ตอนที่ 28 เจ้าหญิงและผู้นำแห่งบัญชาอัศวิน
ทันทีที่ สก็อต เอฟ แลนด์ ผบ.แห่งหน่วยที่6 เข้าไปในห้องนอนของเขา เขาก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างพุ่งมาในอากาศ จากนั้นเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลังมือของตัวเอง เขารู้ได้ทันทีว่ามือหักแน่นอน เขารีบออกไปที่ทางเดินทั้งที่มองไม่เห็นศัตรู แล้วความเจ็บปวดก็แล่นเข้ามาที่ต้นขา แต่คราวนี้กระดูกไม่หัก แต่นั่นก็ทำให้เขาล้มลงกับพื้น
“ใครน่ะ!!!”
เขาลากตัวเองไปหลบหลังกำแพงด้วยมือเพียงข้างเดียว
เป็นไปได้ยังไงกัน ที่นี่มันชั้นสี่นะเฮ้ย
สก็อตนั้นอาศัยอยู่ที่ชั้นสี่เพียงคนเดียว ที่ห้องของเขานั้นค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว และถ้ามีคนเปิดประตูเข้ามาเขาต้องรู้ได้แน่นอน นั่นแปลว่าคนร้ายนั้นอาจจะเข้ามาทางหน้าต่าง
เดี๋ยวสิมันปีนขึ้นมาได้ไงกันวะ ที่นี่สร้างด้วยหินเรียบนะเว้ย แล้วอีกอย่าง เราเองก็ไม่ได้มีของมีค่าอะไรด้วย ไม่เห็นจะเคยได้ยินเลยว่ามีคนเคยถูกทำร้ายในเขตของชนชั้นสูงด้วย
การที่จะเข้ามาในเขตชนชั้นสูงได้จะต้องผ่านเขตที่พักอาศัยแรกและสองมาก่อน ไม่ใช่แค่กำแพงที่ปีนยากเท่านั้น แต่การตรวจตรานั้นเข้มงวดมากเช่นกัน คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวของเขา ทำไมต้องเป็นเราวะ มันเข้ามาได้ยังไงกัน
“อัศวินงั้นเหรอ ฮึ น่าขำชะมัด”
ผู้บุกรุกพูดขึ้นมา เขาไม่คิดว่าคนร้ายจะพูดออกมา แล้วอีกอย่าง เสียงที่ได้ยินนั้นก็ไม่ใช่สียงของผู้ใหญ่ด้วย
“กะ แกเป็นใครกัน รู้มั้ยว่าข้าเป็นใครน่ะเฮ้ย”
“ก็ อัศวิน ไม่ใช่เหรอ”
“แกรู้มั้ยว่าถ้าทำแบบนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“จะบอกว่าทุกคนจะตามล่าผมสินะ เหอะ ไม่มีทางหรอก”
“มั่นใจจังนะเฮ้ย”
สก็อตมองหาต้นตอของสิ่งที่พุ่งมาใส่เขา
ที่ห้องข้างๆน่าจะมีอุปกรณ์ส่งสัญญาณฉุกเฉินอยู่ ต้องรีบแล้ว
“มั่นใจเหรอ…ก็ใช่นะ ทำไมจะต้องกลัวไอ้คนที่หนีไปรอบๆแล้วไม่คิดแม้แต่จะโต้กลับล่ะ”
“โต้กลับงั้นเหรอ โทษทีละกัน แต่ข้าไม่เห็นรู้สึกว่าจะต้องทำอะไรแบบนั้นเลย”
สก็อตพยายามเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ
“นี่อ่อนให้อยู่นา ไม่งั้นแกคงได้เป็นแผลฉกรรจ์ไปแล้วล่ะนะ โอ๊ะ อีกห้องนึงมีอะไรงั้นเหรอ”
สก็อตถึงกับเกือบลืมหายใจ เพราะตกใจที่คนร้ายรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ทั้งๆที่ยังอยู่หลังกำแพง
“จะเรียกเพื่อนมางั้นสินะ เอาสิ ยังไงก็กะจะออกไปจากที่นี่อยู่แล้วล่ะนะ”
“อะไรนะ!”
