วันนั้น หลังจากที่แจกไอติมให้ชาวบ้านหลายคน ผมก็เดินทางกลับบ้าน แน่นอนผมไม่ได้ทำภารกิจเหมือนเมื่อวาน
มันไม่ใช่ว่าผมต้องทำเควสทุกวันเพื่อการดำรงชีวิตของผม ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งมันจะโอเค
ผมให้ลิลลี่ขี่หลัง ระหว่างที่คิดว่าจะขายสูตรไอติมให้สมาคมพ่อค้าได้อย่างไร ผมก็เดินหน้าบนทางหลวง
ผมคุ้นเคยกับทางหลวงสายนี้มากขึ้น ในเวลาที่พระอาทิตย์ตกดิน
ปกติคนเร่ขายของจะผ่านทางหลวงสายนี้บ้างเป็นบางครั้ง แต่วันนี้ได้เจอคนที่ไม่เคยเห็นหน้า
คนๆ นั้นนอนหงายโดยไม่ขยับตัว……มันคือแม่มด
“ไม่ว่าผมจะมองเธอยังไง……เธอเป็นแม่มดใช่มั้ย”
เธอมีหมวกสามมุมปิดหน้า ซึ่งผมเห็นแต่ในหนังสือภาพเท่านั้น
เธอสวมชุดคลุมสีดำสนิทเหมือนฉัน แต่ใกล้ส่วนล่างของคอเธอประดับด้วยขนนก บอกเลยว่าเป็นสินค้าคุณภาพเหนือชั้น
อาวุธของเธอคือไม้เท้ายาวพิงอยู่บนตัวเธอ
ยิ่งผมมองเธอมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกถึงกลิ่นอายของแม่มดที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นเท่านั้น รู้สึกเหมือนได้หลุดเข้าไปในโลกแห่งเทพนิยาย
นี่มันต่างโลก ดังนั้นมันอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่นี่ แต่ที่สำคัญกว่านั้น
“……ผมควรทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้?”
“?”
ผมไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้อย่างไร ลิลลี่ก็ดูงุนงงเช่นกัน
ดูเหมือนเธอจะหลับไปแล้ว แต่ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับงีบตอนบ่าย (แต่ก็เย็นแล้ว!)
อย่างไรก็ตาม หากเป็นการเจ็บป่วยแบบกะทันหัน มีเพียงผมเท่านั้นที่สามารถช่วยเธอได้ในตอนนี้ แทบไม่มีใครข้ามสะพานมาในตอนกลางคืนเลย
ถึงอย่างนั้นเธอก็ดูไม่เหมือนคนป่วย
มาประเมินสถานการณ์กัน บางทีแม่มดที่หลับใหลบนทางหลวงในตอนเย็นอาจเป็นเรื่องปกติในต่างโลก? เป็นเพียงว่าผมไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหม?
ไม่ว่าจะใช้สมองมากแค่ไหน ผมก็นึกไม่ออกว่าทำไมแม่มดคนนี้ถึงนอนอยู่บนทางหลวง
ผมควรเรียกเธอไหม หรือผมจะละเลยเธอ?
หลังจากจำลองสถานการณ์ต่างๆ ไป ในทันทีที่ผมคิดว่าจะร้องเรียกแม่มด
“――คนตรงนั่น คุณกำลังแบกของอร่อยอยู่ใช่มั้ย”
จู่ๆ แม่มดก็พูดออกมา และยิ่งไปกว่านั้น เป็นคำพูดหยาบคายกับคนที่เธอเจอครั้งแรก
“สรุปว่าเธอตื่นอยู่หรอ”
คำพูดที่กระทันหันของแม่มด ที่ทุบตีผมจนลืมคำพูดที่สุภาพและพูดด้วยน้ำเสียงปกติ
“ตอนนี้ฉันหิวมาก ฉันอยากกินของอร่อย”
แม่มดเอสหมวกสามมุมที่อยู่บนใบหน้าของเธอออกและสวมลงศีรษะอย่างเฉื่อยชา
และใบหน้าที่ซ่อนอยู่ของเธอก็ถูกเปิดเผย
สีหน้าของเธอดูง่วงนอนอย่างยิ่งโดยเปิดตาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังน่ารักจนใครๆ ก็สามารถพาเธอไปเป็นขุนนางได้เพียงแค่ตัดสินใบหน้าของเธอ
ผิวของเธอเป็นสีขาว ผมสั้นสีน้ำเงิน และตาสีทอง แม้ว่ารูปแบบการลงสีจะแตกต่างออกไป แต่เธอก็เป็นมนุษย์อย่างแน่นอน
