ผู้กล้าคนก่อนอยากจะเกษียณ – ตอนที่ 62 ผู้กล้าคนก่อนและการผจญภัยครั้งใหม่

ผู้กล้าคนก่อนอยากจะเกษียณ

เอาล่ะ ถึงแม้เมื่อกี้มันจะเป็นเรื่องดีที่ได้กล่าวคำอำลากับไคโตะ แต่ตอนนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ เพราะผมไม่รู้ว่าจะหาเอริและมาน่าได้ที่ไหน

ซึ่งหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายครั้งนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันไป การที่จะให้กลับไปยังห้องเรียนและถามหาพวกเธอนั้นคงไม่ดีเท่าไรหนัก และผมก็ไม่ได้มีความกล้าขนาดนั้นเหมือนกัน

ดูเหมือนว่าคงไม่มีทางเลือกนอกจากออกตามหาพวกเธอด้วย 2 ขาคู่นี้ที่ผมได้รับมาจากท่านพ่อท่านแม่ แต่ . . ที่เมืองนี้ มันดันกว้างโครตๆ

ขณะที่ผมกำลังคิดอยู่นั้น แสงแดดที่เคยส่องผมอยู่นั้นกับมืดลง

ผมจึงหันขึ้นไปมองบนท้องฟ้า 

จึงพบกับ . .

 

[ นั้นมัน ?? กางเกงในสีขาว ?? ]

 

ผมแอบไปเห็นชิ้นผ้าสีขาวเล็กๆของเด็กผู้หญิงที่ตอนนี้อยู่บนไม้กวาด

หือ? ไม้กวาดรึ?

 

[ นั้นมัน ? มาน่า? ]

[ เอ๋ ? ]

 

มาน่า ที่กำลังบินผ่านหัวของผมไปเมื่อตะกี้ เธอหันกลับมาพร้อมกับหยุดไม้กวาดของเธอ

มันเป็นการเบรก*เอี๊ยดดด แถด แถด แถด* ราวกับจักรยานอย่างไรอย่างงั้น

 

[ ยาชิโระซัง ! ]

 

มาน่าเธอบังคับไม้กวาดบินลงจอด และลงมายืนอยู่ที่ด้านหน้าของผม

 

[ หนองโพ . . อ่าา ไม่สิ เธอเก่งกว่าแต่ก่อนเยอะเลยนะ หนองโพจั– มาน่า ]

[ คะ , คุณมองที่ไหนคะเนี้ย! ]

 

อาจเพราะสังเกตุเห็นถึงสายตาของผม มาน่าเธอจึงปิดน่าอกของเธอ

โถ่เพื่อน นี่มันไม่ยุติธรรมนะ  ไอ้หนองโพขนาดยักนั้นมันดันไม่เข้ากับร่างกายขนาดเล็กนั้นเลย ดังนั้นเวลาเธอเคลื่อนไหวแต่ละทีมันจึง *ดึ๋งดั๋งๆ* อยู่ตลอด

เช่นกับตอนที่เธอกระโดดลงมาจากไม้กวาด 

หนองโพคู่นั้นก็เด้งรับโดยทันที

 

[ อี๋ มันน่ากลัวนะคะ ยาชิโระซัง ]

[ ขอโทษ ขอโทษที . . ผมเข้าใจแล้ว เหมือนกับตอนที่เฮนเรียสต้าเคยพูดเอาไว้ ]

 

เธอจะบอกว่าไอ้ไม้กวาดนี้คือไอเทมล้ำค่าสินะ

 

[ เธอแยกจากเอริได้ด้วยรึ? ]

 

เพราะร่างของเอริที่มักจะอยู่ข้างๆกับเธอตลอดนั้น ตอนนี้กับไม่อยู่ที่นี่ และเมื่อผมถามออกไป มาน่าก็หัวเราะออกมาคิกคักและเตะไปที่พื้น 2 – 3 ที ด้วยปลายเท้าของเธอ มันดูราวเหมือนกำลังเคาะไปที่พื้น

และเมื่อเธอทำเช่นนั้น

*ปุ้ง*

 

[ มาน่า? มีอะไรรึ? ]

[ ว๊าวว !! สุดยอด ! ]

 

เอริปรากฎออกมา มันดูราวกับเธอออกมาจากเงาของมาน่า

 

[ ยาชิโระซัง? ]

[ โย่ เธอกำลังอยู่ในระหว่างงานอะไรรึปล่าวเนี้ย ? ขอโทษด้วยนะ ]

[ ไม่เป็นไรค่ะ ]

 

เอริได้แต่เอียงคอสงสัยในตอนที่ผมขอโทษออกมา

 

[ คุณกำลังจะไปที่โรงเรียนหรอคะ? ]

[  เปล่าครับ ผมพึ่งจะมาจากโรงเรียน มันช่างโชคดีจริงๆที่มาเจอพวกเธอตอนนี้ ]

[ [ ? ] ]

 

2 จาก 3คน ได้เอียงหัวสงสัย

 

[ ก็ผมกำลังจะเดินทางไปเมืองต่อไปแล้ว ผมเลยอยากจะกล่าวอะไรกับพวกเธอซักหน่อย โชคดีจริงๆ ที่ผมหาพวกเธอพบเสียที ]

ขณะที่ผมรู้สึกยินดีที่พวกเราได้มาพบกันในเวลานี้ ใบหน้าของมาน่าตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเธอพร้อมที่จะร้องให้ออกมาตลอดเวลา

[ มะ , ไม่จริง ! มันกะทันหันเกินไปแล้วค่ะ ! ]

[ อ่า ขอโทษด้วยนะ ]

 

จริงอย่างที่มาน่ากล่าวออกมา มันออกจะกะทันหันเกินไป อย่างไรก็ตาม ผมก็ตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าจะอยู่ที่นี่สัก 2 อาทิตย์ ซึ่งมันก็ครบแล้ว

 

[ คุณจะไป. . . หาท่านเอริเซียก่อนรึปล่าวคะ ? ]

[ หือ? อ่า ดูเหมือนเธอจะยุ่งอยู่ตลอดเวลานะช่วงนี้ สงสัยพวกเราคงไม่ได้พบกัน . . .]

 

อย่างไรซะพวกเราก็ยังสามารถติดต่อกันได้ทางหินสื่อสารอยู่แล้ว และเมื่อผมกำลังจะพูดต่อ มาน่าก็พูดขัดออกมาซะก่อน 

 

[ คุณทำแบบนั้นไม่ได้นะคะ !! ]

[ . . . เอ๋ ? ]

 

ภายในแว่นของเธอ มันคือดวงตาอันแข็งกร้าวจนผมรู้สึกได้กำลังจับจ้องมาที่ผม สายตานั้นผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจากมาน่า และคำพูดที่เธอกล่าวออกมาราวกับตะคอกผมนั้น มันทำให้ผมเผลอถามออกไปอีกครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

[ ท่านเอริเซียเป็นเด็กผู้หญิงนะคะ !? อย่างน้อยที่สุดก็พูดอะไรสักอย่างบอกลาเธอซักหน่อย  ]

[ อ่า? โอเค ? ]

 

ผม , ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรแต่ . . ดูเหมือนว่าผมจะเผลอก้าวเท้าเข้าไปเหยียบกับระเบิดหรืออะไรซักอย่างล่ะมั้ง?

