ณ ลานกว้างในปราสาทลัคซีเรีย
หญิงสาวผู้สวมถุงมือเหล็ก เธอกำลังเหวี่ยงหมัดของเธออย่างบ้าคลั่ง
ด้วยภาพลักษ์ที่น่ารักของเธอเป็นทุนเดิม ภาพเหล่านี้มันจึงทำให้ดูไม่เข้ากันเลย
และการเคลื่อนไหวนั้น
มันทำให้ทรงผมทวินเทลสีแดงของเธอโบกสบัดไปมาในอากาศ
[ ฮ่าาา ]
หลังจากที่เธอส่งเสียงร้องออกมา
หมัดของเธอที่ชกออกไปนั้นทำให้เกิดแสงสว่างว๊าบพร้อมกับเสียงระเบิดดังขึ้นใส่ศัตรูในความว่างปล่าว
[ ย๊าา ]
ต่อจากนั้น เธอได้หมุนตัวด้วยความเร็วสูง มันเร็วสุดๆที่มนุษย์จะทำได้
มันเป็นการหมุนตัวเตะไปในอากาศ
[ อี๊ย๊าา!! ]
ที่อีกมืออีกข้างหนึ่ง
มือนั้นกำลังเปล่งแสงสีฟ้าออกมา
มันเป็นการร่ายเวทย์เพื่อป้องกันแรงระเบิด
[ แฮก แฮก ]
ตอนนี้
หญิงสาวผู้มีผมทวิลเทลสีแดงได้ทิ้งตัวลงนอนแผ่ที่พื้น
ด้วยเหงื่อจำนวนมากที่ไหลออกมานั้น
ทำให้แทบจะมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในชุดได้เลย
ในตอนที่เธอกำลังหอบอยู่
เพราะอากาศที่ร้อนอยู่แล้ว ยิ่งเธอได้สูดเข้าไปเต็มปอด
มันเหมือนกับยิ่งทำให้เหงื่อของเธอยิ่งใหลออกมามากขึ้นกว่าเดิม
[ เธอกำลังจะกลายเป็นสาวหยาบกระด้างแล้วนะรู้ตัวรึปล่าว อาคาเนะ ]
หญิงสาวอีกคนที่ดูอายุรุ่นเดียวกับเธอได้ปรากฎขึ้น
ด้วยที่เธอสวมชุดกิโมโนและฮาคามะ
มันยิ่งทำให้เธอดูเหมือนมิโกะเอามากๆ
หญิงสาวผู้มีผมสีดำได้นั่งลงข้างๆและที่มือของเธอมีผ้าชุบน้ำ
เธอได้ส่งให้กับหญิงสาวที่นอนแผ่หลา
[ . . อืมม ]
หญิงสาวที่นอนแผ่อยู่นั้น เธอชื่ออาคาเนะ เธอกำลังเช็ดหน้าตาของเธอด้วยผ้าชุบน้ำผืนนั้น มันทำให้เธอดูสดชื่นขึ้นสักหน่อย
[ เป็นเพราะไคโตะสินะ ]
[ งะ . เงียบน่า ]
[ คิคิ ไม่เป็นไรหรอกที่จะเงียบเอาไว้ เป็นชั้นก็ทำแบบเดียวกับเธอ ]
[ เอ๊ะ. .ซาคุยะ . .หรือว่า เธอก็ . . ]
[ ชั้นไม่ได้หมายถึงแบบเดียวกับอาคะเนะหรอกนะ . .”ที่ตกหลุมรัก” น่ะ ]
[ เงียบน่า!! ]
อาคะเนะได้หลบสายตาของเธอไปอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวอีกคนที่ชื่อซาคุยะ เธอได้หัวเราะออกมาเล็กๆ
และทันใดนั้นเอง บรรยากาศของทั่งคู่ก็ได้มืดครึมลงทันที
[ ชั้นว่าเวลานี้ควรที่จะต้องพูดอะไรบ้างแล้วล่ะ เพราะว่าไคโตะตอนนี้ เค้าดูจะเปลี่ยนแปลงไปมาก ]
[ . . . . . ]
อาคาเนะได้แต่เงียบไม่กล่าวอะไรออกมา
[ เขาพึ่งจะได้เห็นการตายอย่างโหดร้ายต่อหน้าต่อตา และนั้นคือเหตุผลที่ทำให้เขาเปลี่ยนไปถึงขนาดนั้น นี่มันก็ผ่านไป 5 วันแล้ว ที่เขาเข้าไปที่ “เขาวงกต” ด้วยตัวคนเดียว แต่นั้น ก็เป็นเหตุผลที่บ่งบอกสิ่งที่เขาพยายามฝึกอย่างเอาเป็นเอาตาย เขานั้นมีความมุ่งมั้นที่จะปราบจอมมารมากขนาดใหน ]
ใช่แล้ว
