ยล่ะ ถ้าพวกนายไม่ใช่ผู้ต้องสงสัยฉันต้องขอก่อนน่ะ”
“ดะ ได้ครับ นายก็ตกลงใช่มั้ย”
“อือ”
ผู้สืบสวนหยิบบางอย่างที่คล้ายกับปากกาออกมา และวางลงบนโต๊ะ และฮิคารุก็แอบฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
เช้าวันต่อมา
กิลด์เปิดทำการทันทีที่ประอาทิตย์ขึ้น ในหน้าหนาวนั้น ที่นี่จะถูกเปิดตอนที่ยังเช้ามืดอยู่ พนักงานต้อนรับทุกคนนั้นไม่ค่อยชอบกะเช้าเท่าไร แต่ว่า ออโรร่านั้นชอบกะเช้ามากเพราะพวกนักผจญภัยยังไม่เยอะเท่าไรนัก
“โอ๊ะ”
เด็กหนุ่มเข้ามาในกิลด์ทันทีที่กิลด์เปิดทำการ ตอนนี้ยังไม่มีพวกนักผจญภัยอยู่รอบๆ ออโรร่าจึงพูดกับเขา
“มีคำร้องให้กิลด์เหรอจ๊ะ”
เธอคิดว่าเขานั้นเป็นลูกค้าเพราะเขายังดูเด็กเกินกว่าที่จะเป็นนักผจญภัย
“ไม่ล่ะครับ ผมมารับคำร้องน่ะ” เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับแสดงบัตรกิลด์
“โอ้ เข้าใจล่ะ ขอโทษทีนะจ๊ะ เอ่อ….คุณฮิคารุสินะ ไม่เคยเห็นหน้าแถวนี้มาก่อนเลยนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ปกติผมรับคำร้องกับคุณจิลกับคุณกลอเรียน่ะ”
ออโรร่าตกใจที่เขาเคยรับคำร้องจากเพื่อนร่วมงานมาก่อนแล้ว
“แล้ว คุณเป็นใครน่ะ”
“ฉันชื่อออโรร่าน่ะ ดีใจที่ได้ร่วมงานด้วยนะจ๊ะ” ออโรร่าพูดพร้อมกับก้มหัว
“เช่นกันครับ”
ฮิคารุก้มหัวกลับ ท่าทางของเขานั้นทำให้ดูเหมือนกับว่ายังเด็กอยู่จริงๆ
“ผมหาคำร้องอยู่น่ะครับ คุณออโรร่า”
“แบบไหนดีล่ะ”
เด็กหนุ่มยิ้มออกมา
“ก็งานส่งของไปที่เมืองหลวงน่ะครับ ผมอยากเห็นที่นั่นด้วยตาตัว้องสักครั้งน่ะครับ”