ตอนที่ 72 การเติบโตของเด็กหนุ่ม
“ผิดแล้ว วิ่งท่าอะไรกัน เสียงดังอย่างอย่างกับเป็ดเดินเลย”
“ผู้เชี่ยวชาญเวลาวิ่งเสียงยังเบากว่าเวลาเส้นผมสัมผัสพื้นอีก”
“ให้หัวเข่ากับข้อเท้าเป็นเหมือนสปริงที่คอยดูดซับเสียงของทั่วร่างกาย”
“ใช้งานตลอดแม้กระทั่งตอนเดินปกติด้วย”
“การสอนดาบสั้น” ของมิเรเริ่มจริงจังขึ้น
อย่างที่คาดเอาไว้ ดาบสั้นไม่ได้เน้นที่การโจมตี แต่เน้นไปที่ “พกเดินทางอย่างไร”
“เข้าใจไหม? ข้อเสียอันใหญ่หลวงของ ‘ดาบสั้น’ ที่เป็นข้อดีสุดคือ ‘ความยาวที่สั้น’ อย่างที่เคยอธิบายไว้ก่อนหน้านี้ ว่ามี ‘ความคล่องตัวในการพกพาที่สูง’ ต่อให้เป็นการเดินทางกับกองทัพระยะไกลก็สิ้นเปลืองพลังน้อย ยิ่งตอนปีนหน้าผาหรือว่ายน้ำถือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมาก”
“กล่าวคือเหมาะสำหรับการลอบสำรวจเหรอ?”
“ถ้าเป็นหน่วยสำรวจชั้นยอดตัวจริง บางครั้งก็ไม่พกอาวุธไปเลย โดยจะเน้นใช้ตาและหูให้ถึงขีดสุด แล้วจดจ่อกับการหนีสุดกำลัง”
“อย่างนี้นี่เอง……ถ้างั้นหน่วยลอบจู่โจมใช้ดาบสั้นเหรอ?”
“ถูกต้องแล้ว แฝงตัวปีนกำแพงไปกับเงามืดแล้วสังหารศัตรู ช่วงชิงอาวุธ การจะใช้ดาบสั้นเพื่อทำหน้าที่นั้นก็สมเหตุสมผลอยู่ พอชิงอาวุธมาเสร็จก็ค่อยใช้มันต่อไง”
“ถึงไม่คิดจะเข้ากองทัพ แต่ใช้เป็นแหล่งอ้างอิงได้อยู่”
“อ้าว? นายตั้งใจจะเป็นนักผจญภัยเหรอ?”
ตึก C ที่ถูกทำความสะอาด —-หรือต้องบอกว่าถูกฮิคารุบังคับให้ทิ้งของที่ไม่จำเป็น—-ตอนนี้มีเก้าอี้และโต๊ะ 3 ตัวอยู่หน้ากระดานดำขนาดเล็ก
“ก็ อย่างนั้นแหละ”
“ถ้าจะเป็นนักผจญภัยใช้ดาบยาวหรือหอกยาวไม่ดีกว่าเหรอ—-ก็อยากจะพูดอย่างนั้นอยู่หรอก แต่ดาบสั้นเองก็สามารถทำงานได้อย่างอย่างดีเหมือนกัน”
“สามารถใช้ในทางเดินแคบๆของดันเจี้ยนได้สินะ?”
“……นายเนี่ย ถ้ารู้แล้วจะมาเข้าเรียนทำไมเนี่ย?”