หลังจากผ่านพ้นการต่อสู้กับ อัคนีร่า คนนั้น
อามากิ ไคโตะ เขาได้ฝึกตนเองราวกับว่ามันเป็นการลงโทษตัวเองอยู่
[ เขาเอาแต่พูดว่า ”ในตอนนี้ ตัวผมจัดการพวกปีศาจไม่ได้หรอก” และเขาก็ขอร้องหัวหน้าจอมเวทย์วังหลวงเพื่อที่จะขอเข้าไป “เขาวงกตแห่งกาลเวลา” เพราะเวลาของที่นั้น มันได้เดินเร็วกว่าข้างนอกมากนัก ]
สถานที่แห่งนั้น
เดิมเป็นที่อยู่ของมังกรโบราณ และ ที่ถ้ำของมังกรนั้นมีพลังเวทย์โบราณไหลเวียนอยู่
และนั้นเอง ถ้าหากคุณต้องการจะเรียนเวทย์มนต์พิเศษ คุณจำเป็นต้องได้รับการสอนโดยมังกรโบราณตนนั้น ผู้ที่อยู่ในส่วนลึกของ “เขาวงกตแห่งกาลเวลา”
[ ไคโตะตอนนี้กำลังเจ็บปวด และเธอก็ไม่สามารถจะเป็นพลังให้กับเขาได้ นั้นคือเหตุผลที่เธอกำลังฝึกฝนอย่างหนักในขณะนี้เช่นกัน ถูกรึปล่าว แต่เธอยังเข้าใจมันผิดไปนะ เพราะสิ่งนี้มันเกินจะเรียกว่าการฝึกแล้ว มันควรเรียกว่า บ้าคลั่ง มากกว่า ]
[ . . . ]
ด้วยคำพูดของซาคุยะ . .
มันคือสิ่งที่ยืนยันว่ามันคือความจริงทุกอย่าง
ไคโตะเปลี่ยนไปมากหลังจากเหตุการณ์ในตอนนั้น
แต่ก่อน รอยยิ้มที่สดใสของเขาที่มักจะแสดงออกมาบ่อยๆ
แต่ทว่าตอนนี้ ใบหน้าของเขากับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
และถ้าเขาถือดาบอยู่ในมือ. . .
ดวงตาของเขาจะเต็มไปด้วยความเกลียดชัง. .
ความรู้สึกของอาคาเนะได้บอกว่า ไคโตะคนเก่าได้หายไปแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงไคโตะที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อเหล่าปีศาจ
ตอนนี้ไคโตะที่กำลังโศกเศร้า
เขาต้องการเพียงสิ่งเดียว
นั้นคือแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
และที่เธอเสียความรู้สึก
นั้นเพราะ
เสียงของเธอส่งไปไม่ถึงไคโตะเลย
มันเป็นความรู้สึกทุกข์ใจที่กำลังก่อตัวขึ้น
มันทำให้เธอถึงกับพุ่งตรงเข้าไปที่ป่า
และการฝืนจนทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บนั้น
มันเรียกว่าการฝึกไม่ได้จริงๆ
[ ถึงมันจะถูกอย่างที่เธอพูดมา แม้สิ่งนั้นจะเรียกว่าบ้าคลั่งก็เถอะ แต่เธอจะยังสนับสนุนชั้นได้ไหม ]
ไม่จำเป็นต้องอธิบายด้วยคำพูด
ซาคุยะดึงดาบคาตาน่าของเธอออกมาจากฝักดาบ
คาตาน่าของเธอนั้นถูกสร้างจากช่างตีเหล็กที่เก่าแก่
มันเป็นอาวุธที่มีพลังเวทย์มนต์อยู่ในตัว
[ มาเลย ชั้นอยากจะลองสู้แบบจริงจังกับซาคุยะมาตั้งนานแล้ว ]
หลังจากเห็นดาบคาตาน่า
อาคาเนะได้เด้งตัวขึ้นมายืนอยู่ในท่าพร้อมที่จะต่อสู้
บรรยากาศที่เศร้าหมองของทั้ง 2 ตอนนี้ได้หายไปแล้ว
เหลือเพียงบรรยากาศที่พร้อมที่จะสู้กันของทั้ง 2 คน
[ เข้ามา ]
[ ลองรับมันดู ]
หญิงสาวยังคนยืนถือดาบคาตาน่าอยู่กับที่