 

[ ทั้งๆที่ท่านเอริเซีย คิดถึงและเป็นห่วงยาชิโระซังอยู่ตลอด แบบนี้มันจะโหดร้ายเกินไปแล้วนะคะ !! ]

[ ไม่ครับๆ อย่างที่ผมพูด ผมอาจจะไปรบกวนเธอ. . ]

[ ไอ้สิ่งที่พูดมานั้นใช้อ้างกับฉันไม่ได้หรอกค่ะ ! ]

 

อาจเพราะเธอไม่ต้องการรับฟังคำแก้ตัว มาน่าจับมาที่มือของผม และเริ่มออกเดิน

 

[ เฮ้ๆ เดี่ยวผมจะเดินตามหลังเธอก็ได้น่า ไม่ต้องดึงผมแล้ว ! ]

 

อย่างที่เธอพูดเอาไว้ เธอไม่ต้องการรับฟังคำแก้ตัว มาน่าเธอยังคงดึงมือของผมไปโดยไม่พูดคุยกับผม แต่อย่าไปบอกใครนะ ว่าผมต้องขอขอบคุณเธอจริงๆที่เธอดึงมือของผมไปนั้น เธอจับแขนของผมหนีบไว้กับข้างตัวของเธอ และนั้น มันทำให้ผมมีความสุขกับ สัมผัสที่มือบางๆที่แอบโดนด้านข้างของหนองโพของเธอ

 

————-

 

[ ยู ? ]

 

เมื่อเอลิเซียสังเกตุเห็นพวกเรา เธอจึงหันกลับมา

 

[ อ่า~ . . .โย่ว ]

 

ดูเหมือนว่านั้นจะไม่ใช่คำพูดที่ฉลาดนัก เพราะเมื่อผมตอบกลับเธอไปเช่นนั้นดวงตาจากคนอื่นๆทั้งมาน่าและเอริ กลับจ้องมาที่ ผมกันหมด 

 

[ ฟุฟุฟุ . . ดิชั้นเข้าใจแล้วค่ะ ]

*ป๊อง*

 

เอลิเซียเธอดีดนิ้วเอาเรียวบางของเธอจดเกิดเสียงดังก้องออกมา และในทันที เสียงต่างๆที่อยู่รอบตัวกลับหายไปในทันที

 

[ นายไปเจอ 2 สาวนั้นก่อนที่จะออกเดินทาง . . และ 2 สาวนั้นก็ลากนายมาที่นี่ เป็นอย่างนั้นใช่รึปล่าวคะ ? ]

[ ทะ , เธอถูกเผงเลยล่ะ ]

 

ในโลกที่เสียงต่างๆได้หายวั๊บไป มันมีเพียงแค่เสียงของเอลิเซียและเสียงของผมเท่านั้นที่ได้ยิน

อาจเพราะพวกเธอสังเกตุเห็นถึง”เวทย์มนตร์เงียบ”ถูกใช้ขึ้น ทั้งมาน่าและเอริที่ยืนอยู่ข้างๆผมนั้น ต่างถอยให้เกิดระยะห่างจากพวกเรา

 

[ ชั้นแปลกใจจริงๆ พวกเธอช่างเอาใจใส่? ]

[ ผมว่ามันเป็นการเอาใจใส่แบบแปลกๆ ]

 

อืม มันก็ช่วยไม่ได้นะ เพราะมาน่าและคนอื่นคงเข้าใจว่า ผมเป็น [สุดที่รักขององค์หญิง] ดั่งที่เอลิเซียเคยประกาศเอาไว้

พวกเธอคงคาดหวังให้เกิดฉากหวานแว๋วอะไรสักอย่างล่ะมั้ง แต่ ขอพูดตรงๆนะ ถ้าผมทำเช่นนั้น มันก็จะกลายเป็นความรับผิดชอบมากมายที่ผมจำเป็นต้องแบกรับเลยนะ

 

[ แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับงานบูรณะเมือง ]

[ การปรับแต่งองค์ประกอบเวทย์มนตร์สำหรับบาเรียป้องกันคงจะเสร็จสิ้นวันนี้ ดังนั้นตอนนี้พวกเรากำลังค้นคว้าเพื่อหาจุดสำคัญที่ใช้ในกลางสร้างบาเรียอยู่น่ะ ]

[ กำลังค้นคว้า? . . อ่า? เธอกำลังหาเหตุผลสินะว่าทำไมบาเรียถึงถูกทำลายลงได้ ]

 

เมื่อผมกล่าวข้อสรุปในมุมมองของผมออกมา เอลิเซียเธอก็ผงักหน้าตอบและเปลี่ยนท่าทีของเธอเป็นจริงจัง

 

[ สำหรับผลของการตรวจสอบนั้น ทำให้พวกเราได้รู้อะไรหลายๆสิ่ง . . ดูเหมือนจะไม่ผิดแน่ที่บาเรียนั้นถูกทำลายลงโดยอัมบร้า เพราะมันมีรูปสลักเสารูนโบราณที่สลักอยู่รอบๆจุดสำคัญที่ใช้ตั้งวงเวทย์บาเรีย มันคืออักษรรูนที่ถูกใช้โดยทั่วไปของพวกอาเชมิส ]

[ ผมเข้าใจแล้ว ถ้ามันคืออักษรรูน มันก็จะสามารถตั้งเวลาให้เวทย์มนตร์ทำงานได้ตามใจชอบสินะ ]

 

ที่ผมรู้เรื่องนี้ก็เพราะ เวทย์มนตร์ ดาบพลังเวทย์ ที่ผมสามารถใช้ได้นั้นมันคือการรวมกันของ อักษรรูนหลายๆตัวที่ถูกสลักลงบนสิ่งของ

. . . หือ?