พลังเวทย์มนตร์บางครั้งส่งผลต่อรูปลักษณ์ของผู้ใช้ สีที่หาไม่ได้ในโลกที่แล้วของผมนั้นไม่ได้ผิดปกติเป็นพิเศษในโลกนี้
พอมาคิดดู เธอพูดว่า “ฉันอยากกินของอร่อย” ด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน เธอไม่ได้ง่วงนอนขัดกับรูปร่างหน้าตาของเธอ
“อ่า ฉันอยากกินของอร่อยๆ อ่า อยากกิน~”
“ผมเข้าใจแล้ว ผมจะให้อะไรคุณกิน ฟังผมนะ”
“จริงเหรอ? ขอบคุณ”
การแสดงออกของเธอไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ฉันสังเกตเห็นท่าทางมีความสุขเล็กน้อยที่ผุดขึ้นจากเธอ
พี่สาวของผมเป็นคนไร้อารมณ์ ดังนั้นผมจึงได้พัฒนาทักษะในการอ่านบุคคลที่ไร้ความรู้สึกและค่อนข้างมั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
มีพวกที่ไม่แสดงอารมณ์ซึ่งมีความรู้สึกซ่อนเร้นอยู่มากมาย และยังมีพวกที่เหมือนพี่สาวของผมซึ่งเป็นประเภทที่มีความรู้สึกล้วนเป็นกลาง
ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนเดิม ฉันคิดตามสัญชาตญาณ
“อ่า ถ้าเป็นไปได้ ขอของหวานด้วย”
“……เข้าใจแล้ว”
นอกจากนี้ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนที่ก้าวไปตามจังหวะของเธอเอง
‘ผมติดอยู่กับความเจ็บปวดกับคนประเภทน่าตบ’ ขณะที่คิดอย่างนั้นก็หยิบไอติมออกจากเงา
“ไอสกีนดี!” (ลิลลี่) [TN: Lily พูดเป็นฮิรางานะ มันไม่ใช่คำว่าไอติมจริงๆ]
“เธอกินไปสามแทงแล้ว ตอนนี้รอจนถึงพรุ่งนี้ก่อน”
ไม่ใช่เรื่องดีที่จะเอาอกเอาใจลิลลี่มากเกินไป ผมจึงหลอมหัวใจของผมให้เป็นหินและตัดสินใจที่จะให้ไอติมแก่เธอเพียงสามแท่งต่อวันอย่างมากที่สุด
นั่นเป็นเหตุผลที่จะไม่ให้มันแก่เธอแม้ว่าจะทำหน้าเหมือนจะตายเพื่อมัน
“นี่คืออะไร?”
“มันเรียกว่าไอติม มันทำมาจากน้ำผลไม้แช่แข็ง”
“นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นมัน ขอบคุณสำหรับสิ่งที่ไม่ธรรมดา”
สายตาของแม่มดติดอยู่ที่ไอติมแล้ว แม้ว่าใบหน้าของเธอจะไร้อารมณ์ ดวงตาของเธอราวกับนักล่าที่มองเหยื่อของมัน
ผมเขย่ามือขวาและซ้าย ใบหน้าของแม่มดไล่ตามมันไปพร้อมกับเหวี่ยงศีรษะของเธอ
“……ใจร้าย?”
“ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจ”
เธอมองไอติมอย่างจริงจังจนผมเล่นกับเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ
ขณะที่พยายามอย่างหนักที่จะไม่หัวเราะ ผมก็ยื่นไอติมให้แม่มด
“จุ๊บ จุ๊บ——!?”
“อร่อยมั้ย”
“—มันอร่อยน่าขันจริงๆ”
ไอติมจะหายไปในปากของเธอเกือบจะในทันที แม้แต่ในหมู่ชาวบ้านที่กินวันนี้ เธอก็เร็วที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งหมด
“นายมีอะไรที่หวานและอร่อยเหมือนที่ฉันคิดไว้เลย”
“นั่นอะไรน่ะ สัญชาตญาณของแม่มด?”
จากภาชนะใส่ไอติมที่อยู่ในเงามืด กลิ่นไม่ควรรั่วไหล และแน่นอนว่าไม่มีใครมองเห็นได้
“ฉันสามารถรู้ได้ว่าคุณกำลังซ่อนของอร่อยแม้ว่าจะอยู่ในเงามืด”
“……จริงเหรอ?”
