บทที่ 7 – ยินดีต้อนรับสู่เมืองแห่งท้องทะเล
ความเดิมตอนที่แล้ว
มิโยชิ คางาริ เกิดใหม่ในต่างโลกกลายเป็นเทพมังกร แต่ก็โดนผนึกโดยผู้กล้าเอริเนีย รู้สึกตัวอีกทีก็.. อ่าวไหงพอโดนผนึกถึงกลับมาอยู่โลกเดิมได้
ในความจริงคางาริเธอยังไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองไม่ได้ไปต่างโลกแต่หลับมาตลอดหนึ่งหมื่นล้านปี ไม่เพียงเท่านั้นเพราะการกัดเซาะจากความเกลียดชังของจิตวิญญาณแห่งเผ่าพันธุ์
ทำให้กายหยาบดั้งเดิมของมังกรนั้นหายไป ถ้าจะพูดให้ถูกคือนิยามของคำว่ามังกรกลายเป็นแค่เรื่องเหนือธรรมชาติไปจริงๆ แล้วนั่นเอง
แม้มังกรจะไม่ได้มีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์ แต่เพราะผลกระทบจากคำสาปมหาเผ่าพันธุ์เลยทำให้เธอได้รับอิทธิพลจากร่างกายยืนสองข้าแบบมนุษย์ ปีศาจ อสูร มานั่นเอง
ยังดีที่ไม่มีเขางอกหรือหางงอก.. เลยทำให้คางาริเป็นเหมือนคนปกติในยุคนี้ แต่อย่างหนึ่งที่แปลกไปจากเดิมของคางาริคือ
เธอกลายเป็นผู้หญิงไปแล้ว ซึ่งในความจริงก็คือเดิมทีเทพมังกรก็เป็นผู้หญิงอยู่แล้วล่ะนะ เพราะงั้นจึงไม่แปลกเท่าไหร่ที่พอกลายเป็นคนเธอจะมีภาพลักษณ์เหมือนผู้หญิง ผมสีม่วงเข้มไฮไลท์ด้วยสีฟ้าอ่อนผมซ้อนไหนมีสีฟ้าอมชมพูอ่อนๆ
หากจะให้พูดตามตรงผมของเธอมันเหมือนกับผมของตัวการ์ตูนที่หลุดออกมาจากอนิเมะหรือนิยายเลย ผสมผสานกับรูปร่างสูงโปร่ง
หน้าอกไม่เล็กไม่ใหญ่ ทรวดทรงองเอวต่างสวยโป้ะเช้ะแบบทุกระเบียบนิ้ว เรียกได้ว่าเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตที่หลุดออกมาจากสองมิติโดยสิ้นเชิง
แน่นอนว่าทั้งเด็กสาวคาโอรุและชายหนุ่มเคนจิต่างทึ่งในความงดงามของเธอคนนี้อย่างแน่นอน และคาโอรุเธอก็เป็นคนเสนอให้คางาริสวมผ้าคลุมเอาไว้
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นเราจะขอย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นอีกสักหน่อยแล้วกัน หลังจากที่คางาริได้รับเสื้อผ้าจากคาโอรุมา
“ยังไงก็ขอบคุณที่ช่วยเหลือนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
คาโอรุพูดแบบนั้น.. แต่ทั้งสองคนยังเว้นระยะห่างกับคางาริเนื่องจากเหมือนยังกล้าๆ กลัวๆ อยู่ด้วย
คางาริคิดอยู่พักหนึ่ง.. ถึงเธอตะไม่รู้ว่าทำไมเด็กอายุยังไม่ถี่ยี่สิบถึงดำลงมาอยู่ใต้ทะเลลึกจนแม้แต่แสงยังส่องมาไม่ถึงได้
แต่เธอก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนญี่ปุ่นอย่างแน่นอน ในกรณีนี้คนที่น่าสงสัยก็คือเธอนั่นเอง แถมเธอยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับโลกใบนี้เลย
คางาริเองก็ไม่ใช่คนฉลาดอะไรขนาดนั้นแต่เธอก็เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ได้เป็นอย่างดี ก่อนจะตั้งคำถามอะไรเธอต้องวางเซตติ้งตัวเองก่อน
“ฉันมีชื่อว่า คางา—”
แต่ก่อนที่ทันจะได้พูดชื่อจบนั้นเอง ความปวดหัวก็วิ่งผ่านเข้ามาในหัวของคางาริ และวินาทีเดียวกันนั้นเองโลกทั้งใบก็มืดดับลง
สายตาของคางาริก็เงยหน้าขึ้น บัดนี้ตรงหน้าของเธอมีเงาขนาดมหึมาของมังกรสีม่วงทมิฬยืนจ้องมาที่เธออยู่
ปากของมังกรเปิดขึ้น..