 

[ เธอพูดว่าแกะสลักเรอะ? . . แล้วใครเป็นคนสลักมันลงไป? ]

 

ขณะที่ผมเผลอพึมพัมคำถามที่แว๊บเข้ามาในหัวของผม เอลิเซียก็พยักหน้าออกมา

 

[ ใช่แล้ว นั้นแหละคือปัญหา อัมบร้านั้นไม่น่าผ่านเข้ามาในบาเรียของสถาบันได้ มันเป็นไปไม่ได้เลยเว้นแต่บาเรียของทางสถาบันเกิดหยุดทำงานลง ]

 

อัมบร้า เขาเป็นอันเดดที่มีความทรงจำของเขาสมัยยังเป็นมนุษย์ หรือจะเรียกว่าลิชก็ได้ ถึงแม้ ลิช มันคือชื่อของคลาสที่แข็งแกร็งที่สุดในหมู่อันเดด แต่ว่า ยายแก่เป็นคนสร้างบาเรียของสถาบันที่แข็งแกร่งนี้ด้วยตัวเอง ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจหรือเหล่ามอนเตอร์บุกเข้ามาได้ และมันไม่เว้นแม้กระทั้งพวกอันเดด

อัมบร้าไม่ควรที่จะผ่านมันได้ แต่ว่าดังที่กล่าวมา ไอ้หมอนั้นมันสลักเป็นคนสลักรูนเหล่านั้น

 

[ ไม่ใช่ไอ้หมอนั้นใช้วิชาพิเศษควบคุมคนเป็น. . .  ]

[ มันอาจจะเป็นเช่นนั้น แต่ยังไม่ใช่ ]

 

ขณะที่หัวของผมยังคงติดกับคำว่า “อาจจะ” แต่เอลิเซียก็กล่าวออกมาอย่างอย่างชัดเจนโดยคำว่า “แต่ยังไม่ใช่”

 

[ ทำไมล่ะ เธอมีเหตุผลรองรับมันรึ ? ]

[ อัมบร้าได้บุกเข้ามาในสถาบันเป็นอันดับแรก และสลักอักษรรูนรอบๆวงเวทย์หลักและทำลายวงเวทย์หลัก และยังใช้เวทย์มนตร์ที่มีพลังเหมือนกับลบล้างการแสดงผลของวงเวทย์หลัก ทั้งหมดนี้คือเรื่องที่ถูกยืนยันแล้ว . . ]

[ ไม่ๆ . . .อย่างที่ผมพูด เพราะว่าทางสถาบันนั้นมีบาเรียอยู่ แสดงว่าหมอนั้นไม่มีทางที่จะเข้ามาข้างในใช่ไหม ? ]

 

ผมตอบกลับไปพลางหงุดหงิดในคำพูดของตัวเองที่มันดูเหมือนจะพยายามยืนยันในสิ่งที่พวกเราได้พูดคุยกันไปแล้วอีกครัง แต่ว่า ท่าที่จริงจังของอลิเซียก็ไม่ได้จางหายไป ตรงกันข้าม มันกับทวียิ่งขึ้นไปอีก

 

[ ใช่ มันถูกต้องแล้ว. . . อย่างไรก็ตาม ถ้าหากบาเรียของทางสถาบันไม่ได้ทำงานอยู่ อัมบร้าก็จะสามารถเข้ามาได้โดยง่าย ]

[. . . เธอหมายความว่า ? ]

 

ถึงเรื่องที่กล่าวมานั้นมันจะฟังดูปกติทั่วๆไป แต่ในที่สุด ผมก็เริ่มที่จะปะติดปะต่อสิ่งอลิเซียพยายามจะบอกได้ 

 

[ ใช่ ประมาณ 2 เดือนก่อน มีครั้งหนึ่งที่บาเรียของทางสถาบันเกิดหยุดทำงาน มันเป็นเรื่องที่ชั้นมาได้ยินทีหลัง แต่ตอนนั้นชั้นก็ไม่ได้คิดอะไรให้ถี่ถ้วน ไม่สิ ชั้นไม่เคยคิดถึงมันเลย เพราะตอนนั้นไอ้สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้ส่งผลแค่บาเรียของทางสถาบัน แต่มันส่งผลไปกับโลกใบนี้ด้วย ]

 

ไม่ใช่แค่บาเรียของทางสถาบันรึ . . .

เดี่ยวนะ 2 เดือนก่อน !! นั้นมัน 

 

[ ใช่ . . . มันคือวันที่ผู้กล้าคนปัจจุบัน ถูกอัญเชิญมายังโลกแห่งนี้ ]

 

ในที่สุด ความจริงก็ปรากฎ ผมจำได้แล้วในสิ่งที่เจ้าหญิงลัคซีเรียเคยพูดไว้

“ อาณาจักรลีซาเรี่ยนและอาณาจักลัคซีเรียของเรามีพิธีการอัญเชิญแตกต่างกันค่ะ” 

พิธีอัญเชิญของอาณาจักรลีซาเรี่ยนนั้นมีวิธีโดยการแปรสภาพพลังเวทย์มนตร์จากการเรียงตัวของดวงดาวด้วยรูปแบบวงเวทย์โบราณที่ถูกเขียนไว้ในอาณาจักลีซาเรี่ยน มันเป็นวงเวทย์เพื่อมีไว้เก็บรวบรวมพลังมานา และใช้พลังเวทย์มหาศาลที่เก็บรวบรวมไว้นั้นเพื่อเปิดประตูแห่งโลก

ในความหมายของ “การอัญเชิญของอาณาจักรลัคซีเรียของเรา” มันคือการชักนำกระแสพลังเวทย์มนตร์เก่าแก่ที่ไหลเวียนอยู่ใต้พื้นดินให้ไหลมายังวงเวทย์ และสร้างประตูแห่งโลกขึ้นมา

และ บาเรียของทางสถาบัน ที่ใช้พลังเวทย์จากกระพลังเก่าแก่นั้นเป็นตัวหล่อเลี้ยงให้บาเรีย “ทำงาน”

 

[ นั้นเพราะพวกเราถูกอัญเชิญมา ทำให้พลังเวทย์หายไป ? ]

[ กระแสพลังเก่าแก่ได้ไหลผ่านลัคซีเรียไปยังลิสวาเดีย . . . ตามปกติ การที่จะเปิดประตูแห่งโลกนั้นต้องใช้พลังเวทย์มนตร์มหาศาลที่ได้จากการเรียงตัวของดวงดาว ที่จะบอกก็คือ หากจะสร้างสิ่งนั้นขึ้นมา มันจำเป็นต้องจ่ายสิ่งที่เท่าเทียมเช่นกัน ดังนั้นพลังเวทย์มหาศาลจะสูญเสียไป หรือก็คือ . . ]

 

มันก็หมายความว่าพลังเวทย์ที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสโบราณที่ควรจะไหลไปยังลิสวาเดีย “ในวันนั้น” มันเหือดแห้งจนบาเรียไม่สามารถทำงานได้

 

[ …… ]

[ และ 2 เดือนต่อมาหลังจากที่อักษรรูนถูกสลักไว้ อัมบร้าก็ทำลายบาเรียของเมือง แต่ว่า อะไรคือเหตุผลที่อัมบร้าไม่ยอมทำลายมันเลยตั้งแต่ตอนนั้น ทำไมต้องรอถึง 2 เดือน และถ้าพวกเราคิดต่อไปอีก ทำไมเขาถึงรู้วันเวลาที่ผู้กล้าจะถูกอัญเชิญ มันยังมีปริศนาให้คิดอีกมากมาย ]