เขาทนความเจ็บปวดแล้วก็มองเข้าไปในห้อง และเห็นเข้ากับเด็กหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีดำราวกับจะกลืนแสงรอบตัวและที่หน้าก็สวมหน้ากากเทพสุริยันอยู่
“หยุดเดี๋ยวนี้ คิดจะทำอะ-”
ก่อนที่เขาจะได้ทันพูดจบ เด็กหนุ่มก็กระโดดลงไปแล้ว สก็อตลากตัวเองมาที่หน้าต่าง และพอเขามองลงไป ก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว ทิ้งไว้เพียงหินสองก้อนที่เป็นอาวุธจู่โจม
เช้าวันต่อมา ณ ปราสาท อันใหญ่โตที่สร้างด้วยหินสีขาวที่สวยงามและคงทน ในยามเช้าจะมีประกายสีทอง กลางวันจะเป็นสีขาว และตอนเย็นจะกลายเป็นสีแดงฉาน ชายคนหนึ่งเดินอยู่ในนั้น ผู้นำแห่งบัญชาอัศวิน ลอวเรนซ์
“โอ้วท่านลอว์เรนซ์ มาทำอะไรตอนเช้าขนาดนี้เหรอครับ”
ผู้ที่พูดกับเขานั่นก็คือมหาดเล็กแห่งราชวัง
“มีเรื่องต้องทูลกับฝ่าบาทครับ”
“ไม่เห็นจะรู้เลยนะครับว่าท่านได้นัดเอาไว้”
“เรื่องฉุกเฉินน่ะครับ”
“ขอโทษด้วย แต่ต้องรบกวนให้ท่านกลับไปก่อนครับ”
“เรื่องฉุกเฉิน”
“เข้าใจแล้วครับ แต่ท่านต้องกลับไปก่อน”
“มหาดเล็ก บอกแล้วไงว่านี่เป็นเหตุฉุกเฉินน่ะ!”
“ได้ยินแล้ว ทุกคนต่างก็มาที่นี่และบอกว่ามีเรื่องฉุกเฉินกันทั้งนั้น ราชาน่ะยุ่งมากนะ ตอนนี้ท่านกำลังพักสมองด้วยการทานอาหารอยู่”
ก่อนที่ชายแก่จะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ ก็มีเสียงของเด็กสาวออกมาจากห้อง ดูเหมือนว่าราชากำลัง “พักสมอง” อยู่
“ได้โปรดเถอะ ข้าขอเวลาแค่นิดเดียวเท่านั้น”
“ท่านครับ ถึงท่านจะเป็นผู้นำของเหล่าอัศวินแต่ข้าก็ไม่อาจให้ท่านทำกริยามารยาทที่แย่ๆแส่ท่านราชาได้”
“อาณาจักรนี้กำลังตกอยู่ในอันตรายนะ”
“ถ้าท่านราชาไม่ได้พักผ่อนอาณาจักรก็จะอันตรายเหมือนกันครับ”
ลอวเรนซ์ ปล่อยจิตสังหารออกมา คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน
“ถ้างั้นข้าจะรออยู่ที่นี่ล่ะ”
“จะสร้างปัญหางั้นเหรอครับ”
มหาดเล็กส่งสัญญาณให้คนคุ้มกันของราชา อนึ่งคนคุ้มกันของราชานั้นถือว่าอยู่คนละสายบังคับบัญชาของลอวเรนซ์
ตัวราชานั้นมีกองกำลังเป็นของตัวเองเพื่อปกป้องตนเองโดยเฉพาะ
“คิดจริงๆเหรอว่าแค่นี้จะหยุดข้าได้น่ะ”
พวกนี้นั้นถูกเลือกโดยฐานะทางสังคมเท่านั้น ไม่ได้ผ่านการฝึกอะไรมาเลย เพราะคิดว่ายังไงก็ไม่มีอะไรมาทำร้ายราชาได้อยู่แล้ว
“ถ้าท่านยังทำแบบนี้ต่อไปข้าคงจะต้องรายงานแก่องค์ราชานะครับ”
“มันมีเรื่องใหญ่อยู่นะเว้ย!”
