ตอนที่ 27 มุ่งสู่เมืองหลวง
เมืองหลวงของอาณาจักรพอนโซเนีย ถูกรู้จักในอีกชื่อว่า เมืองหลวงที่ราบ
การที่ตั้งอยู่ในที่ราบนั้น ส่งผลให้สามารุขยายเมือง ถนนออกไปได้ง่าย ความอุดมสมบูรณ์นั้นถือเป็นเครื่องหมายของอาณาจักรพอนโซเนีย ทุ่งกว้างแผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง และในฤดูฝน ที่นี่จะกลายเป็นเหมือนกับทะเลสีทองเลยทีเดียว
ด้วยความที่ถูกล้อมรอบด้วยสองอาณาจักรที่เป็นศัตรู นั่นทำให้มีการจัดตั้งชนชั้นสูงที่คอยดูแลที่นั่นขึ้นมา พวกเขานั้นถูกเรียกว่า มาร์เกรฟ ซึงสาทารถมีกองกำลังเป็นของตัวเองได้
ด้วยการป้องกันของเหล่ามาร์เกรฟ ทำให้ภายในอาณาจักรค่อนข้างเจริญรุ่งเรืองเลยทีเดียว ด้วยสินค้าที่ราคาถูกที่มากมาย พอนโซเนียจึงรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก เพราะแบบนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจที่จะมีคนอยากที่จะแพร่กระจายอิทธิพลออกไป
ด้วยความที่เป็นที่ราบ ทำให้ถูกบุกได้ง่าย จึงได้มีการสร้างสิ่งหนึ่งขึ้นมาเพื่อโต้กลับ นั่นคือ ปราการเคลื่อนที่ ทหารเกราะหนักที่ถูกรู้จักกันเป็นอย่างดี พลังป้องกันสูงโดยแลกกับการที่เคลื่อนที่ลำบาก
“ก็ นั่นสินะทหารเกราะหนักที่ร่ำลือกันน่ะ เกราะพวกนั้นดูเบาอยู่นะถ้าถามฉันน่ะ”
การฝึกขนาดใหญ่นั้นถูกจัดอยู่ที่ขอบของเมืองหลวง เพื่อกระจายชื่อเสียงของความแข็งแกร่งของกองทัพ และอีกเหตุผลคือ เกราะมันหนักเกินไป ทำให้การฝึกปกติทำกันภายในอาณาจักร ส่วน การฝึกขนาดใหญ่ถูกตั้งอยู่นอกเมือง
“สุดยอดไปเลย เพื่องเคยเห็นเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย” ลาเวียพูด
“เธอก็ด้วยเหรอ ไม่ใช่ว่านี่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองหลวงหรอกเหรอ”
ฮิคารุและลาเวียคุยกันอยู่ภายในรถม้า ผู้โดยสารคนอื่นนั้นนั่งห่างออกไปทำให้ทั้งคู่สามารถกระซิบคุยกันได้ จากตรงที่นั่งอยู่ ทั้งคู่สามารถมองเห็นค่ายฝึกได้ เกราะนั้นคลุมทั่วทั้งตัว และถูกลงสีแบ่งตามหน่วยที่อยู่โดยมีสี ม่วง เขียว และน้ำเงิน อาวุธที่ใช้ก็เป็นหอกยาวที่มีปลายเป็นขวาน ฮัลเบิร์ดนั่นเอง ฮิคารุสงสัยว่าฮํลเบิร์ดจะถูกนับว่าป็นหอกยาวด้วยรึเปล่าสำหรับโซลบอร์ดแล้ว พวกทหารฝึกการใช้ฮัลเบิร์ด เข้าโจมตี และกระโดด เพื่อที่จะให้พวกเขาสามารถใช้เกราะหนักได้อย่างคล่องแคล่ว มีพวกที่ตีลังกากลับหลังด้วย