“ไม่หรอก การตรวจสอบว่าความคิดของตัวเองถูกต้องหรือเปล่ากับบุคคลที่สามถึงจะเอาไปใช้งานจริงได้ แถมผมเป็นพวกบ้าทฤษฎีด้วย เลยอยากให้สอนจากการเคลื่อนไหวจริงๆโดยตรงด้วย”
“ฮึม”
ในระหว่างที่พูดคุยกันอย่างนั้น ฮิคารุก็ฝึกการเคลื่อนที่จากหน้าตึก C ไปยังสวนด้านหลัง
การก้าวเท้า, การชักดาบสั้น, การย้ายจุดศูนย์ถ่วง, และความรู้ในการเคลื่อนที่
ดูเหมือนมิเรจะมีความสามารถในการอธิบายความรู้และประสบการณ์ทางด้านร่างกายของตัวเองอยู่ ทำให้ฮิคารุซึมซับสิ่งเหล่านั้น
“เอาละ—-วันนี้พอแค่นี้”
“คะ ครับ……ขอบคุณมากครับ……”
เพราะเคลื่อนไหวมาตลอด 2 ชั่วโมงเต็มทำให้ฮิคารุขยับไม่ไหวแล้ว และนอนแผ่หราอยู่ตรงพื้น
เหงื่อไหลออกมาท่วมตา เลยใช้แขนเสื้อเช็ดมันออก
ถึงสกาล่าซาร์ดจะอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ แต่เนื่องจากยังอยู่ในฤดูร้อน ทำให้แสงอาทิตย์ที่สาดมาค่อนข้างแรง
“เฮ้อ……นายคิดจะใช้ดาบสั้นทำอะไรกันเนี่ย?”
มิเรพูดในขณะที่นั่งลงตรงเก้าอี้พับที่ไม่โดนเงาแดด
เนื่องจากนั่งขัดสมาธิทำให้เห็นใต้กระโปรง ซึ่งมันก็ยังไร้ความเย้ายวนเหมือนเดิม
(ที่บอกว่าเกือบจะเห็นแต่ไม่เห็นมันดูลามกกว่านี่ท่าจะจริงแฮะ……)
ฮิคารุที่เหงื่อท่วมตัวคิดอย่างนั้นขึ้นมา
ดูเหมือนวันนี้จะสวมชุดชั้นในสีเหลือง
“รูปแบบการต่อสู้ของผม……มันเหมาะกับการลอบเร้นไง”
“หา? อย่างนายเนี่ยไม่เหมาะกับการลอบเร้นหรอก การเคลื่อนไหวนี่ดูยังไงก็มือใหม่ชัดๆ”
ฮิคารุเข้าใจดีอยู่แล้ว ถึงจะเพิ่ม “ปริมาณพลังกาย” กับ “พลังออกตัว” ในโซลบอร์ดไปแล้วก็ตาม แต่การเคลื่อนไหวของเขายังเป็นมือใหม่อยู่
เพราะอย่างนั้นการเรียนนี้ถึงมีประโยชน์
ขนาดฮิคารุที่เป็นมือใหม่อย่างนี้ แต่ด้วยพลังของ “ลอบเร้น” ในโซลบอร์ด ยังตามผู้เชี่ยวชาญได้โดยเขาไม่รู้ตัว
ถ้าหากจำการเคลื่อนไหวที่แท้จริงของลอบเร้นได้แล้วละก็ จะยิ่งขัดเกลา “ลอบเร้น” ได้มากยิ่งขึ้นแน่นอน
“อาจารย์ไปเรียนกับใครมาเหรอครับ”
“ก็นะ จาราซักที่ฉันเกิดมีการแบ่งหน้าที่ฉัดเจนว่าผู้ชายเข้าปะทะ ผู้หญิงคอยสนับสนุน”
“เอ๊ะ? จาราซักงั้นเหรอ?”