 

ขณะที่ผมยังมัวแต่เงียบอยู่ อลิเซียก็กล่าวออกมาจนจบ 

 

[ ไม่ใช่ว่า , มีคนในลัคซีเรียไปบอกพวกปีศาจ ? ]

 

มันช่วยไม่ได้ที่ผมจะคิดออกมาแบบนั้น นั้นเพราะในตอนที่อัมบร้าสลักรูนลงไปในจุดสำคัญของบาเรียลิสวาเดีย มันเป็นเวลาเดียวกันกับตอนที่อาณาจักลัคซีเรียเปิดประตูแห่งโลก

 

[ ชั้นก็ไม่รู้ . . อย่างไรก็ตาม มันยังยากเกินไปที่จะสรุปเรื่องซับซ้อนพวกนี้ ]

 

ผมนึกออกแล้ว หลังจากที่ผมออกจากปราสาท ผมได้ได้ยินสุดหล่– ไม่สิ ไคโตะบอกว่าเขาได้พบอัคนีร่า อัคนีร่ารู้อยู่แล้วว่าพวกเราถูกอัญเชิญมาที่โลกแห่งนี้

และเธอก็มาโจมตี

 

[ ไม่ใช่ว่าเหตุการณ์นี้ อัมบร้ามีเป้าหมายที่ตัวผม ? ]

 

อัมบร้าได้ควบคุมร่างของอลิเซียและหยุดการเคลื่อนไหวของผม

ถ้าหากเขาจะทำอะไรสักอย่างกับผม การทำลายบาเรียในจังหวะเวลาที่ผม. . 

ไม่สิ มันยังขาดแคลนข้อมูลเกินไป

 

[ ไม่ . . . มันอาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ แต่ ชั้นคิดว่าการที่ยูดันมายูที่เมืองนี้ดันเป็นเรื่องไม่คาดคิดของอัมบร้า ]

[ เอ๋? ]

[ ในมุมมองของชั้น ถ้าอัมบร้าตั้งใจที่จะสู้กับนายอีกครั้งจริงๆ เขาก็คงไม่ใช้ชั้นเพื่อ “หยุดความเคลื่อนไหวของนาย” ]

 

. . .อืม ถ้าหากเขาคิดที่จะทำเช่นนั้นจริงๆ เขาก็คงเริ่มต้นด้วยการลักพาตัวเอลิเซีย

ถ้าหากเขาทำเช่นนั้น ผมก็คงออกตามล่าเขาและคงหลงกลเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่เขาเตรียมพร้อมเอาไว้

แล้วไงต่อ? เขาก็ทำอะไรผมไม่ได้อยู่ดี

. . .แต่ ถ้าเป็นดั่งที่อลิเซียกล่าว มันก็เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาภายในหัวของผม

ไอ้อัมบร้า มันพยายามจะทำอะไรกันแน่ ?

 

[ นี่ ยู~ ชั้นขอถามอะไรนายสักอย่างได้รึปล่าว? ]

[ หือ? . . ได้สิ ว่าแต่อะไรรึ? ]

 

ขณะที่ผมกำลังจมอยู่ในทะเลแห่งความคิด อลิเซียก็เปิดประเด็นใหม่ด้วยคำถาม

 

[ นายยัง-, ไม่ต้องการที่จะต่อสู้ในฐานะผู้กล้ารึปล่าว? ]

 

มัน, มันเป็นความคิดที่ผมทิ้งเอาไว้ในมุมหนึ่งของหัว ไอ้เรื่องที่ว่ามานั้น ผมพยายามที่จะไม่คิดถึงมัน

 

[ นายยังคงต่อสู้เพื่อตัวเอง? . . . นายยังคงเกลียดทุกๆสิ่ง ? ]

 

ผม ,สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงแค่การต่อสู้ เพื่อประโยชน์ของโลกเล็กใบนี้

ถ้าหากระหว่าง 1 คนที่ผมแคร์ กับ 100 คน ไม่ต้องให้มากความเลย ผมเป็นมนุษย์ที่สามารถตัด 100 คนทิ้งได้

และนั้น เมื่อ ตลอด 3 ปีมานี้ ผมน่ะเกลียดพวกมนุษย์ รวมถึงตัวเองด้วย

พวกมันทำในสิ่งแค่เพื่อตัวเอง ทำในสิ่งเพื่อสนองความโลภของพวกมัน ผมกลายมาเกลียดสิ่งเหล่านี้ของมนุษย์

 

[ นายยัง, พูดได้รึปล่าวว่านายยังคงชอบโลกที่เป็นเช่นนี้อยู่ ? ]

[ ผมชอบมันนะ เพราะผมรู้ซึ้งแล้วว่า ทุกๆคนนั้น ต่างพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ตัวเองมีชีวิต ]

 

. . . โอลิเวีย คือคนที่อัญเชิญผมมายังโลกใบนี้ และเธอคนนั้นก็ได้ตายลง โดยทิ้งผม ซิลเวีย และคนอื่นๆไว้เบื้องหลัง 

เจ้าหญิงอันดับที่ 1 แห่งอาณาจักรลีซาเรี่ยน

และเธอ คือคนผู้ซึ่งสอนผมในสิ่งที่มนุษย์เป็น

 

[ . . ชั้นเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากนะ ]

 

เด็กสาวคนนี้ผู้ซึ่งเหมือนกับ พี่สาวทั้ง 2 คนกำลังมองผมด้วยดวงตาที่สั่นเคลือ มันเป็นสายตาที่เหมือนกับพี่สาวคนโตของเธอ

ดวงตาคู่นี้ ที่มันดูราวกับมรกต มันสะท้อนให้เห็นถึงตัวผมในดวงตาคู่นั้น  ผมได้แต่หันสายตาออกไป เพื่อทิ้งระยะห่างจากดวงตาของเอลิเซียสักหน่อย

 

[ หือ? มีอะไรรึ อลิเซีย ]

 

จู่ๆ อลิเซียก็กอดผม มันไม่ใช่การกอดที่เหมือนกับตอนที่พุ่งมาจู่โจมกอดด้านหลังของผม แต่มันเป็นการกอดที่อ่อนโยน

 

[ นายไม่เปลี่ยนไปเลย ยู~ นายยังคงเป็นเหมือนเดิมกับตอนที่ท่านพี่โอลิเวียชอบนาย นายรู้รึปล่าว ชั้นชอบนายแบบนี้จริงๆนะ เหมือนกับที่ท่านพี่โอลิเวียชอบ– . . .นั้นคือเหตุผลว่าทำไมชั้นถึงมีความสุขมาก! ]