“..พวกนั้นใช้เวทมนต์งั้นเหรอ”
“แน่นอนสิ แต่ไม่ใช่ทหารหรอกนะที่ใช้น่ะ ดูเหมือนว่าในหนังสือจะเป็นที่ตัวเกราะน่ะ”
“เข้าใจล่ะ”
เท่านี้ก็สมเหตุสมผลแล้ว เพราะตัวเกราะที่เป็นแหมืองแมจิคไอเทม ทำให้ผู้สวมได้รับบัพอยู่เหมือนกัน ดังนั้นแทนที่จะมาฝึกทีละคน ก็บรรจุเวทไปเลยดีกว่า แต่ว่าการที่จะทำให้เวทที่บรรจุอยู่สามารถใช้ได้นั้นจำเป็นต้องมีมานา แต่เพราะแบบนั้น ทำให้มีเวลาจำกัดในการใช้งานอยู่
สงครามที่ไม่ใช้ปืนเหรอ น่าสนใจแฮะ ถึงสงครามมันจะไร้ประโยชน์ก็เถอะ
ผลไม้แห่งชัยชนะนั้นหอมหวาน แต่ว่าสำหรับผู้แพ้นั้น แย่สุดๆ
“เราเห็นเมืองหลวงแล้วล่ะ” ลาเวียพูด
ฮิคารุมองไปข้างหน้าจากระยะนี้เขาสามารถเห็นสิ่งที่ล้อมรอบปราสาทอยู่ เป็นเมืองที่ถูกสร้างโดยมีปราสาทเป็นจุดศูนย์กลาง
“ใหญ่สุดๆไปเลยนะเนี่ย”
นั่นคือความประทับใจแรกของฮิคารุ
“…ล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย”
แต่ทันทีที่เข้าเมืองไป ฮิคารุแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง ฮิคารุนึกถึงสิ่งที่จิลเตยพูดไว้ว่าเมืองหลวงมีประชากรณ์มากกว่าพอนด์ถึงห้าสิบเท่า ทีแรกเขาก็ไม่นึกว่าจำนวนนี้มันมากขนาดไหนแต่พอได้เห็นจริงๆแล้ว
ที่นี่มันอะไรเนี่ย ใหญ่ขนาดไหนกัน
“เดี๋ยวสิ ที่นี่ไม่มีจุดตรวจอะไรแบบนี้เลยเหรอ”
แล้วก็มีเสียงหัวเราะจากคนที่ดูท่าทางเหมือนพ่อค้า
“ฮ่าฮ่าฮ่า แม่นแล้วไอ้หนู ที่นี่น่ะไม่มีจุตรวจหรอก เมืองใหญ่ขนาดนี้น่ะ ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนา”
ดูเป็นคนดีจังแฮะ ฮิคารุคิด แล้วก็เริ่มเก็บข้อมูล
“ก็จริงนะ นี่แปลว่าจะไปที่ไหนในเมืองหลวงก็ได้น่ะสิ”
“ใกล้ๆกับปราสาทจะมีชุมชนของพวกชนชั้นสูงอยู่ ที่นั่นน่ะล้อมรอบด้วยกำแพงแล้วก็มีจุดตรวจด้วยนา”
“เข้าใจล่ะ ไม่ค่อยรู้สึกปลอดภัยเลยแฮะถ้ามีจุดตรวจแค่ที่นั่นน่ะ”
“ไม่ต้องห่วงไปหรอก ที่เมืองนี้น่ะมีเวรยามคอยลาดตระวเวณอยู่ แต่แปลกแฮะ ปกติน่าจะมีสักคนสองคนมาตรวจตราให้เห็นแล้วนี่นา ทำไมวันนี้ไม่เห็นเลยนะ”
ลาดตระเวณเหรอ จะมีการเรียกตรวจรึเปล่าเนี่ย ความรู้สึกแย่ๆก่อตัวขึ้น ฮิคารุมองออกไปนอกหน้าต่าง สิ่งที่เห็นก็มีเพียงแค่ประชาชนที่เดินอยู่เท่านั้น ไม่เห็นเวรยามที่คอยตรวจตราเลย และก็มีเสียงพูดหนึ่งดังขึ้นมาจากผู้หญิงที่นั่งข้างๆพ่อค้า ภรรยาของเขานั่นเอง
“คงเป็นเพราะช่วงนี้ใกล้ช่วงสงครามน่ะ ที่รัก”
“อ๊ะ…..”