“ก็ใช่ไง ผิดคาดงั้นเหรอ”
“แทบจะไม่มีขนเลย”
“โน้นมันแค่ผู้ชายเท่านั้น”
งั้นเหรอเนี่ย
“ทั้งเวทมนตร์ สำรวจ และโจมตีระยะไกลเป็นหน้าที่ของผู้หญิง เอาเถอะที่จาราซักพวกผู้ชายเป็นพวกสมองกล้ามด้วย ทำได้แค่พุ่งเข้าใส่ศัตรูอย่างเดียวเท่านั้นแหละ”
“โห……มีวัฒนธรรมอย่างนั้นเหรอ”
ในระหว่างที่พูดคุย ฮิคารุนึกถึงอะกลีอา แวน โฮเทสที่อยู่กับนักประวัติศาสตร์กราฟาสตี้—-ที่สืบทอดเชื้อสายมาจากราชวงศ์โพเอลซิเนีย
“ลางสังหรณ์” 6 มันเป็นตัวเลขที่น่าทึ่งเอามากๆ
“อาจารย์ รู้จักคนที่ชื่ออะกลีอา แวน โฮเทสหรือเปล่าครับ?”
“อ้อ—-ลูกพี่ลูกน้องของเลขานุการเอกเหรอ? ได้ยินมาว่าเป็นคนแปลกๆอยู่ สามารถใช้เวทมนตร์ของผู้เชื่อในเทพมารได้ด้วย?”
“คนโน้นเก่งเหรอครับ?”
“เรื่องนั้นไม่รู้สิ อาจารย์ของฉันเป็นคนที่ใช้เวทมนตร์ฟื้นฟูได้ เลยเกลียดพวกที่ใช้เวทมนตร์คำสาปมาก”
ผู้ใช้เวทมนตร์ฟื้นฟู เป็นพวกต่อต้านเทพมารสินะ
“หรือว่านายใช้เส้นของอะกลีอา แวน โฮเทสเข้าหาเลขานุการเอก?”
“………….”
“ก็บอกว่าอย่ายิ้มอย่างนั้นไง! ทั้งที่นอนอยู่ตรงพื้นแท้!”
“ยุคสมัยนี้สายลอบเร้นมันหายากเหรอครับ?”
“หายากไหมนะเหรอ……นั่นสินะ คนที่ใช้ดาบสั้นเป็นหลักมันน้อยไง เมื่อกี้ก็บอกไปแล้วนี่ว่ามีคนที่ใช้แผนบุกยามวิกาลค่อนข้างเยอะอยู่หรอก”
“อย่างนี้นี่เอง แค่คอยสนับสนุนตอนที่ใช้อาวุธหลักไม่ได้สินะ”
ฮิคารุพยักหน้าพร้อมกับใช้ความคิด
(ในกรณีของผมจำเป็นต้องพกดาบสั้น “เดินไปมา” แถมตอนนี้ไม่คิดจะเพิ่มสกิล “ดาบสั้น” ด้วย……ต้องบอกว่าอัพ “ขว้าง” ไปเต็ม MAX แล้ว)
อะแฮ่ม มิเรกระแอมออกมา
“แล้ว? ฮิคารุคุง……การสอนวันนี้จบลงแล้วสินะ?”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
ฮิคารุค่อยๆยืนขึ้นมาอย่างช้าๆ
ฮิคารุสัญญากับมิเรไว้อยู่ถ้าการสอนคืบหน้าไปได้ด้วยดี
อย่างแรกคือ ห้ามมิเรเมาเละ
ที่ให้รักษาสัญญานี้ เพราะฮิคารุอยากจะปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้ดีขึ้น
ในทางกลับกัน มิเรที่ไม่ได้ดื่มเหล่าจะค่อยๆสะสมความไม่พอใจไปเรื่อยๆ
เพราะอย่างนั้น
“ถ้างั้นเปลี่ยนชุด แล้วไปกินอาหารกลางวันที่ร้านเดิมกัน”
เลยจบลงด้วยการให้ดื่มเหล้าในการรับรู้ของฮิคารุ
“ค่ะ”
มิเรชูมือขึ้นแล้วส่งเสียงออกมาอย่างร่าเริงราวกับจะมีหัวใจต่อท้ายคำพูดเลย
ฮิคารุกลับบ้านไปอาบน้ำล้างเหงื่อ ก่อนจะเปลี่ยนชุดแล้วไปย่านการค้า ไปยังร้านเหล้าด้านในที่มิเรใช้เป็นที่ซ่อนตัว
ร้านมีชื่อว่า “เอ้า ดื่ม” ช่างเป็นชื่อที่ตรงอะไรอย่างนี้
ที่นี่อาหารกลางวันมีแค่เมนูเดียว แต่ก็ไม่ได้แน่นเกินไป หรือโล่งเกินไป
“สวัสดี”
“โอ้ ฮิคารุ มาแล้วเหรอ”
“ฮิคารุ เร็วเข้าๆ!”