“ฉันมีชื่อว่า มิว”
เสียงของมังกรดังสะท้อนในหัวของคางาริ.. ไม่สิ ของมิว เธอลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าปากของเธอแนะนำตัวไปแบบนั้นซะแล้ว
ดวงตาของมิวแสดงความสับสนเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเธอก็พยายามดึงสติกลับมาแนะนำตัวต่อว่า
“นอกจากเรื่องของชื่อฉัน เหมือนฉันจะสูญเสียความทรงจำทั้งหมดไปเลยน่ะ ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”
แน่นอนว่านี่คือสิ่งเดียวที่พอจะทำให้สถานการณ์ของมิวดีขึ้นกว่าก่อนหน้า ถึงแม้จะยังดูน่าสงสัยก็ตามที แต่ข้อมูลที่เธอมีตอนนี้มีจำกัด
ความเข้าใจต่อสถานการณ์คือศูนย์ ต่อให้เป็นทางที่น่าสงสัย แต่ขอแค่น่าสงสัยน้อยกว่าตัวตนลึกลับก็ยังดี
นั่นคือความคิดของมิว.. หลังจากได้ยินมิวแนะนำตัวคาโอรุและเคนจิก็มองหน้ากัน.. หลังจากลังเลสักพักก็
“ผมมีชื่อว่า นารุเดะ เคนจิ”
“ส่วนฉันมีชื่อว่า นางาตะ คาโอรุ”
“พวกเราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กน่ะ”
เมื่อสองคนนี้ตอบกลับมา มิวถึงได้ถอนหายใจอย่างน้อยเด็กสองคนนี้ก็ไม่ใช่เด็กช่างสงสัย ถึงจะเห็นแบบนี้ประสบการณ์ใช้ชีวิตของมิวก็ยังมากกว่าเด็กแบบนี้
แน่นอนว่าแม้จะมีเรื่องสงสัยอยู่มากมาย มิวเองก็ไม่ได้ถามออกไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำไมเด็กถึงมีเรือดำน้ำ
แต่หากถามออกไปมันจะเหมือนกับว่าเธอไม่เสียความทรงจำกว่าเดิม ดังนั้นมิวจึงขอคำอธิบายแบบกว้างๆ ว่า..
ตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
มิวแรกเริ่มก็ไม่ใช่คนเข้าหายาก ดังนั้นสำหรับเด็กสองคนมิวจึงสามารถสนิทและทำให้พวกเธอไม่ระวังตัวได้อย่างรวดเร็ว
และพวกเธอก็อธิบายทุกอย่างให้ฟังอย่างดีพร้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโลกในปัจจุบันเปลี่ยนไปอย่างไรมีอะไรกำเนิดขึ้นมาบ้าง
แน่นอนว่าทุกอย่างที่ว่ามานี้มันทำให้มิวตกใจทุกอย่าง ไม่ว่าจะโลกที่มีดวงจันทร์สองดวง และกระบองลอยฟ้าหนึ่งกระบอง
หรือหอคอยทั้ง 6 ที่อยู่บนผิวโลก.. แม้แต่บอร์เดอร์ที่สุ่มปรากฏขึ้นต้องเคลียร์ก่อนที่จะระเบิด.. แถมในบางครั้งยังมีการที่คนจากฝั่งนั้นบุกมาทางฝั่งนี้ก่อน
เอาเข้าจริงมีความแฟนตาซี ไซไฟครบสูตรสำเร็จแนวมังงะยอดฮิตจากเกาหลี ญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้.. ซึ่งไม่ใช่แค่นั้นหรอก
“จริงๆ แล้วประตูบอร์เดอร์น่ะมันมีเซตติ้งของมันอยู่นะ พี่รู้หรือเปล่า?”
เคนจิ.. เขาคือคนที่ชอบนิยายแนวต่างโลกมากและประตูบอร์เดอร์ก็เหมือนประตูสู่ต่างโลกดีๆ นี่เอง
“หมายความว่าไง?”