แล้วท่าทางของทั้งคู่ก็หดหู่ลง อาณาจักรนั้นไม่สามารถแบ่งคนออกมาเพื่อตรวจตราได้ และการฝึกขนาดใหญ่นั่นก็ถือเป็นการบลัฟด้วย เพื่อแสดงให้ศัตรูเห็นว่าพวกเขากำลังเตรียมตัวทำสงครามอยู่
“ยังไงก็เถอะนะ พวกเธอมาที่เมืองหลวงกันทำไมเหรอ หืม ฉันเหรอ ฉันเปิดร้านขายของอยู่ที่นี่น่ะ”
คู่รักนั้นเป็นห่วงพวกฮิคารุมาก พวกเขาเสนอว่าจะช่วยแต่ฮิคารุก็ปฏิเสธไปอย่างสุภาพ
และทั้งคู่ ก็ได้เข้าเมืองไปอย่างปลอดภัย
“ได้รับของแล้วล่ะ ขอบใจนะ”
กิลด์นักผจญภัยสาขาเมืองหลวงนั้นใหญ่กว่าที่พอนด์ถึงสิบเท่า ที่เคาท์เตอร์มรพนักงานต้อนรับถึงเจ็ดคน ถ้าเทียบจากขนาดแล้วที่นี่ดู้ค่อนข้างมีคนน้อยเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าสงครามจะส่งผลกับที่นี่ด้วยเช่นกัน
งานของฮิคารุก็คือการส่งจดหมายปิดผนึกให้กับพ่อค้าในเมืองหลวง เควสนั้นจะสำเร็จก็ต่อเมื่อเขาไปถึงที่กิลด์เท่านั้น
ที่นี่ก็มีบริการส่งไปรษณีย์เหมือนกับที่ญี่ปุ่น แต่ก็เฉพาะกับเมืองใหญ่ๆเท่านั้น ถ้าเป็นเมืองรอบนอกหรือว่าในป่าลึก นักผจญภัยจะเป็นคนรับหน้าที่นี้ไปแทน แต่อัตราความสำเร็จมันก็ยังต่ำมากอยู่ดี
“อ๊ะ ถ้าเควสนี้เสร็จแล้ว ก็เหลืออีกสองเควสเธอก็จะได้เลื่อนเป็นแรงค์ F นะ”
และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ฮิคารุรับเควสนี้ เขานั้นอยากเลื่อนไปแรงค์ E เพื่อที่จะได้ไปถึงขั้นต่ำที่จะเข้าไปในดันเจี้ยนได้
และเงื่อนไขที่จะสามารถเลื่อนแรงค์ได้นั้นก็คือการทำเควสระหว่างกิลด์สาขาหนึ่งสู่อีกสาขาหนึ่ง และเควสที่ง่ายทรี่สุดก็เป็นเควสส่งของไม่ก็คุ้มกัน แต่ว่าไม่ค่อยมีใครอยากจ้างคนแรงค์ต่ำให้คุ้มกันเท่าไร
“มีคำร้องที่ง่ายแบบสมเหตุสมผลบ้างมั้ยครับ”
“ก็มีเยอะเลยนะตอนนี้น่ะ ช่วงนี้กำลังขาดคนพอดีน่ะ ตอนนี้พวกนักผจญภัยส่วนใหญ่ถูกเกณฑ์ไปร่วมกับกองทัพน่ะนะ”
“ส่งนักผจญภัยไปร่วมสงครามงั้นเหรอ..”