“ฉันเพิ่งรู้ แต่ก็แค่นั้น”
แม่มดรู้เรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ? ผมคิดเสมอว่าธรรมชาติการปกปิดของเงานั้นสมบูรณ์แบบ หรือมีทักษะในโลกนี้ที่จะมองผ่านสิ่งเหล่านั้น
บังเอิญเธอเป็นแม่มดที่ดี? หรือเธอเป็นเพียงคนตะกละข้างถนนที่มีความสามารถมหาศาล?
ผมมีเรื่องจะถามหลายอย่าง แต่ก่อนอื่น
“ทำไมมานอนที่นี่ล่ะ”
เว้นแต่ฉันจะถามเรื่องนี้ การพูดคุยจะไม่ไปไหน
“เพราะฉันหิว”
“แล้วเธอก็ ฟุบลง เหรอ”
“อะไรทำนองนั้น”
แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ชีวิตของเธอตกอยู่ในอันตรายเล็กน้อย เธอก็ยังคงตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ถ้าอย่างนั้นคุณควรกินอะไรที่อิ่มท้อง ไม่ใช่แค่ไอติม”
“ฉันไม่ชอบอะไรอย่างอื่นนอกจากของหวาน”
“นี่ไม่ใช่เวลามาจู้จี้จุกจิก เดินสักหน่อยแล้วซื้อของในหมู่บ้านไอซ์ส ข้างหน้า เธอมีเงินด้วยไหม?”
“ฉันมีทอง —— ดูที่นี่”
พูดจบเธอก็สอดมือเข้าไปในหมวกแล้วหยิบเหรียญทองขนาดใหญ่ออกมา
ด้านหนึ่งเป็นรูปผู้หญิง และอีกด้านหนึ่งเป็นวงกลมวิเศษที่ไม่เคยเห็นมาก่อนอยู่ใกล้ขอบเหรียญ
มันอาจจะถูกใช้เป็นเวลานานเป็นสกุลเงิน ด้านข้างถลอกนิดหน่อย
แต่แม้กระทั่งบริเวณที่บิ่นออกก็ยังแสดงความแวววาวของทอง ดูเหมือนไม่ได้ชุบด้วยทองแต่ทำมาจากทองคำเองมากกว่า
ผมไม่สามารถบอกมูลค่าที่แน่นอนได้โดยไม่ต้องชั่งน้ำหนัก แต่มันเกินมูลค่า 1 เหรียญทองปกติอย่างง่ายดาย
โอ้ เดี๋ยวก่อน มันน่าประหลาดใจอยู่แล้วเกี่ยวกับเหรียญทองคำใหญ่ แต่เธอหยิบมันออกมาจากหมวกของเธอ เป็นไปได้มากว่าเธอจะใช้เวทมนตร์แบบเดียวกับเวทมนตร์เงาของฉัน
หากเธอเรียนรู้จากวิธีที่ถูกต้องซึ่งแตกต่างจากฉัน ในหมู่นักผจญภัยระดับของเธอแม้จะอยู่ต่ำที่สุดก็เท่ากับ 3
เธอดูไม่เหมือนคนที่เธอดูเหมือนจะเป็น
“ถ้าเธอมีเหรียญทองที่ดี เธฮสามารถซื้ออะไรก็ได้”
“อย่างนั้นเหรอ? ด้วยเหรียญทองคำนี้ ให้ฉันซื้อไอติมพวกนั้นตั้งแต่ตอนนี้เลย”
“น่าเสียดาย อันก่อนหน้านี้คืออันสุดท้าย และเฮ้! ผมไม่ได้บอกให้ไปซื้อของที่จะอิ่มท้องเหรอ?”
“ฉันชอบกินของหวานเท่านั้น”
ผมได้ยินมาก่อนหน้านี้แล้ว!
เฮ้ ปกติสาวคนนี้จะไม่กระตือรือร้น?
“เธอสามารถเดินไปที่หมู่บ้านไอว์สได้? จากที่นี่จะใช้เวลามากที่สุด 1 ชั่วโมง”
“ถ้ามันมากขนาดนั้นก็ได้”
“ผมเข้าใจ ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นแม่มดนักเดินทางเหมือนกัน”
มีนักเดินทางมากมายในโลกนี้ เช่น นักผจญภัย พ่อค้า และนักท่องเทียว
“ไม่เป็นไรแล้วที่คุณให้ของอร่อยๆ แก่ฉัน คุณเป็นนักเดินทางด้วยเหรอ?”