[ . . อืม ผมก็ชอบเธอเหมือนกันนะ เอลิเซีย รู้รึปล่าว? รองจากโอลิเวียแล้ว ผมก็ชอบเธอที่สุดเลยนะ  ]

[ คิกคิกคิก ! ถ้าหากท่านพี่ซิลเวียมาได้ยินเข้าล่ะก็ เธอคงจะโกรธเอามากๆแน่เลยล่ะ ]

[ อุก ได้โปรดอย่าแอบเอาเรื่องนี้ไปบอกซิลเวียนะ โอเคะ !? ]

 

ขณะเผยรอยยิ้มที่เหมาะสมกับวัย เอลิเซียเธอก็หัวเราะออกมา

 

———

 

[ คุณจะไปทั้งๆที่ไม่กล่าวอะไรถึงดิฉันหน่อยรึคะ ? . . . คิดว่าพวกเราจะบังเอิญได้เจอกันง่ายอีกครั้งหรอคะ? ที่เรนเบิร์กแห่งนี้มันกว้างใหญ่เกินไปนะคะ รู้รึปล่าว? ]

[ นี่เธอกำลังพูดบ้าอะไรกันห๊ะ ? ]

 

ขณะที่ผมกำลังจะออกจากประตูทางทิศเหนือของลิสวาเดียเพื่อมุ่งตรงไปยังเมือง Be Io และที่ตรงกลางถนนนั้น มีซิสเตอร์กำลังยืนชี้นิ้วขวางทางประมาณว่า”คุณทำอย่างงี้ได้อย่างไร”  เหมือนดั่งฉากของตัวละครหลักทั่วๆไป

 

[ เอ๋ อ, ปฎิกิริยานั้นมันอะไรกันคะ? ปกติแล้วจากที่คุณยังคงเงียบๆก็จะเผยรอยยิ้มออกมา และดึงแขนตัวละครหลักคนนี้ ขึ้นไปยังบนม้าด้วยกันสิคะ . . .แต่ว่าคุณไม่ได้กำลังขี่ม้า คุณกำลั่งขี่. . .คุเคล? ]

[ เธอ– , เธอไม่ใช่ตัวละครหลัก !! ]

[ มะ– ไม่จริง ! ]

 

อ่า~ เธอยังคงน่าปวดหัวเช่นเคย … อืม แต่ก็ยังดีเพราะเรียวขาเปลือยคู่นั้นที่โผล่ออกมาให้เห็นในชุดที่แหวกข้างของเธอและหนองโพรูปทรงสวยงามคู่นั้นยังคงชวนอีโรติกเช่นเคย

 

[ แล้ว ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ ? ]

[ แล้วยาชิโระซัล่ะคะ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ? ทำไมคุณถึงจะออกเดินทางต่อโดยที่ไม่กล่าวอะไรซักคำกับดินฉันเลยรึคะ !? แม้คุณจะเคยบอกว่าคุณเป็นนักเดินทางผเนจรที่เดินทางไปเรื่อย แต่อย่างน้อยก็ควรพูดอะไรสักอย่างเพื่อบอกลาสิคะ ! ]

 

ดูเหมือนว่าไอ้การบอกลานี่จะเป็นอะไรที่จริงจังแฮะ ยัยซิสเตอร์ชุดดำคนนี้ หรือเบอร์นาเดสกำลังงอนแก้มป๋องและเดินเข้ามาหาผม

มาน่าและเอริ เธอทั้ง 2 ก็ออกมาส่งผมเหมือนกัน พวกเธอต่างพยักหน้าให้กับคำพูดของเบอร์นาเดส

 

[ ขอโทษเกี่ยวกับเรื่องนั้นด้วยนะ เบอร์นาเดส . . .]

[ ชิ~ มันช่วยไม่ได้สินะคะ~ เพราะดิฉันกับยาชิโระไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน มันก็เลยช่วยไม่ได้ แต่ว่า ดิฉันอภัยให้ค่ะ– โอ้ย !? คะ- , คุณตีดิฉันอีกแล้ว !? ]

[ อ่า ขอโทษที ผมเผลอทำไปโดยไม่รู้ตัว ]

 

มือของผมดันพุ่งจู่โจมเบอร์นาเดสดยไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นการโจมตีไปยังหนองโพของเบอร์นาเดสจนเกิดเสียง *Pechan!*

ไม่ดีแน่ ไม่ดี , มันเพราะผมยังแฮ้งๆอยู่ มันเลยทำให้ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ไปชั่วขณะ

 

[ คุ คุ~ คะ, คุณทำอะไรกับหน้าอกของหญิงสาวคะเนี้ย . . แต่ก็ โยนเรื่องความโกรธในเหตุการณ์เมื่องสักครู่ทิ้งไปก่อน มีบางเรื่องที่สำคัญกว่า มันมีบางสิ่งที่ดิฉันต้องการจะบอกกับยาชิโระซังเป็นอันดับแรก ]

 

เบอร์นาเดส ผู้ที่กำลังลูบหนองโพของเธอเบาๆด้วยน้ำตาคลอเบ้า หลังจากปรับเปลี่ยนท่าทางของตัวเองและ 

*กะแฮ่ม* เธอไอออกมาเล็กๆ

 

[ ดิฉัน เจ้าหน้าที่ เบอร์นาเดส ได้รับมอบหมายภารกิจจากศาสนจักรเพื่อปกป้องยาชิโระซัง และคำสั่งนั้นคือให้ดิฉันปกป้องคุณจากการโจมตีของเหล่าเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ดังนั้น กรุณาดูแลดิฉันเช่นกันต่อจากนี้ด้วยค่ะ ]

 

หลังจากล้วงมือของเธอเข้าไปในชุดยั่วยวนนั้น เบอร์นาเดสดึงม้วนกระดาษออกมาและกล่าวออกมาราวกับเธออ่านคำพิพากษา

 

[ เอ๋? อะไรอีกเนี้ย เรื่องปวดหัวสำหรับผมอีกแล้วสินะ ]

[ กะ-,กรุณาอย่างทำท่ารังเกลียดอย่างชัดเจนแบบนั้นสิคะ ! ]

 

อ่า ขณะที่ผมกำลังทำท่าเหมือนรำคาญสักหน่อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ดูเหมือนว่าการกระทำนี้มันจะเกิดดาเมทมากกว่าที่ผมคิดเอาไว้

 

[ Nadepo! ]

[ จะ -, จู่ๆคุณทำอะไรคะเนี้ย ! ]

[ Nadepo, nadepo! ]

[ นีjมันพิธีกรรมอะไรบางอย่างรึคะ ? ]

 

สำหรับวิธีการที่จะหยุดเบอร์นาเดสที่กำลังร้องไห้(อีกแล้ว) มันคือเทคนิคลับที่เหล่าพระเอกทั้งหลายได้ใช้กัน มันคือ [ลูบหัวคนที่ตกหลุมรักคุณ*nade* และนั้นมันจะทำให้ *po* (เขิลอาย) จนแก้มของพวกเธอกลายเป็นสีแดง ] หรือเรียกสั้นๆก็คือ [Nadepo!]