และหญิงสาวอีกคนได้พุ่งตัวออกไปพร้อมกับหมัดของเธอ
มันพุ่งตรงไปยังเป้าหมาย
[[ พลังของข้าจงตื่นขึ้น “ร่างศักดิ์สิทธิ์” ]]
เมื่อหญิงสาวทั้ง2ได้ตะโกนออกมา
ร่างกายของพวกเธอได้ถูกหุ้มไปด้วยแสงสว่าง
มันคือการเพิ่มพลังกายด้วยเวทย์มนต์ “ ร่างศักดิ์สิทธิ์ “
มันเป็นเทคนิคขั้นสูงในการเพิ่มความสามารถทางร่างกาย โดยที่แขนและขาของเธอนั้นเพิ่มพลังขึ้นอย่างมาก และมีแสงห่อหุ้มไว้ราวกับว่าเป็นเกราะป้องกัน
ร่างของทั้งคู่ที่ถูกเพิ่มพลังกายแล้วประทะกันด้วยความเร็วที่ราวกับแสงแฟลช
การโจมตีของดาบและหมัดนั้น มันรวดเร็วมากจนคนธรรมดาไม่สามารถจะมองตามทัน และเมื่อทั้ง2ปะทะกัน พวกเธอแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว
[ ฟุฟุ สำหรับอาคาเนะ ที่ไม่มีวิชาต่อสู้ติดตัว การที่ทำได้ถึงขนาดนี้ถือว่าแข็งแกร็งมากทีเดียว ]
หญิงสาวที่กำลังเหวียงดาบได้กล่าวขึ้น
ซาคุยะนั้นมั่นใจในความเร็วของเธอมาก
แต่หมัดนั้นก็ยังตามเร็วของคาตาน่าของเธอทัน
มันบอกได้ว่าในอนาคตอาคาเนะจะต้องแข็งแกร็งขึ้นกว่านี้มากแน่นอน
[ เห้ อย่าพึ่งคุยกับชั้นตอนนี้สิ ]
สำหรับอาคาเนะ
ซาคุยะเป็นคู่ต่อสู้ที่มีทักษะการต่อสู้สูงมาก
และนั้น มันทำให้เธอไม่มีอารมณ์ที่จะคุยมากนักนอกจากจดจ่อกับการเหวี่ยงหมัด
[ ชั้นว่า ที่ทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อไคโตะ สินะ ]
[ อะไรนะ!! ]
[ จิตใจหวั่นไหวคือศัตรูที่แท้จริง ]
ซาคุยะรู้ว่า อาคาเนะกำลังตกหลุมรักไคโตะ จึงใช้คำพูดเหล่านี้กระตุ้นเธอ
และนั้น มันทำให้ซาคุยะโจมตีออกมาอย่างกะทันหันในระหว่างที่อาคาเนะกำลังตกหลุมพลาง
[ เธอขี้โกง! ]
[ โฮ. . ]
ถึงอาคาเนะจะรับการโจมตีนั้นได้ แต่ก็ทำให้เกิดช่างว่างทางด้านหลัง
ถึงเธอจะพยายามเตะตวัดกับไป แต่มันก็ถูกดาบคาตาน่ากันเอาไว้ได้
[ เธอเสร็จชั้นล่ะ ]
ร่างของเธอถูกกดลงพื้น และมือขวาของเธอถูกกดไพ่หลังเอาไว้
อาคาเนะพยายามดิ้นเพื่อให้มือขวาหลุดออกจากกันพันธนาการ
ทันใดนั้นก็มีแสงรวบรวมขึ้นทีมือขวาของอาคาเนะ
แสงเหล่านั้นทำท่าเหมือนจะระเบิดออก
นี่คือ 1 ในท่าของเธอ
[ ระเบิ— ]
[ โฮมันคงจะเจ็บน่าดู ชั้นไม่เอาด้วยหรอก ]
แขนของอาคาเนะถูกปล่อยออก
เมื่อมองดูใกล้ๆ ซาคุยะนั้นตอนนี้ได้เก็บฝักดาบเข้าที่เอวไปแล้ว
[ มันไม่ยุติธรรม ซาคุยะ ชั้นไม่เห็นรู้เลยว่าเธอจะใช้ฝักดาบในการโจมตีด้วย ]
[ มันเป็นความผิดพลาดของอาคาเนะเอง ที่ตัดสินว่านักรบนั้นทำแบบนี้ไม่ได้ ฟุฟุ นี่แสดงว่าชั้นยังเหนือกว่าเธอไงล่ะ ]
อาคาเนะได้แต่กลืนน้ำลาย
เมื่อนึกถึงการโจมตีของซาคุยะที่ตรงมาที่คอของเธอ
ด้วยดาบที่เปล่งแสงนั้น . .