เจ้าของร้านที่อยู่อีกฝั่งของเคาน์เตอร์พยักหน้าให้ ส่วนมิเรที่เจี๊ยวจ๊าวนั่งอยู่ตรงเก้าอี้แล้ว
ทันใดนั้น แขกคนอื่นๆก็ส่งเสียงจอแจออกมา
“โอ้ โน้นเหรอ……”
“เอาจริงดิ ฝึกเจ้าหญิงขี้เหล้าคนโน้นได้เหรอ”
“เพิ่งเคยเห็นมิเรจังที่ไม่เมาสนุกอย่างนี้เป็นครั้งแรกเลย”
ฮิคารุถอนหายใจออกมา
(อาจารย์ไม่ได้รอผม แต่รอเหล้าต่างหาก”
ฮิคารุเดินผ่านเคาน์เตอร์ไปแล้วอยู่ข้างๆเจ้าของร้าน ก่อนจะมองมิเรที่ยิ้มเล็กยิ้มน้อย
“มาสเตอร์ วันนี้เมนูอาหารกลางวันคือ?”
“อ้อ ซีฟู้ดพาสต้าน่ะ……เวลาโดนเรียกว่า ‘มาสเตอร์’ มันชวนจั๊กจี้แฮะ”
“ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่ ดูดีมีสไตล์มากกว่า ‘เจ้าของร้าน’ ด้วย”
“ร้านเล็กๆอย่างนี้ ‘เจ้าของร้าน’ ก็พอไม่ใช่เหรอ”
“ถึงจะเล็ก แต่ตกดึกร้านเต็มตลอด นอกจากอาหารจะอร่อยแล้วยังมีเหล้าหลายชนิดด้วย เป็นร้านที่น่าจับตามองเลย ถึงผมจะยังไม่ได้เดินทางรอบโลกก็เถอะ……แต่ถือว่าเยี่ยมอยู่”
ฮิคารุหยิบไวน์ขาวไร้ฉลากออกมาจากตู้เย็น—-อุปกรณ์เวทมนตร์ที่ไว้เก็บความเย็น พอเปิดจุกเพื่อตรวจสอบกลิ่น ก็ได้กลิ่นหอมสดชื่น ถ้าดื่มแค่ขวดเดียวคงไม่พอ ไหนจะปริมาณแอลกอฮอล์ที่ต่ำอีก
“มาสเตอร์ ขวดนี้รสจัดหรือเปล่า?”
อ้อ รสจัดพอตัวอยู่ ฉันกับลูกค้าส่วนใหญ่ชอบมันนะ”
“แล้วก็อยากได้เหล้าแคสซิสด้วย มีหรือเปล่า?”
“เหล้าแคนซิส?”
“เหล้าหรือไวน์ที่บ่มโดยแบล็กเคอร์แรนต์ แล้วเพิ่มน้ำตาลเข้าไปน่ะ”
“อ้อ……ถึงจะไม่มีแบล็กเคอร์แรนต์ แต่มีของที่คล้ายๆกันอย่างแบล็กแพลนเบอร์รี่อยู่ ส่วนเหล้ากลั่นกับน้ำตาลกรวดมีอยู่แล้ว”
รับจานเล็ก พร้อมกับลองชิมดู
แล้วความร้อนของแอลกอฮอลก็แผ่ซ่านไปที่ลิ้น
“อืม……ความหวานกับปริมาณแอลกอฮอลแรงไปหน่อย แต่รสชาติกำลังดีเลย”
มิเรมองฮิคารุที่กำลังเตรียมการอยู่หลังเคาน์เตอร์ด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
เจ้าของร้าน—-มาสเตอร์ที่อยู่ข้างๆเริ่มทำพาสต้าในส่วนของมิเรกับฮิคารุ
แล้วแขกในร้านก็ส่งเสียงดังออกมาต่อ
“นี่ๆ เจ้าเด็กนั่นทำอะไรกับเจ้าของร้านอยู่?”