ถึงแม้การทดลองวิธีที่ว่ามาจนถึงตอนนี้จะยังไม่เคยสำเร็จเลยซักครั้ง แต่ผมก็คิดวิธีอื่นไม่ออกอีกแล้ว ดังนั้นผมจึงของเดิมพันทั้งหมดกับเทคนิคนี้ แล้วผลของมัน . .

 

[ อุว้า! ทรงผมของดิฉันที่กว่าจะเซ็ตได้ ตอนนี้ได้ยุ่งเหยิ่งไปหมดแล้ว! ]

 

เบอร์นาเดส ผู้ที่กำลังปัดป้องมือของผมด้วยท่าบันไซ ซึ่งตัวนี้ทรงผมของเธอดูราวกับสัตว์ประหลาดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ใช่แล้ว ตามปกติ ผมก็ไม่คิดว่ามันจะได้ผลหรอกนะ นอกเสียจากพวกหนุ่มหล่อจะเป็นคนใช้ท่านี้

 

[ คุณหมายความว่าอะไรกันคะ!? ยาชิโระซัง กับการทำให้ทรงผมของหญิงสาวกลายเป็นแบบนี้ ]

 

น้ำตาของเบอร์นาเดสที่ตอนนี้ได้หายไปแล้ว แต่กลับกลายเป็นความโกรธแทน พลางจัดทรงผมของเธอให้กลับมาดั่งเดิม

 

[ แล้ว มันหมายความว่าอย่างไรกันที่เธอจะมาเดินทางร่วมกับผม ? . . . เธอไม่ไปตามหาผู้กล้าแล้วเรอะ? ]

 

ในคำถามสุดท้ายนั้นผมถามออกมาเบาๆ เบอร์นาเดสคือตัวแทนของศาสนจักรที่ถูกส่งมาสังหารผม หรือก็คือผู้กล้า ถ้าหากผมไม่แกล้งถามเธอตั้งแต่ตอนนี้ ใครจะไปรู้ว่าเมื่อไรความลับจะแตก

ไอ้การเที่ยวเล่นไปทั่วกับตัวแทนศาสนจักรที่มีเป้าหมายที่ตัวผม คุณคงจะคิดว่า บ้าไปแล้ว . . . เอาเถอะ เว้นเรื่องอารมณ์ของเบอร์นาเดสเอาไว้ก่อน

 

[ เกี่ยวกับสิ่งนั้น เมื่อดิฉันรายงานเรื่องของยาชิโระซังต่อผู้อาวุโส  ก็นะ มันช่วยไม่ได้ ในเมื่อคุณก็ดูๆอายุใกล้เคียงกับผู้กล้า แถมลักษณะภายนอกกับชื่อก็ดันตรงกันอีก ดิฉันคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่คุณจะตกเป็นเป้าหมายจากเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ดังนั้น ดิฉันจึงขอพักงานชั่วคราวและขอมาดูแลความปลอดภัยให้ยาชิโระซังค่ะ ]

อาจเพราะข้อมูลเหล่านั้นมันตรงกับตัวผม เบอร์นาเดสจึงกล่าวออกมาเสียงอ่อยๆ

ไม่สิ ไม่ เธอควรจะรู้ตัวได้แล้วว่าผมน่ะคือผู้กล้า !! . . .ไม่สิทางศาสนจักรก็เช่นเดียวกัน พวกนั้นยังสติดีอยู่รึปล่าวเนี้ย ?

ขณะที่ผมกำลังกังวลเกี่ยวกับความอยู่รอดของศาสนจักรอุลเคียออร่าอยู่นั้น เบอร์นาเดสก็เก็บแผ่นกระดาษนั้นกลับเข้าไปใต้กระโปรงอีโรติกนั้นและมองมาที่ผมด้วยสายตาแห่งความคาดหวังอะไรซักอย่าง

. .  เบอร์นาเดสดูเหมือนว่าจะต้องการมาร่วมปาร์ตี้ด้วย 

ท่านจะรับเธอเข้าร่วมปาร์ตี้หรือไม่ ?

Yes ←*Pi*

No

Yes

No ←*Pi*

Yes

No ←

Yes ←*Pi*

No

แต๊ด แต แด๊ดด เบอร์นาเดสได้เข้าร่วมปาร์ตี้ของท่าน

 

[ โอ้ว ดิฉันรู้สึกว่าเหมือนดิฉันจะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมปาร์ตี้แฮะ ]

[ และเธอก็จะได้ไปนอนอยู่ในคอกสัตว์ด้วย รับได้รึปล่าว? ]

[ มันไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือคะ! ที่คุณจะปฎิบัติกับดิฉันเหมือนกับคุเคลของคุณ !? ]

อืม ถ้าจะให้ผมพูดความคิดจริงๆของผม ผมกำลังคิดว่าถ้าหากผมท่องเที่ยวไปคนเดียวมันก็เหงาน่าดู และถึงแม้เบอร์นาเดสจะพูกมากและทำตัวน่ารำคาญไปหน่อย แต่ผมก็ไม่ได้เกลียดอะไรนัก

และ ผมคิดว่ามันก็น่าสนุกดีออก

และก็ ผมว่ามันจะยิ่งน่าสงสัยถ้าหากผมปฎิเสธ . . และผมก็คิดเหตุผลที่จะปฎิเสธให้มันฟังดูธรรมชาติไม่ออกด้วย

 

[ งั้นขอผมพูดอย่างเป็นทางการหน่อยนะ กรุณามาร่วมทางกับผมด้วยนะครับ เบอร์นาเดส ]

[ คิคิคิ ! ค่ะ ดิฉันมีความสุขจริงๆที่จะได้เดินทางร่วมกับคุณค่ะ ! ]

 

ยัยนี่ เธอจะตื่นเต้นเกินไปรึปล่าว นั้นถือเป็นเรื่องดีสำหรับเธอรึ ?