[ อาคาเน่ซังงงงงง ซาคุยะซังงงงง ]
หลังจากผลตัดสินของทั้งคู่ได้ออกมา
ก็มีเสียงจากของเด็กผู้หญิงซักแห่งหนึ่งกำลังร้องเรียกพวกเธออยู่
[ ชั้นว่าชั้นได้ยินเสียงของเขาเป็นเสียงของเด็กผู้หญิงนะ ]
[ ไม่ใช่ว่าเขากลายเป็นเด็กผู้หญิงไปแล้วหรอ? ]
เสียงฝีเท้ากำลังวิ่งตรงมาทางพวกเธอ
มันเป็นร่างของคนผู้สวมชุดผ้าคลุมสีดำและแขนเรียวสวยคู่นั้น มันกำลังถือคถาที่ทำจากไม้ และวิ่งตรงมาทางนี้
บอกได้ว่าสิ่งที่คุณกำลังเห็น
เป็นเด็กผู้ชาย. .
[ เกิดอะไรขึ้น อากิระ เธอลืมไปแล้วรึว่าตัวเองห้ามออกกำลังกาย ]
อาคาเนะ
กังวลเกี่ยวกับเด็กผู้ชายตัวเล็กคนนี้
เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา อากิระเหมือนจะมีปัญหาโรคหอบเวลาหายใจไม่ทัน
[ เขากลับมาแล้วไคโตะซัง-.กลับมาจาก”เขาวงกต”นั้น— ]
ยังไม่ทันอากิระจะได้หอบ
อาคาเนะเธอได้วิ่งออกไปในทันที. .
[ เอ๋? รอชั้นด้วยสิ อาเคเนะซังงง!! ]
[ เอาล่ะใจเย็นๆก่อน อากิระ อย่าเพิ่งลืมเรื่องเกี่ยวกับตัวเธอเองสิ เราไม่ต้องรีบไปก็ได้ ]
หลังจากอาคาเนะได้ออกวิ่งไป
อากิระทำถ้าเหมือนจะวิ่งตามเธอไป
แต่เหมือนซาคุยะจะจับไหล่ของเขาได้ทัน . .
[ ไคโตะ!! ]
สถานที่ที่อาคาเนะได้มาถึง
มันเป็นประตูขนาดยัก
และคนที่ยืนอยู่ที่นั้น
คือเด็กหนุ่มผมสีดำ
เสื้อผ้าของเขาขาดรุ้งริ้ง
และตามร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลและเศษฝุ่นโคลน
แต่ดวงตาและดาบเวทย์มนต์ของเขายังคงส่องสว่างราวกับยังไม่ลืมจุดมุ่งหมายในตัวเอง
ดูเหมือนองค์หญิงลัคซีเรียและเหล่าองครักษ์ได้ออกมาต้อนรับเขา
แต่อาคาเนะได้วิ่งออกมาข้างหน้าสุด
และได้พุ่งตัวเข้าไปกอด . . .
[ ว้าา .อะไรหรอ อาคาเนะ? ]
ไคโตะรู้สึกสับสนที่เพื่อนสมัยเด็กของตนอยู่ๆก็พุ่งเข้ามากอดเขา
[ เงียบน่า ขออยู่แบบนี้สักพักนะ ]
มันผ่านไปแล้ว 5 วันสำหรับหญิงสาว
มันก็แค่ 5 วัน . . .
แต่สำหรับไคโตะ
ผู้ที่อยู่ใน”เขาวงกตแห่งกาลเวลา”
เพื่อต่อสู่กับเหล่ามอนเตอร์นั้นเพียงลำพังในเขาวงกต
มันเทียบเท่ากับ 1 เดือนเลยทีเดียว
สำหรับเขาที่ต่อสู้อยู่ตลอดเวลา 1 เดือนเต็ม
สำหรับอาคาเนะแล้วมันไม่มีทางเลยที่จะไม่กังวลเกี่ยวกับไคโตะตลอดเวลา
เธอยังภาวนาอยู่ตลอด
ว่าเขาจะต้องรอดกลับมา. .
แต่เธอก็ยังกังวล
ว่าเขาจะปลอดภัยรึปล่าว . .
เขาไม่ได้ทุกข์ทรมานใช่ไหมตอนนี้. . .
มันเป็นเวลา 5 วันแล้วที่พวกเขาถูกแยกออกจากกัน . .
แต่ในเวลานี้. .
เขาได้กลับแล้ว
กลับมาโดยไม่เป็นอะไรมาก
ในใจของเธอตอนนี้มันเต็มไปด้วยความยินดี. .
[ . . . . ]
ขณะที่เขากำลังถูกเพื่อนสมัยเด็กที่ไม่ได้เจอกันนานนับเดือนกอดอยู่ . .
เขาก็ได้เผยรอยยิ้ม
มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานานมากแล้วตั้งแต่พวกเขาได้มาที่ต่างโลกแห่งนี้ . .