“อื้ม ฝ่าบาทน่ะค่อนข้างจริงจังกับเรื่องนี้เลยนะ”
พนักงานต้อนรับนั้นดูทุกข์ใจเป็นอย่างมาก เพราะเธอนั้นไม่ควรวืจารย์ราชาในที่สาธารณะ
ฮิคารุตรวจสอบกระดานคำร้อง แล้วก็พบว่าเควสส่วนใหญ่ไม่ค่อยต่างกับที่พอนด์มากนัก และแทบไม่มีเควสที่ต้องต่อสู้เลยเพราะการฝึกของทหารนั้นมีอยู่นอกเมือง พวกเขาคอยฆ่าพวกมอนอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีบางอย่างอยู่
“เจอมั้ยอะ”
“เท่านี้ก็น่าจะพอแล้วล่ะ ไปหาโรงแรมกันเถอะ”
ทั้งคู่ออกจากกิลด์ ฮิคารุเริ่มวางแผนในใจว่าจะทำอะไรบ้างในเมืองหลวงนี้
“เอาล่ะ วันนี้ยังอีกยาวล่ะนะ” ฮิคารุพูด
“นายพูดเหมือนกำลังสนุกอยู่เลยนะ เดี๋ยวนะ นี่วางแผนอะไรอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย”
“เดี๋ยวสิ นั่นดูไม่เหมือนว่าเธอดีใจเลยนะ”
“ก็เราช่วยอะไรนายตอนกลางคืนไม่ได้เลยนี่นา”
“ไม่ต้องห่วงน่า ด้วยความสามารถของฉันตอนนี้ การพาเธอไปด้วยน่ะไม่ใช่เรื่องยากหรอก”
“นี่นายจะไม่บอกแผนของนายให้เราฟังเลยเหรอ”
“โทษทีนะ ตอนนี้ยังบอกไม่ได้น่ะ”
ฮิคารุนั้นยังไม่อยากบอกลาเวียในหลายๆเรื่อง รวมไปถึงความสามารถของเขาด้วย ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจลาเวียแต่ว่ามันยังไม่ถึงเวลาก็เท่านั้น
“เอาน่า เธอคงไม่เบื่อหรอกนะ”
“ทำไมล่ะ เราว่าถ้านายไม่อยู่เราคงเบื่อตายแน่ๆเลยนะ”
“พูดอะไรน่ะ ตอนนี้เราอยู่ที่เมืองหลวงนา”
“แล้วไงล่ะ ยังไงเราก็คงไม่ได้ออกมาข้างนอกอยู่ดีล่ะ”
“อ๊ะตรงนั้นมีร้านหนังสือด้วยล่ะ”
ลาเวียตาเบิกกว้าง
“เอ๋ ที่นั่นต้องมีนิยายผจญภัยเยอะแยะแน่ๆเลยอ้ะ”
“รีบไปหาที่พักกันเถอะนะ ต้องเป็นห้องที่มีโต๊ะกับตะเกียงให้เราใช้อ่านหนังสือด้วยนะ!!”
ฮิคารุยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“..นั่นล่ะคือรายงานที่จะส่งให้ฝ่าบาทพรุ่งนี้”
ผู้สืบสวนเข้ามาหาผู้นำอัศวินอัศวินที่ห้องทำงานของเขาในเมืองหลวง ที่นั่นอยู่ภายในที่ของปราสาท มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยหินอย่างมั่นคงเลยทีเดียว
ที่นั่นไม่ได้มีการตกแต่งอะไรมากมายนัก ผู้สืบสวนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่ทำจากไม้โอ๊ค ตรงข้ามของเขามีเก้าอี้แบบเดียวกัน เก้าอี้นั้นใหญ่พอสำหรับผู้สืบสวนแต่ค่อนข้างเล็กสำหรับคนที่นั่งอยู่
เขานั้นมีขาที่หนาราวกับท่อนซุง ร่างใหญ่พอๆกับคนสองคน แทบไม่มีไขมันส่วนเกินเลย กล้ามเป็นมัดๆ คอหนาๆ และหัวที่ดูแข็งซะจนถ้าเขาฟาดหัวกับพื้นก็คงจะไม่เป็นอะไร แต่เขานั้นดูเป็นคนที่ดูใจดีและสุภาพมาก