เอาเถอะ ไม่มีปัญหาอะไรก็ดีแล้ว

 

[ ถ้างั้น พวกเราออกเดินทางแล้วนะ]

[ อือ รักษาตัวด้วยนะ ยู~ ]

 

ขณะที่ผมกล่าวออกมาพร้อมกับโบกมือเบาๆ อลิเซียก็ผงักหน้าเล็กๆพร้อมกับตอบกลับมา

 

[ ยาชิโระซังคะ . . . แล้วพบกันใหม่ ]

[ โอ้ว ]

 

อะ- เอริยังคงเป็นเด็กผู้หญิงที่สีหน้าของเธอไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเคย

แม้ว่าจะรู้จึกกันมาซักพัก ผมไม่เคยเห็นสีหน้าของเธอเปลี่ยนแปลงไปเลยนอกจากใบหน้าที่ง่วงนอนตลอดเวลา . . . ไม่สิ เหมือนจะมีหยดน้ำตาเล็กๆไหลออกมาอยู่

 

[ ขอบคุณมากๆค่ะ! ]

 

แล้วก็มาน่า เธอก้าวออกมาข้างหน้า เธอโค้งตัวลงและตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเคลือจากการร้องไห้

 

[ ด, ดิ !, ดิชั้นจะต้องกลายเป็นจอมเวทย์ที่ยอดเยี่ยมให้ได้เลยค่ะ . . เป็นนักดาบเวทย์มนตร์เช่นเดียวกับยาชิโระซังค่ะ! ]

[ เหมือนกับผม ? ]

[ ค่ะ ! ]

 

เมื่อผมเผลอถามกลับไปอย่างไม่รู้ตัวเกี่ยวกับสิ่งที่เธอกล่าวออกมาอย่างติดๆขัดๆ มาน่าเธอก็ยืนยันมันออกมาอย่างฉะฉาน

. . .  นี่มัน . . . ถึงแม้มันจะทำให้ผมรู้สึกมีความสุข แต่มันจะน่าอายเกินไปแล้ว ถึงแม้สักกี่ครั้งที่ผมได้ลิ้มรสความรู้สึกแบบนี้ ถึงมันจะไม่ได้แย่อะไร แต่

 

[ หยุด หยุดเถอะ อย่ามาเลียนแบบวิธีการต่อสู้ของผมเลย ถ้าหากเธออยากจะได้ใครเป็นจอมเวทย์แบบอย่าง ผมว่าแบบยัยยูริหัว– แบบเฮนเรียสต้า สไตล์การต่อสู้ของแม่นั้นมันเหมาะสมกับวิธีการต่อสู้ของมาน่า หรืออย่างแย่ที่สุด ก็อย่างเอาผมเป็นแบบอย่างเลย ]

[ ตะ แต่ว่า ! ดิฉัน! ]

[ อ่า~ มันไม่ใช่นะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เธอน่ะแค่กำลังปลื่มจากการเห็นวิธีต่อสู้ของผมกับเฮนเรียสต้า แต่ว่าในตอนนั้น เวทย์มนตร์ที่ผมใช้นั้นมีเพียงแค่ [ ดาบพลังเวทย์ ] เพียงอย่างเดียว และที่เหลือนอกจากนี้ ผมใช้เพียงพลังกายล้วนๆ ]

[ เอ๋ ? ]

 

สีหน้าของมาน่าและเอริแข็งขึ้นเรื่อยๆราวกับเป็นก้อนหิน 

 

[ ? คุณพูดถึงเรื่องอะไรกันคะ ? ]

[ เรื่องมันซับซ้อนน่ะดังนั้นใจเย็นลงก่อน ]

 

เมื่อคิดถึงเวลานั้น ผมล่ะขอบคุณจริงๆที่เบอร์นาเดสไม่ได้อยู่ดูการต่อสู้ของผมกับเฮนเรียสต้า เพราะถ้าหากเธอเห็นผมต่อสู้ตอนนั้น เธอคงคิดออกแน่ว่าผมนั้นคือผู้กล้า . . . ผมคิดผิดรึปล่าวนะที่เผลอคิดว่าผมยังจะต่อรองกับเธอได้อยู่ถ้าหากเธอรู้ความจริง

 

[ นะ , นั้นมันเรื่องจริงหรือคะ ? ตะ , แต่ว่า การต่อสู้นั้น คุณก็ยังใช้ เวทย์มนตร์ขั้นสูง . .  ]

[ เรื่องจริงครับ ยิ่งกว่านั้น ผมน่ะไม่เคยมีพลังเวทย์ในตัว ]

 

เมื่อผมขึ้นไปบนหลังของซิลเบอร์ ที่แบกกระเป๋าของผมอยู่บนหลังของมัน มันก็ร้องออกมาและเริ่มออกเดิน

 

[ เอ, . . . เอ๋อ๋อ๋อ๋อ๋อ๋~~~!!? ]

 

พร้อมกับเสียงร้องของมาน่าที่ด้านหลัง ซิลเบอร์ก็เริ่มออกเดินย่ำเท้าเตาะแตะๆ

 

[ แล้วเจอกันครับ~~~~ ]

 

ขณะที่ผมกำลังขี่ซิลเบอร์พร้อมกับโบกมือ เริ่มห่างออกจากมาน่าที่ยังคงยืนตะลึง และอลิเซียที่กำลังโบกมือ

แล้วพวกเรามาพบกันอีกครั้งนะ ลาก่อนครับ อาจารย์ของผม . . . ล้อเล่นน่ะ

 

[ ยาชิโระซัง กรุณาให้ดิฉันขี่ด้วยสิคะ ]

[ หุบปากซะ ยัยบ้า ]

[ คะ- , คุณกล่าวแบบนั้นกํบดิฉันที่เป็นหญิงสาวได้อย่างไรคะ ! ]

[ ก็ได้แต่ต้องมานั่งข้างหลังผมนะ และต้องเอามือของเธอมากอดที่ท้องของผมและเอาตัวมาแนบติดผมราวกับติดกาว ]

[ คุณมันไอ้โรคจิต!! ตำรวจค๊าา โรคจิตอยู่ตรงนี้ค่าา !! ]

[ ยัยบ๊อง รู้รึปล่าว คนอื่นๆทั่วๆไปต่างเรียกผมว่าสุภาพบุรุษนะ ]

 

ขณะที่ผมกับเบอร์นาเดสกำลังเอะอะโวยวายกันอยู่ ผมและเธอก็ออกเดินทางทิ้งลิสวาเดียไว้เบื้องหลัง

 

—————-

 

「………」

[ ตกใจหรือคะ ? ]

 

เด็กสาวผู้มีเส้นผมสีเงิน อลิเซียถามกับเด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาที่กำลังยืนตะลึง มาน่า

มาน่าทำเพียงพยักหน้าให้กับคำถามของอลิเซีย

ยืนตะลึง . . .ไม่ใช่แค่นั้น ดูเหมือนเธอยังจะรู้สึกท้อแท้อีกด้วย

มันไม่ใช่ที่เธอท้อแท้นั้นเพราะยู อาจเพราะ เธอรู้แล้วว่าเธอนั้นไม่อาจเป็นแบบยูได้ เธอจึงท้อแท้ในความสามารถของตนเอง

 