“ไม่รู้เหรอ บาร์เทนเดอร์ที่เจ้าของร้านจ้างเฉพาะตอนเที่ยงไง”
“เจ้าของร้านคนนี้ชอบทำทุกอย่างด้วยตัวเองไม่ใช่เหรอ”
“เมนูตอนดึกอย่าง ‘บาคุดัน’ ที่กำลังฮิตช่วงนี้ เขาลือกันว่าเป็นความคิดของเจ้าหนูฮิคารุตรงโน้น”
“จริงดิ……”
แล้วในระหว่างนั้นฮิคารุก็ชงค็อกเทลเสร็จ
ในขณะเดียวกัน มาสเตอร์ก็เอาจานที่มีพาสต้ามาวาง
“วันนี้คือคีลที่ใช้แคสซิส—-เหล้าแบล็กแพลนเบอร์รี่แทนไวน์ขาว”
“ซีฟู้ดพาสต้าเสร็จแล้ว”
“ว้าววววว!”
มิเรส่งเสียงดีใจออกมาราวกับเด็กประถม พร้อมกับหยิบแก้วเงินขึ้นมา
เธอไม่รับจานพาสต้า มาสเตอร์เลยขมวดคิ้วก่อนจะเอื้อมมือไปวางตรงเคาน์เตอร์
“แก้วไวน์นี่มันดีจริงๆเลยนะ”
“นี่ๆ ฮิคารุ แก้วมันมีหลายชนิดอยู่หรอก ถ้าใช้อันนี้เดี๋ยวทำแตกตอนเมามันน่าเสียดายแย่เลย”
“มันก็ใช่นะ”
ฮิคารุกลับมานั่งเก้าอี้ตรงเคาน์เตอร์ ซึ่งมิเรกำลังดื่มอึ้กๆอยู่
“อ้า—-เย็น แล้วก็อร่อยมาก! ความหวานของผลไม้กระจายไปทั่วปากเลย!”
“มาสเตอร์ พาสต้าวันนี้ก็ยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิมนะ”
“โอ้ว ขอบใจ”
ฮิคารุให้ความเคารพกับคนที่ทำอาหารอร่อย
พาสต้านี้มันอร่อยจริงๆ ร้าน “พาสต้าเมจิค” ที่เจ้าของร้านเหมือนหมีตรงพอนโด้เองก็อร่อยอยู่ แต่ที่โน้นใช้วัตถุดิบชั้นดี ทำให้ราคาค่อนข้างแพง
แต่ที่นี่มันแตกต่างออกไป มาสเตอร์ทำการพลิกแพลงอยู่ตลอด ที่หนักเกลืออาจจะเพราะว่ามีคนที่ใช้แรงงานอยู่เยอะก็ได้ ส่วนเนื้อปลาถึงจะใช้กระเทียมด้วย แต่ไม่ได้ทำให้รสชาติของปลาลดลงไปเลย แถมเข้ากันได้อย่างพอดิบพอดี
ยิ่งไปกว่านั้นยังราคาแค่ 50 กิรัน ถูกมาก แน่นอนว่าไม่ขาดทุนด้วย
“ขอเพิ่ม!”
“……อาจารย์ คงรู้อยู่แล้วสินะ? ว่าให้แค่ 3 แก้วเท่านั้น?”