ลอวเรนซ์ขึ้นเสียง ทำให้มหาดเล็กหน้าถอดสี หน้าของเขาซีดเผือด ความเงียบได้เข้าปกคลุมที่แห่งนั้น
“เอะอะอะไรกันแต่เช้าเนี่ย”
เสียงนั้นดังขึ้นมาจากทางเดินอีกฝั่งหนึ่ง เจ้าของเสียงนั้นคือเด็กสาวที่มีผมสีส้ม ม้วนดันลอนมาอย่างดี ตาสีม่วงเข้ม ราวกับอัญมณี และแผ่รังสีของความเป็นชนชั้นสูงออกมา
“อรุนสวัสดิ์ครับ เจ้าหญิงคูเดียสโตเรีย”
ลอวเรนซ์รีบคุกเข่าลงทันที และผู้คุ้มกันทั้งสองก็เช่นกัน ส่วนมหาดเล็กก็นำมือทั้งสองข้างมาประกบกันเหนืออก มันคือการแสดงความภักดีอย่างเป็นทางการนั่นเอง
คูเดียสโตเรีย จี พอนโซเนีย เป็นบุตรสาวคนรองของราชาและเป็นเจ้าหญิงของอาณาจักรนี้
“ช่างมันเถอะ มีอะไรงั้นหรือ”
“ท่านลอวเรนซ์พูดเรื่องอันตรายและพยายามขอเข้าพบท่านราชาน่ะครับ”
คูเดียสโตเรีย หันไปมองทางลอวเรนซ์ที่กำลังคุกเข่าอยู่
“ลอวเรนซ์ ที่เขาพูดมาเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ”
“ใช่ครับ”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะเป็นคนรับฟังให้เอง ได้ใช่มั้ยมหาดเล็ก”
“รับทราบครับ”
มหาดเล็กค่อนข้างไม่พอใจแต่ก็ขัดใจเจ้าหญิงไม่ได้ เธอเดินออกไปพร้อมกับพาผู้นำอัศวินไปด้วย
“นี่มันไม่ใช่ตัวนายเลยนะ ลอวเรนซ์ ท่านพ่อน่ะต้องไปจัดการเรื่องการเมืองตั้วแต่ช่วงสิบโมงถึงบ่ายสองเท่านั้นนะ”
“นี่เป็นเรื่องฉุกเฉินครับ”
“มหาดเล็กดูเหมือนว่าจะจัดลำดับความสำคัญไม่เป็นสินะ”
“ครับ”
ลอวเรนซ์นั้นรับรู้ได้ถึงความทรงปัญญาจากตัวของเจ้าหญิง และใช่แล้วตามที่เจ้าหญิงได้พูดไป ราชาทำงานแค่วันละสี่ชม. ส่วนนอกจากนั้นก็เอาเวลาไปมั่วสุมกับเหล่าหญิงสาว
ทำไมเขาถึงคิดที่จะสร้างสงครามขึ้นมาในเวลาแบบนี้ บางทีอาณาจักรนี้อาจจะสงบสุขเกินไปจนทำให้ราชาคิดแบบนั้นก็ได้
“แล้วเรื่องฉุกเฉินนั่นมันคือเรื่องอะไรล่ะ”
เจ้าหญิงเข้าไปในห้องๆหนึ่งและล็อคประตู ตัวเจ้าหญิงนั้นไม่มีเสนาธิการอยู่ข้างกายเนื่องจาก เจ้าหญิงนั้นมีพี่ชายอยู่ เขาคือผู้ที่จะได้สืบทอดบัลลังค์ต่อจากราชา ทำให้มีพวกชชันสูงรายล้อมเขามากมาลพยายามเป่าหูเขาว่าเจ้าหญิงนั้นจะเป็นคนที่ชิงบัลลังค์ไปจากเขา
และเพื่อการนั้น เธอจึงไม่ได้จ้างเสนาธิการเลย ถึงกระนั้นเธอก็ยังคอยจัดการเรื่องอื่นได้มากกว่าพ่อของตัวเองที่ไม่ทำงานอะไรเลยเสียอีก
บางคนเริ่มคิดว่าเธอนั้นจะกลายเป็นผู้คุมกฎคนต่อไป เพราะว่าในอดีตก็เคยมีครั้งที่อาณาจักรถูกปกครองด้วยราชินีอยู่
“ขอบคุณที่ให้ความสนใจครับ”
ที่เธอไม่ไปที่ห้องของตัวเองนั้นก็เพราะมีคนคอยจับตาเธออยู่ที่นั่นนั่นเองเนื่องจากมันเป็นเหตุฉุกเฉิน ถ้าไม่ใช้ฝั่งนั้นรู้มันน่าจะดีกว่า
“หัวหน้าหน่วยที่หกถูกลอบทำร้ายครับ”
เขาได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังรวมถึงเรื่องที่คนร้ายเป็นคนเดียวกับที่โจมตีอีสด้วย