ถึงจู่ๆ จะโดนเรียกพี่มิวก็รู้สึกแปลกๆ แต่พอผ่านไปสักพักก็ชินแล้ว
“คือว่านะ เหมือนว่าประตูบอร์เดอร์จะเปลี่ยน ‘ธีม’ ตามสถานที่ที่มันปรากฏด้วยล่ะ”
มิวทำสีหน้าสงสัยยิ่งกว่าเดิม เคนจิจึงอธิบาย
“อย่างที่คาโอรุบอกใช่ไหมว่าหลังบอร์เดอร์คือโลกอีกใบที่อาจจะเป็นโลกอนาคต หรือโลกแฟนตาซีได้หมด”
“แต่มันไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะพี่ ประตูบอร์เดอร์ส่วนใหญ่จะปรากฏขึ้นตามธีมของสถานที่ที่มันอยู่ อย่าง.. บอร์เดอร์ที่ประเทศจีนเนี่ย พี่รู้ไหมว่าโลกแบบไหนปรากฏขึ้นเยอะที่สุด”
“คำตอบคือโลกของ ‘จอมยุทธ์’ ไงล่ะ”
“อย่างของญี่ปุ่นก็จะเป็นโลกของ ‘นินจา’ อะไรทำนองนั้น เหมือนกับว่าธีมของประตูน่ะจะเปลี่ยนแปลงไปตามวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ ด้วย”
เมื่อได้ฟังเรื่องราวดังกล่าว มิวถึงกับขมวดคิ้ว
“เดี๋ยวนะ.. งั้นหมายความว่าโลกในตอนนี้มีผู้ใช้อารยธรรมที่เป็นแบบ จอมยุทธ์ หรือ นินจาอยู่จริง?”
“ปิ้งป้อง!! คำตอบคือใช่.. แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคืออะไรพี่รู้ไหม?”
“หมายถึง?”
“ว่ากันว่า.. ถ้ามองในอีกมุมคือเราสามารถมีสาว ‘หูแมว’ ได้เหมือนกันหรือเปล่าถ้าเราไปมี ‘ลูก’ กับกึ่งมนุษย์ในอีกโลก หมายความว่าเราจะมีสาวหูสัตว์ในโลกจริงเลยน— แอ่ก!”
แต่ก่อนที่ทันจะได้พูดจบกำปั้นของคาโอรุก็ทุบลงหัวเคนจิอย่างรุนแรง
“นี่แกบ้าเรอะ พูดเรื่องรสนิยมให้ผู้หญิงที่พึ่งรู้จักฟังเนี่ย”
มิวได้แต่หัวเราะแห้งๆ ตบมุกในใจว่าถึงข้างในเธอไม่ใช่ผู้หญิงหรอกและก็แอบเข้าใจรสนิยมของเด็กหนุ่มอยู่นิดหน่อยด้วย
“สรุปก็คือ.. เพราะแบบนั้นโลกนี้ถึงได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงในระยะเวลาเพียงเกือบสิบปีงั้นสินะ”
“ใช่ค่ะ นอกจากนี้…”
“นอกจากนี้เหรอ?”
“ยังมีเมืองที่ตั้งอยู่ล้อมรอบหอคอยทั้ง 6 ด้วยค่ะ.. และนี่เองก็คือหนึ่งในเมืองแห่งหอคอย.. หอคอยแห่งทะเลเหนือแปซิฟิก เมืองแห่งท้องทะเล”
และวินาทีนั้นเองวิวตระการตาก็โผล่ให้มิวเห็น จากการทำให้เรือดำน้ำโผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา เมืองแห่งนี้ถูกก่อสร้างด้วยโครงสร้างปริศนา
แต่ทั้งตึกราวบ้านช่องล้วนทำจากอุปกรณ์ชนิดพิเศษที่มีสีขาวสะอาดตา บนหัวเหมือนมีหลังคาโปร่งใสคลุมทั้งเมืองเอาไว้อยู่
ใจกลางของเมืองคือหอคอยสูงตระหง่านเสียดฟ้า…
ในที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน วัด สถานที่ต่างๆ เต็มไปหมด ทั้งยังรวบรวมวัฒนธรรมทั่วโลกเอาไว้เพื่อตอบสนองกับคนหลายเชื้อชาติเข้ามาเพื่อไต่หอคอย
หรือจะเรียกอีกอย่างว่า เมืองแห่งอนาคต ก็ได้
“ยินดีต้อนรับสู่เมืองแห่งท้องทะเลค่ะพี่!”