“รู้แล้วน่า……ขอเพิ่ม!”
“ครับๆ……”
ฮิคารุหยุดกินพาสต้า แล้วกำลังจะลุกจากเก้าอี้ แต่
“รอก่อนฮิคารุ ถ้าแค่นี้ฉันน่าจะทำได้ ขอลองทำก็แล้วกัน”
“ฝากด้วยนะ”
มาสเตอร์ผสมไวน์กับเหล้าเข้าด้วยกันอย่างเชี่ยวชาญ
ฮิคารุต่อรองกับมาสเตอร์ โดยจะสอนเมนูค็อกเทลให้ แลกกับให้กินอาหารกลางวันกับเหล้าฟรี
เอลขายได้ทั้งกลางวันและกลางคืน เหล้ากลั่นก็พอขายได้ แต่เหล้าอื่นๆกับไวน์ขายไม่ค่อยได้จนเหลือค้างสต็อค ทำให้เป็นการต่อรองที่น่ายินดีสำหรับมาสเตอร์มาก
ถึงค็อกเทลจะยังขายไม่ค่อยได้เหมือนเดิม แต่ก็เริ่มมีผู้หญิงมาสั่งค็อกเทลมากขึ้น ทำให้จำนวนลูกค้าผู้หญิงเพิ่มขึ้น จน “เอ้า ดื่ม” เริ่มมีสีสัน
ถึงโลกนี้จะมีแนวคิดเกี่ยวกับค็อกเทล แต่เป็นแค่เหล้าชนิดเดียวผสมกับน้ำผลไม้เท่านั้น
ดังนั้นเรื่องที่เอาเหล้าผสมกับเหล้ามันเลยเป็นอะไรที่แปลกใหม่
“ฮ่าาา อร่อย!”
“อาจารย์……กินพาสต้าด้วย อุตส่าห์ทำคีลให้เข้ากับพาสต้านะ”
“ฮิคารุ นี่เรียกว่าคีลเหรอ?”
“อือ มันเป็นค็อกเทล ที่ไว้ดื่มก่อนอาหารซึ่งคิดค้นขึ้นโดยคนชื่อคีล สปาร์คกลิ้งไวน์ที่ทำจากไวน์ขาวเองก็เรียกว่า คีลรอยัล”
“หือ พาสต้าก็อร่อย หลังทำงานเหนื่อยๆนี่มันช่างสุดยอดจริงๆ!”
“……ทำงานเหนื่อย เนอะ”
แค่นั่งแล้วพูดออกมาอย่างเดียวไม่ใช่เหรอ ถึงฮิคารุจะคิดอย่างนั้นแต่ไม่ได้พูดออกมา
“นี่เจ้าของร้าน! ทางนี้เองก็ของคีลด้วยสิ!”
“พวกฉันก็ขอด้วย!”
“อืม……หนึ่งแก้วราคาเท่าไรดีนะ?”
มาสเตอร์กลุ้มใจอยู่สักพัก
“เอาเป็นว่า 30 กีรันก็แล้วกัน”
“ถูกมาก”
ฮิคารุเผลอพูดออกมา
“ฮะๆๆ ถ้าเอากำไรมากเกินไปคงเปิดขายได้ไม่นานหรอก ฮิคารุเองก็จำเอาไว้ซะ”
“…………”
ความรู้สึกชื่นชอบมาสเตอร์ที่ไม่ได้คิดจะค้าขายเกินควรในตัวฮิคารุเพิ่มมากขึ้น ถ้าคิดจะค้าขายคงไม่ยอมให้มิเรที่ไม่เคยจ่ายสักแดงมากินหรอก
มันเป็นช่วงเวลากินอาหารที่แสนสนุก
“โอ้ว อยู่ที่นี่จริงด้วย!”
ประตูร้านเปิดออก แล้วอาจารย์สอนดาบใหญ่มิไฮล์ จาราซักก็ปรากฏตัวขึ้นมา