“เข้าใจล่ะ แต่นี่เป็นเรื่องฉุกเฉินจริงๆงั้นหรือ เหยื่อทั้งคู่น่ะเป็นคนจากหน่วยที่หก คนร้ายอาจจะเป็นคนที่แค้นหน่วยที่หกอยู่ก็ได้”
“ถ้ามันมีแค่นั้นผมก็คนสรุปไปอย่างนั้นครับแต่ว่า”
“หมายความว่ายังไงน่ะ มีอะไรมากกว่านี้อีกหรือ”
“หัวหน้าหน่วยสองและสิบเอ็ดก็โดนจู่โจมเหมือนกันครับ ทั้งคู่ถูกโจมตีในขณะที่กำลังพักอยู่ในที่ทำการของอัศวินที่อยู่นอกกำแพงปราสาท แปลว่าคนร้ายน่าจะแทรกซึมมาจากด้านนอกครับ”
ความเงียบปกคลุมทั่วห้อง เจ้าหญิงเริ่มครุ่นคิด ทีแรกตัวลอวเรนซ์เองก็คิดแบบเดียวกันกับเจ้าหญิงเมื่อได้ยินข่าวครั้งแรก
บางทีคนที่โจมตีอีสอาจเป็นนักฆ่าที่ปลอมตัวเป็นโจรก็ได้ บางทีคนคนนั้นอาจจะอยากรู้ปฎิกิริยาของหน่วยอัศวินก็ได้ เลยเล็งหัวหน้าหน่วยที่หกเป็นรายถัดมา แต่ว่าในขณะที่ผู้สืบสวนและลอวเรนซ์วิเคราะห์เคสนี้ไปได้สักพัก ก็มีเคสใหม่ตามเข้ามาอีกสองเคส
“แล้วตอนนี้ที่หน่วยเป็นยังไงบ้าง”
“เรากำลังอยู่ในช่วงระวังภัยขั้นสูงครับ ผมให้คำสั่งไปว่าอย่าเคลื่อนไหวคนเดียว โชคดีที่….ไม่สิจะเรียกว่าโชคดีก็ไม่เชิง แต่ว่ามีแค่อัศวินเท่านั้นที่ถูกเล็งเป็นเป้าหมาย ถ้าเรายังระวังตัวก็ไม่น่าจะมีปัญหามากไปกว่านี้ครับ”
“แล้วเป็นไปได้มั้ยที่จะลามมายังปราสาทน่ะ”
“นั่นเป็นสิ่งที่ข้ากำลังเป็นห่วงครับ เป็นไปได้ว่าอาจจะไม่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะไม่เกิดขึ้น ข้าก็เลยมาเพื่อรายงานครับ”
“แล้วเจ้าทำแบบนี้ไปเพื่อสิ่งใดกันล่ะ”
“ครับ ฝ่าบาท แต่ว่าสิ่งที่ข้าคิดอยู่ในตอนนี้ก็คือคนร้ายนั้นกำลังทดสอบพลังของตัวเองโดยใช้การจู่โจมอัศวินเพื่อบังหน้าครับ เพราะคนร้ายไม่เคยฆ่าเป้าหมายเลย ทำให้ข้อคิดเห็นนี้มีความเป็นไปได้ครับ”
“แล้วรู้สึกคุ้นๆบ้างมั้ยล่ะ ลอวเรนซ์”
“ล้อเล่นสินะครับฝ่าบาท”
“แล้วดูเหมือนเรากำลังล้อเล่นอยู่งั้นหรือ”
“ครับ ค่อนข้างจะคุ้นเลยทีเดียว”
จากท่าท่างของเขาทำให้เจ้าหญิงยิ้มออกมา ตอนที่เขายังหนุ่มนั้นเขาเคยออกท้าสู้กับคนที่แข็งแกร่งมามากมายโดยไม่ฆ่าใครเพื่อที่จะทดสอบพลังของตัวเขาเอง
“ก็นะ แลดูว่าเหตุผลนี้น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดล่ะนะ ยังไงก็ไม่มีเหตุผลที่จะโจมตีพวกเราอยู่แล้ว ถ้ามีความแค้นเคืองกับเรา ถ้างั้นเหตุผลแค่นี้มันก็ดูเลอะเทอะเกินไป เพราะคนร้ายไม่ได้ฆ่าใครเลย” เจ้าหญิงว่า
“เลอะเทอะแต่ว่าระมัดระวังนะครับ…”
“คนร้ายหนีไปได้แบบไร้ร่องรอยมาตลอด แปลว่าหมอนั่นค่อนข้าที่จะ ระวังตัวสินะ หืม ถ้าจะทดสอบความสามารถของตัวเองล่ะก็ พวกเราก็พอจะเดาได้แล้วล่ะว่าเป้าหมายต่อไปคือใคร”
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกันครับ…”
ทั้งคู่คิดเหมือนกัน
“แน่นอนว่าเป้าหมายต่อไป ก็คือท่านผู้นำ ไม่สิ นายนั่นล่ะ ปรมาจารย์ดาบ ลอวเรนซ์”