“เปล่า ผม—— อ่า ผมยังไม่ได้บอกชื่อของผมกับเธอเลย ผมคือคุโรโนะ และนี่คือ-”
“ฉันลิลลี่”
“พวกเธอทั้งคู่เป็นนักผจญภัยหรือเปล่า”
เพื่อที่จะบอกเธอได้ง่าย ผมจะแสดงการ์ดกิลด์ให้เธอดู
“นี่อะไร?”
“มันเป็นการ์ดกิลด์นะรู้ไหม”
“ฉันเห็นการ์ดกิลด์จากที่นี่เป็นครั้งแรก”
เธอพูดว่า ‘จากที่นี่’ เธอมาจากประเทศอื่นหรือไม่?
ไม่ต้องรอ ถ้าจำไม่ผิด การ์ดกิลด์ใบนี้มีอยู่ทั่วไปในทวีปแพนดอร่า
ในกรณีนั้น เธออาจมาจากทะเลทรายอันยิ่งใหญ่ทางทิศตะวันตก หรืออาจจะมาจากพื้นที่ห่างไกล
“ไปลงทะเบียนเป็นนักผจญภัยจะดีกว่าไหมถ้าเธอมั่นใจในเวทมนตร์ของเธอ? เมื่อเงินเดินทางของเธอหมด เธอก็สามารถทำเงินได้ในไม่ช้า”
อย่างไรก็ตาม หากเธอมีเหรียญทองคำใหญ่ๆ มากมาย คงต้องรออีกหลายปีข้างหน้า
“ฉันยังคิดที่จะเป็นนักผจญภัยในเร็วๆ นี้ ฉันคิดว่าจะลงทะเบียนเมื่อไปถึงเมืองสปาดา”
สปาดามาจากสิ่งที่ฉันรู้ เป็นเมืองที่อยู่ตรงกลางของทวีปติดกับอาณาเขตของเดดาลัส
[TN: ไดดาลอส จากนี้ไปเปลี่ยนเป็น เดดาลัส]
ผมไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน แต่ที่นี่มีชื่อเสียงมากแม้ในหลายเมืองในทวีปแพนดอร่า.. แม้แต่นักผจญภัยในชนบทอย่างผมก็รู้เรื่องนี้ดี
“นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันไม่มีการ์ดกิลด์นั้น ดังนั้นให้ฉันแสดงให้นายเห็น——”
พูดเช่นนั้น เธอจึงค้นหาอีกครั้งในหมวกและหยิบการ์ดออกมา
นั่นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการ์ดกิลด์แผ่นโลหะของฉันที่ดูเหมือนป้ายด็อก มันเป็นการ์ดจริงที่ดูเหมือนการ์ดซื้อขายที่ทำจากกระดาษแข็ง
ตัวอักษรที่เขียนบนนั้นเป็นตัวอักษรที่แปลกประหลาดของโลกนี้
『ฟิโอน่า โซเลย』
ดูเหมือนว่านี่คือชื่อของเธอ
ความจริงที่ว่าเธอมีนามสกุลหมายความว่าเธอเป็นขุนนางที่มีสถานการณ์พิเศษที่มาที่นี่
มันเป็นมารยาทของนักผจญภัยที่จะไม่สอดรู้สอดเห็นในเรื่องส่วนนั้น ผมควรเพิกเฉยต่อมัน
อาชีพของเธอคือนักเวทย์มนต์ ตำแหน่งก็เขียนด้วย แต่มันแตกต่างจากวิธีการแยกกิลด์นี้ ดังนั้นผมไม่รู้ระดับของเธอแน่ชัด
“ถ้าเธอเป็นนักผจญภัย เธอจะอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่พยายามอย่าล้มตัวนอนบนถนน”
“ใช่ ฉันคิดว่าถ้าฉันอิ่มท้องตลอดเวลา ฉันจะมีความสุข”
ไม่ นั่นไม่ใช่ปัญหาบ้าๆ ของที่นี่……ไม่ว่ายังไงก็ตาม
“ถ้าอย่างนั้น เรากำลังจะไปจากที่นี่ คุณฟิโอน่าคุณควรไปที่หมู่บ้านก่อนที่มันจะมืด”
“ได้ ไว้เจอกันใหม่”
“ได้สิ ถ้ามีโอกาส”
จากนั้นผมก็บอกลาฟิโอน่าซังและเริ่มต้นการเดินทางกลับอีกครั้ง
แต่ทำไมชาวบ้านและฟิโอน่าซังยังออกเสียงไอติมว่า “อาย สแกน ‘เด’”
[TN: ภาษาญี่ปุ่นว่าไอติมเป็นลูกอมน้ำแข็ง ดังนั้นพวกเขาจึงพูดเป็น“อายสแกน ‘เด’]