ผู้นำอัศวินอัศวินนั้นมีอายุ สี่สิบปี ที่หน้าของเขามีแผลเป็นใหญ่อยู่ ผมสีบลอนด์ของเขาถูกตัดสั้นซะจนถ้าฮิคารุมาเห็นอาจจะนึกถึงนักเบสบอลก็ได้
“ท่านลอวเรนซ์?” ผู้สืบสวนเรียกเขา
“โอ้ประทานโทษด้วย พอดีกำลังคิดเรื่องที่คุณพูดอยู่น่ะ พอดีมีเรื่องที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลอยู่น่ะ”
ถ้าเทียบกับรูปร่างแล้ว เสียงของเขานั้นดูอ่อนเยาว์และนุ่มนวลมาก ชายคนนี้นั้นถูกเขียกขานกันในนามของปรมาจารย์แห่งดาบ ผู้ที่เคยผ่านการฝึกมหาโหดเสียจนแทบไม่อยากเรียกว่าการฝึกมาได้
“แล้ว นี่คือรายงานของท่านสินะ”
“ใช่แล้ว”
“หืม”
“ทางนี้ก็รู้อยู่หรอกว่านี่มันจะทำให้บัญชาแห่งอัศวินเสียชื่อ แต่ว่ามันเปลี่ยนอะไรในนี้ไม่ได้น่ะ แล้วการมาคุยเรื่องนี้กับท่านมันก็ไม่ถูกต้องเท่าไรด้วย”
“เข้าใจล่ะ ผมไม่ค่อยห่วงเรื่องนั้นเท่าไรหรอก”
ดาบและโล่ของราชา-อัศวิน กับผู้ที่คอยจัดการเรื่องสาธารณะ-ผู้สืบสวน ทั้งคู่นั้นถือเป็นคนละสายบัญชาการกัน
การที่บอกข้อมูลแก่บัญชาแห่งอัศวินก่อนที่จะปล่อยสู่สาธารณะนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนักแต่ว่า นี่มันมีปัญหาของกองอัศวินมาเกี่ยวด้วย และผู้นำอัศวินของกองอัศวิน ลอวเรนซ์ ดี ฟัลคอน นั้นเป็นคนที่เชื่อถือได้ ผู้สืบสวนจึงได้มาแจ้งกับเขาก่อน
“อีสน่ะยังขาดประสบการณ์อยู่ ผู้ที่ทำให้บัญชาอัศวินเสียหายจะต้องได้รับโทษหนัก ที่รอหมอนั่นอยู่ก็มีแค่โทษตายเท่านั้นล่ะ”
“ก็คงจะอย่างนั้นนะครับ”
“ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่กองพันที่หกสินะ พวกนั้นคงจะต้องถูกทำให้เข้ารูปเข้ารอยซะหน่อยแล้วล่ะ”
ทันทีที่เขาได้ยิน ผู้นำอัศวิน พูด ผู้สืบสวนก็คิดทันทีว่า บางทีอีสอาจจะโชคดีกว่าที่ได้รับโทษตายนะเนี่ย ถ้าตัวเขาเป็นคนพูดด้วยตัวเองแบบนี้ ก็หวังว่าจะไม่มีใครตายนะ
“ใครน่ะ”
มีเสียงเคาะที่ประตูแล้วก็มีอัศวินหนุ่มเดินเข้ามา
“ขออภัยที่เข้ามารบกวนในยามวิกาลครับ!”
“แปลว่าต้องมีเหตุฉุกเฉินสินะ ว่ามาซิ”
“ครับ!”
อัศวินหนุ่มเหงื่อตกแล้วมองไปทางผู้สืบสวน เมื่อเขาเห็นดังนั้นแล้วจึงทำท่าว่าจะลุกขึ้นไปแต่ผู้นำอัศวินก็ห้ามไว้
“ไม่เป็นไร รายงานมาได้เลย”
ส่วนเหตุผลที่เขาห้ามไว้อาจจะเป็นเพราะว่าข้อมูลที่อัศวินหนุ่มคนนี้อาจจะมีประโยชน์กับตัวผู้สืบสวนด้วยก็ได้
“ครับท่าน!!” อัศวินหนุ่มพูดและกลืนน้ำลายอึกใหญ่ “ผบ.หน่วยที่ 6 ถูกลอบทำร้ายในบ้านครับ!! จากรายงานพบว่าไม่ถึงชีวิตแต่ว่ากระดูกหักหลายส่วนครับ จากคำให้การเขาบอกว่ามีเด็กจู่โจมครับ เป็นเด็กที่ใส่ผ้าคลุมทั้งตัวและสวมหน้ากากเทพสุริยันครับผม!”
——————–
ตอนนี้ดำน้ำเยอะมากกกกกถ้าตรงไหนอ่านไม่เข้าใจก็ขออภัยด้วยครับ