[ . . . ดิชั้นคิดว่าสิ่งที่ยูพยายามจะบอกกับเธอนั้นคือ “อย่าพยายามเลียนแบบใครสักคน จงกลายเป็นตัวของตัวเองนะ” ]

 

ในขณะที่มาน่ากำลังท้อแท้และเริ่มจะจิตตกลงเรื่อยๆ อลิเซียก็ได้กล่าวออกมาเหมือนกับว่าเธอคุ้นเคยกับคำพูดนี้ดี

 

[ ยะ , อย่าพยายามเลียนแบบคนอื่น หรือคะ ]

[ มันก็ไม่ผิดอะไรนะถ้าหากจะใช้ใครสักคนเป็นแบบอย่าง อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเธอยังพยายามเลียนแบบคนๆนั้นต่ออยู่ เธอก็จะเสียข้อดีในตัวของเธอไป นั้นคือสิ่งที่เขาอยากจะบอกแก่เธอ ]

 

ขณะที่มองไปยัง ชาย 1 ผู้หญิง 1 และ คุเคลที่เริ่มจะทิ้งระยะห่างออกไป อลิเซียกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

 

[ นั้นคือคำพูดของคนๆนั้นหรือคะ ? ]

 

อลิเซียไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงคิดเช่นนั้น อย่างไรก็ มันก็ช่วยไม่ได้ที่มาน่าจะถามออกมา

หลังจากที่อลิเซียกล่าวออกมาสักพัก 

 

[ เจ้าหญิงอลิเซียขอรับบ~! ]

 

เขาคืออาจารย์วัยกลางคนที่กำลังสวมอยู่ในชุดคลุมลิสวาเดีย เขากำลังวิ่งตรงมาที่เธอด้วยใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

 

[ ทะ , ท่านอยู่ . . แฮ่กๆ ท่านอยู่ที่นี่เอง ]

[ โปรเฟสเซอร์ คอนเวล ? เกิดอะไรขึ้นรึคะ ? ]

 

เมื่ออลิเซียถามออกมา ชายคนนั้น ขณะที่สูดหายใจอยู่สักพัก เขาก็เช็ดเหงื่อและกล่าวออกมาเสียงดัง

 

[ เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ นี้มันเรื่องใหญ่สุดๆ มีเด็กผู้หญิงปรากฎออกมาจากภายในซากของดราก้อนซ้อมบี้ ไม่สิ ภายในแกนกลางของมังกร!!! ]

 

—————-

 

อามากิ ไคโตะ เขาได้แต่งงงวย

หลังจากไปตอนรับการมาของ [ แม่มดแห่งกาลเวลา ] และนำเธอมายังซากของมังกรโบราณ ที่ก่อนหน้านี้เขาได้ช่วยทางเมืองเก็บกวาดซากหินอิฐปูนโดยรอบแล้ว

ซากของมังกรโบราณที่ตอนนี้เหลือเพียงแค่กระดูกที่ยังคงอยู่ในตัวเมือง และแกนกลางสีอำพันที่แตกกระจายอยู่โดยรอบพื้นที่ ตอนนั้นเขาพบอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาด มันเป็นชิ้นส่วนขนาดใหญ่กว่าชิ้นอื่นๆ ขณะที่คิดว่ามันแปลกๆ เขาจึงเดินเข้าไปใกล้มัน

 

Soul Desire (ท่าน ผู้เรียกหาวิญญาณข้า)

 

มันมีเสียงดังก้องอยู่ในหัวของเขา และทันใดนั้น แกนกลางของมังกรก็เริ่มหลอมละลาย

เขาตกใจเป็นอย่างมากที่จู่ๆ แกนกลางที่แข็งปานคริสตัล กับหลอมละลายกลายเป็นของเหลว แต่ว่า . . 

ความช๊อคที่ไคโตะได้รับ กับทะลุสูงขึ้นไปอีก

 

[ ด- , เด็กผู้หญิง ? ]

 

ภายในของแกนกลางที่เริ่มหลอมละลาย ปรากฎร่างของเด็กสาวผู้มีเส้นผมสีขี้เถ้า

 

「!」

 

เขาไม่รู้ว่าเธอนั้นหมดสติหรือตายไปแล้วกันแน่ และชิ้นส่วนของแกนกลางที่ห่อหุ้มร่างของเธอไว้นั้นหลอมละลายต่อไปเรื่อยๆจนหมดสิ้น แต่ทว่า เด็กสาวคนนั้นก็ไม่ได้แม้จะพยุงตัวเองเลยที่กำลังจะล้มทั้งยืน

ขณะที่เขายืนมือไปรองรับร่างของเธอ 

มันคือลมหายใจ เขาได้ยินเสียงของลมหายใจ

ทันทีที่เขารับรู้ว่าเธอคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ดวงตาของเธอก็เปิดขึ้นช้าๆ

 

[ เธอ . . .เป็นใครกัน ? ] 

 

ดวงตาอันงดงามสีมรกต ที่ทำให้รู้สึกราวกับถูกดึงดูดเข้าไปภายใน เธอจ้องมองไปยังไคโตะ

ผู้กล้าคนก่อนอยากจะเกษียณ

ผู้กล้าคนก่อนอยากจะเกษียณ

Status: Ongoing
ยู ยาชิโระ” เขาเคยถูกอัญเชิญมายังต่างโลกเมื่อตอนเขาอยู่ม.ต้นปี 2 มันคือโลกที่เต็มไปด้วยดาบและเวทย์มนตร์!! หลังจากได้ต่อสู้เพื่อเหล่าองค์หญิงที่น่ารัก(ผู้อัญเชิญเขามา) แม้จะมีหลายครั้งที่พ่ายแพ้ แต่เขาก็ไม่เคยท้อที่จะลุกขึ้น . . ในที่สุด เขาก็นำพาความสงบกลับมายังโลกใบนี้ 3 ปีหลังจากนั้น จอมมารที่เคยถูกผู้กล้าคนก่อนจัดการได้กลับมาฟื้นคืนชีพและนำพาโลกสู่ความวุ่นวายอีกครั้ง. . ถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องอัญเชิญ 4 ผู้กล้าคนใหม่ !! และเพื่อที่จะนำพาความสงบสุขกลับมายังโลกแห่งนี้ ท่านผู้กล้ารุ่นที่2 “อามากิ ไคโตะ” ได้ชักดาบของเขาขึ้น …….แต่ว่า กลับไม่มีใครรู้เลยว่า เด็กนักเรียนชายม.ปลายผู้ซึ่งไร้พลังเวทย์ในร่างกายคนนั้น คนที่ถูกอัญเชิญมาพร้อมกับ อามากิ ไคโตะและผองเพื่อน เขาคือ ท่านผู้กล้าคนก่อน ผู้ที่เคยปราบจอมมารลง เมื่อ 3 ปีก่อน !

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท