[ ขอบคุณมากที่คอยเตือนผม เอาล่ะๆ ผมมีบางอย่างอยากจะถามคุณเหมือนกัน ยายแก่ ]
[ ข้าว่าข้าเคยบอกเธอไป18ล้านรอบแล้วนะว่าอย่ามาเรียกข้าว่ายายแก่ เห้อ จะถามอะไร ความลับของความสวยตลอดกาลหรือ ? แน่นอนว่ากว่าจะสวยได้ต้องหมั่นทำทุกวันนะ ]
[ พักเรื่องไร้สาระของคุณไว้เถอะ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับจอมมารต่างหาก ]
เมื่อผมพูดไปอย่างงั้น
ยายแก่ก็ทำหน้า อืมๆ พร้อมเปลี่ยนท่าที่ของเธอ
—– บางที่ผมควรจะคาดคั้นเอาให้มากกว่านี้มั้ยนะ
[ มารยาทคุณแย่ลงไปนะบางที ]
[ หุบปากไป ไอ้ศิษย์ปัญญาอ่อน ตั้งแต่แกเข้ามาในชีวิตข้าเนี้ย มันก็มีแต่เรื่องให้เจ็บตัวตลอดเลยนะรู้มั้ย ]
[ ก็ยังเห็นสบายดีอยู่ไม่ใช่หรอ ]
[ คิคิ เอาล่ะพักเรื่องตลกของเราไว้เท่านี้เถอะ เอาล่ะ ชั้นแน่ใจว่าเธอจะต้องสนใจเรื่องนี้แน่ จริงๆจอมมารยังไม่คืนชีพหรอกนะในตอนนี้ ถ้าเกิดผนึกเกิดคลายตัวขึ้นมา นายก็จะรู้ได้ด้วยตัวเองไม่ใช่หรอ เพราะสลักที่ผนึกจอมมารมันเชื่อมต่อกับนายโดยตรง ]
หลังจากฟังคำตอบของยายแก่
ก็ว่าอยู่ทำไมเธอไม่แก้ปัญหาใดๆ
[ แล้วทำไมเรื่องถึงกลายเป็นจอมมารถูกขับไล่ไปโดยผู้กล้าและไม่ได้ถูกผนึก. . และอีกอย่าง ทำไมถึงมีข่าวว่าจอมมารกลับมาแล้วด้วย ! ]
เรื่องนี้เจ้าหญิงแห่งลัคซีเรียเป็นคนพูดออกมา
เรื่องที่จอมมารกลับมาแล้ว
[ จอมมารยังไม่ฟื้นคืนชีพหรอก แต่ผู้ติดตามของจอมมารเหล่า 6 ดาบขุนพลทำท่าทีเหมือนกับว่าจอมมารฟื้นคืนชีพแล้วน่ะสิ และนั้นมันเลยทำให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดกันไปเอง ]
[ ถ้างั้น สงครามครั้งนี้ คือสงครามกับเหล่า 6ดาบขุนพลสินะ ]
[ ถูกต้องแล้วศิษย์รัก แต่เหตุผลจริงๆคือเหล่าผู้กล้าได้ถูกอัญเชิญมา และนั้นเองมันทำให้เหล่าขุนพลอยากจะทำลายพวกเขา เพราะพวกเขาคิดว่าผู้กล้าเหล่านั้นคือศัตรูที่ผนึกเจ้านายของตน ]
ขณะที่เธอพูดออกมา เธอก็เกาหัวของเธอไปด้วย และยังมีพฤติกรรมอื่นที่น่าผิดหวัง เพราะเธอเริ่มใช้ขาของเธอเกาขาของตัวเองอีกข้างนึงเช่นกัน
เห้อ. .
ถึงเธอจะปรากฎตัวออกมาในรูปของสาวน้อย
แต่จริงๆแล้วอายุของเธอเลยเข้าวัยกลางคนไปแล้ว
แต่ยังแสดงพฤติกรรมแบบนี้ออกมาอีกนะ
[ เรื่องทั้งหมดก็เป็นอย่างที่เล่า เอาเถอะมาเรื่องของเราดีกว่า นายจำเป็นจะต้องเข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ . . ]
[ กรุณาอย่าตัดสินใจเรื่องสำคัญแทนคนอื่นได้มั้ย แล้วอีกอย่าง ถ้าคุณหมายถึงเพราะเรื่องทั้งหมดนี่แล้วผมจำเป็นจะต้องเข้าร่วมสงครามล่ะก็ ไปตายซะ ]
เห้อ กริยาของเธอที่แสดงออกมามันทำให้ฉายา นางฟ้าตลอดกาล ของเธอกำลังร้องให้ออกมาเลยนะ
[ ผู้กล้ารุ่นปัจจุบันขยันขันแข็งมากนะรู้รึปล่าว พัฒนาการของเขาที่แสดงออกมานั้น ถ้านายเห็นนายจะต้องสรรเสริญพวกเขาแน่นอน พวกเขาทำได้ดีมากทั้งๆที่พวกเขาไม่มีดาบศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็นะ พวกเขาก็ไม่ดูน่ารักเอาซะเลย ไม่เหมือนกับเธอ ]
[ กะ-เกิดอะไรขึ้นกับเธอ จู่ๆมาชมผมเนี้ย และที่สำคัญอย่าชมผู้ชายว่าน่ารักสิเห้ย! ]
[ ก็นายดูน่ารักเหมือนเด็กโง่ ]
[ สรุปคือกำลังด่าผมใช่ไหมครับ . . . ]
หลังจากพูดคุยกันสักพัก ยายแก่ได้ลุกขึ้นยืนที่เตียง. .
[ ความสามารถของพวกผู้กล้ารุ่นใหม่ยังไม่เพียงพอ ถึงพวกเขาจะมีพลังเวทย์เป็นจำนวนมาก แต่ระดับของพวกเขาในตอนนี้เพิ่งถึงระดับ master เท่านั้นเอง แต่เหมือนพวกเขาจะเรียนรู้ความสามารถในการต่อสู้ได้รวดเร็วมากนะถ้าเทียบกับเธอ จากที่ชั้นดูมา ถ้าหากนายไม่ถือดาบศักดิ์สิทธิ พวกเขาเก่งพอๆกับนายเลย ]
[ ผมที่ไม่ถือดาบศักดิ์สิทธิ์– บ้าไปแล้ว มันระดับสัตว์ประหลาดชัดๆ ]
ในขณะที่ผมครอบครองดาบศักดิ์สิทธิ์”Alto Vreede” ร่างกายของผมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ใช่แล้ว ถึงผมจะไม่ได้ถือครองดาบศักดิ์สิทธิ์ แต่แค่นี้ก็เพียงพอที่จะจัดการพวกมอนเตอร์ทั่วไปได้ง่ายๆ แต่ว่าถ้าแค่นี้ มันก็ยังไม่พอที่จะจัดการกับเหล่า6ดาบขุนพลได้หรอก
มันจะต้องมีพลังระดับ “เหนือโลก” ที่มีพลังเทียบเท่าจอมมารเท่านั้น ถึงจะเพียงพอสู้กับเหล่าขุนพลได้สบายๆ เพราะงี้ ถ้าไม่มีดาบศักดิ์สิทธิ์ด้วยผมก็สู้ไม่ได้เช่นกัน
เพราะดาบศักดิ์สิทธิ์ มันมีเวทย์มนต์ป้องกันศักดิ์สิทธิ์ต่างๆและยังมีความสามารถสุดยอดแถมมาด้วย และหนึ่งในนั้นคือเพิ่มพลังที่ทำให้ร่างกลายมีพละกำลังมหาศาล
แต่ว่าพลังเวทย์ก็ทำได้เหมือนกันในการเพิ่มพลังร่างกายให้แข็งแกร่ง แต่มันก็แตกต่างกันมากในความสามารถที่เพิ่มขึ้น
ร่างกายที่เพิ่มพลังความแข็งแกร่งด้วยพลังเวทย์นั้น โดยปกติคนธรรมดาก็สามารถต่อยก้อนหินแตกได้เลย แต่ร่างกายที่เพิ่งพลังความแข็งแกร่งโดยดาบศักดิ์สิทธิ์ มันสามารถทำลายภูเขาได้ง่ายๆ หรือแม้กระทั้งแยกทะเลเพียงแค่เหวี่ยงดาบเท่านั้น
นั้นและความแตกต่างของพลัง
ดังนั้น เมื่อผมมีดาบศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือคงไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว
คงจะเรียกว่ากลายเป็นอะไรที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่จะนึกออกได้ . . .
และต้องมีพลังเท่านี้ ถึงจะหยุดจอมมารลงได้
กลับมาเข้าเรื่องกันต่อ การที่พวกเขามีพลังเท่าผมที่ไม่มีดาบศักดิ์สิทธิ์ในมือ นั้นก็มากพอที่พวกเขาจะจัดการพวกมอนเตอร์ได้ง่ายๆเลย
แค่2-3อาทิตย์เองที่พวกเขาได้มายังต่างโลก
นี่พวกเขาเพิ่มระดับกันอย่างบ้าคลั่งเลยสินะ
บอกได้ว่า นั้นมันระดับสูงสุดของความเป็นมนุษย์เลยนะนั้น
[ อืม โดยเฉพาะ อามากิ ไคโตะ เขาสามารถใช้ทักษะมังกรคำรามได้นะ
ถ้านายไม่มีดาบศักดิ์สิทธิ์ล่ะก็ นายก็เอาชนะเขาไม่ได้หรอก ]
เมื่อยายแก่เดินออกมาเล็กน้อย เหล่ามิโกะก็ได้เข้ามาจัดร่างกายเสื้อผ้าของเธอ รวมกระทั้งทรงผมด้วย
แต่ เรื่องนั้นไม่ต้องกังวลไป
กังวลอีกเรื่องต่างหาก!!
[ เธอบอกว่ามังกรคำรามน่ะหรอ เอาจริงดิ!! ]
มังกรคำราม มันคือคำที่เขาเรียกกัน ..
มันเป็นคำในภาษาที่มังกร มันมีพลังปล่อยออกมาในทุกๆคำที่พูดออกมา พลังเวทย์ที่ปล่อยออกมาจากคำพูดนั้น มันทำให้คุณมีพลังเทียบเท่าของพลังมังกรเลยทีเดียว
ครั้งหนึ่งผมเคยสู้กับมังกรโบราณ มันลำบากมากทั้งๆที่มีดาบศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือแท้ๆ
นี้แหละ พลังของมังกรคำราม
ถึงท่านี้มันจะแข็งแกร็งมาก แต่มันก็ดูดพลังมานาอย่างมหาศาลมากเช่นกันถ้าหากเป็นคนธรรมดาใช้ท่านี้ มานาจะหมดในชั่วอึดใจเลยทีเดียว แม้แต่ยายแก่ก็เถอะ ผู้เป็นจอมเวทย์ที่เก่งที่สุดในหมู่มนุษย์ด้วยกัน เมื่อจะใช้มังกรคำราม เธอจะต้องเตรียมการก่อนจะใช้มันอย่างระมัดระวังและยังต้องใช้อักขระเวทย์ระดับสูงเช่นเดียวกับอักขระเวทย์ที่อยู่ในห้องนี้
สุดหล่อคุงมีพลังมานาเทียบเท่ากับจอมเวทย์หลวง 7000 เลยใช่มั้ยนะ
ด้วยพลังที่มากขนาดนั้น เขาคงใช้ได้สบายๆเลยล่ะมั้ง
และนั้น . . . .
มันทำให้โครตจะตกใจเลย
แต่ . . . .
[ แม้จะมีพลังระดับนั้นก็เถอะ ถ้าเขาใช้พลังอย่างเต็มที่ มันก็เทียบเท่ากับเหล่า 6 ดาบขุนพลเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง ]
ถ้าสุดหล่อคงใช้มังกรคำรามล่ะก็
เขาจะแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก
แต่พลังระดับนั้นมันก็เทียบเท่ากับ ระดับดยุค เท่านั้นเอง
[ อืม ถ้าเขาสู้กับระดับดยุคเพียงคนเดียว เขาก็คงพอทำอะไรได้บ้าง แต่ถ้าในสงครามนี้มีเหล่าดุค มา 2-3 คน แบบนี้แย่แน่ ]
เหล่ามิโกะซังขยับออกด้านข้าง ให้ ยายแก่เดินออกมา
[ ยายแก่? ]
[ เธอตามข้ามา ทรี และ เด็กสาวจากหมู่บ้านเดียวกับข้าก็ตามมาด้วย ]
ยายแก่เดินออกไปโดยที่ไม่ได้เหลือบมองพวกเรา พร้อมทั้งแสดงใบหน้าที่แตกต่างไปจากเดิม
พวกเราจึงเดินตามเธอออกไป
[ ต่อจากเรื่องที่เธอเคยถามข้าไว้ ต่อจากนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ]
[ . . . .หาาา ! ]
หลังจากออกมาจากห้อง ห้องโถงขนาดใหญ่มีบันไดลงไปทางใต้ดินอยู่ ตอนนั้นเอง ยายแก่ก็พูดเรื่องนี้ออกมา ดูเหมือนว่าเธอจะทำหน้าไม่สบายใจนัก
[เธอหมายความว่ายังไง ที่เธอบอกว่า “เธอไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” มันเกิดขึ้นได้ไงยายแก่ ในเมื่อเธอมองเห็นอนาคตได้ไม่ใช่หรอ ? ]
[ อืม ก่อนหน้านี้ก็เห็นเพียงเลือนลางเท่านั้น แต่มันก็เพียงพอให้มองเห็นได้ แต่ผลของอนาคตอันห่างไกลข้างหน้าต่อจากตอนนี้ ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย ]
ในสถานที่ตอนนี้ พวกเราลงมาลึกมากจนมองเห็นปลายบันไดเป็นเพียงแค่เงา ระหว่างนั้น ยายแก่ ก็พูดเรื่องที่ลังเลอยู่ในใจออกมา
[ ถึงข้าจะพูดออกไปแบบนั้น แต่จริงๆแล้ว อีก 2-3เดือน ต่อจากนี้ข้าก็ไม่สามารถมองเห็นอนาคตได้อีกแล้ว ]
ขณะที่นำเราลงไปห้องใต้ดิน
ยายแก่ก็ได้เริ่มพูดต่อ
[ กำลังจะมองไม่เห็นมัน? มันสามารถรักษาได้รึปล่าว ]
[ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน มันเป็นเวลา 1000 กว่าปีแล้วที่ข้าได้รับพลังแห่งการอ่านเวลา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ แม้กระทั้งสงครามที่จะถึง ถึงข้าจะมองเห็นอนาคตของมันก็เถอะ แต่ข้าก็บอกไม่ได้หรอกนะว่าผลมันจะออกมาในทางที่ดี ]
มีเพียงฝีเท้าที่กำลังเดินลงบันไดเท่านั้นที่ดังออกมาขณะนี้ . .
และ พวกเราก็ได้มาถึงชั้นที่ลึกที่สุด ที่ประตูมีโซ่ 2-3อัน ติดอยู่กับที่ประตู และมันให้ความรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่หลังประตูนี้ไม่ควรจะได้ออกมา . .
ความรู้สึกตอนนี้มีเพียง “ห้ามเปิดประตูเด็ดขาด” เท่านั้น . .
[ เพราะเหตุผลนี้ ข้าจะต้องให้เธอสู้ ข้าเข้าใจดีว่านายต้องการจะมีชีวิตสงบสุข แต่ขอเพียงแค่สงครามนี้เท่านั้น ข้าขอสั่งนายในฐานะอาจารย์ ข้าต้องขอโทษด้วยนะ ]
[ นี่มันอะไรกัน ไอ้ความรู้สึกน่าเคารพที่แผ่ออกมาจากตัวเธอ ยายแก่ ได้โปรดกลับไปทำตัวสูงส่งและหยิ่งผยองเหมือนเดิมที่เธอมักจะทำด้วย ]
เมื่อผมพูดไปแบบนั้น
ยายแก่ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ก็ได้หันหลังไปในทันที
ใหล่คู่นั้น ยายแก่กำลังสั่นเครือ
[ ดังนั้นในเมื่อผู้คนข้างนอกยังไม่ทราบว่านายเป็นผู้กล้า พวกเราจะทำอะไรบางอย่างเพื่อปิดบังหน้าตาของนาย ถึงอย่างงั้น สิ่งที่ข้ากำลังจะทำกับนายมันคือบาป บาปอันใหญ่หลวง ]
เมื่อยายแก่ได้สัมผัสไปที่โซ่
โซ่เหล่านั้นได้ได้ส่งเสียงออกมาและล่วงลงสู่พื้น
[ สิ่งนี้ อาจจะกระทบกับจิตใจของนายเป็นอย่างมาก ]
ประตูได้ถูกเปิดออก . .
[ บาดแผลเก่าของนาย บางที อาจจะทำให้นายเจ็บปวดแต่ข้าเชื่อว่านายจะผ่านมันไปได้หลังจากนี้ ]
และ
เมื่อประตูได้ถูกเปิดออก . .
สิ่งที่อยู่ในประตูนั้นได้เผยออกมา . .
[ ยกโทษให้กับความไร้ค่าของอาจารย์ด้วย ]
อะไรกัน. .
นั้นมัน. . . ..
————————–
ปล. ขอแว็บกลับไปแปล Deathflag ซัก2-3 วันก่อนนะ orz