บทที่ 8 – ประจันหน้า
“ว่าแต่องค์หญิงไร้เสียงเหรอ ไอ้ชื่อเรียกสุดเห่ยแบบนั้นมันอะไรกันล่ะนั่น”
กลับมาที่ปัจจุบันสายตาของมิวมองตามหลังหญิงสาวหน้าคุ้นตาแต่สีผมไม่คุ้นเคยนั้นจากไปอย่างเงียบๆ
“อ้ะ คือว่า.. มันเป็น ‘เนม’ น่ะ”
พอเห็นมิวพูดด้วยเสียงติดตลก คาโอรุกับเคนจิก็ถึงกับสะดุ้งรีบพูดอธิบายทันที แน่นอนว่า ‘เนม’ มันก็แค่คำว่าชื่อในภาษาอังกฤษอยู่ดีก็เถอะ
แต่ถึงแบบนั้นในฐานะที่อ่านนิยายมาเยอะ ไอ้การแสดงออกของสองคนที่เหมือนเป็นแฟล็ก แล้วก็ท่าทางที่เหมือนบอกว่า ‘ชื่อ’ คือ ‘เนม’
ต่อให้มิวไม่รู้เรื่องโลกนี้เธอก็ยังเลือกที่จะถามก่อนอยู่ดีว่า
“เอ่อ.. หมายความว่าไง?”
“คือแบบนี้ครับคุณพี่.. ผู้ใช้อารยธรรมทุกคนจะต้องมี ‘เนม’ น่ะ.. ถึงแม้เนมจะไม่ใช่สิ่งที่เรียกกันแบบปกติแต่ในกรณีของชื่อเสียงคนเขาจะแทนคนอื่นด้วยเนมแทนที่จะเป็นชื่อจริงน่ะ”
“อืม..?”
มิวเหมือนยังไม่ค่อยเข้าใจที่เคนจิสื่อ คาโอรุเลยอธิบายเสริม
“คือว่า ‘เนม’ มันเป็นสัญลักษณ์บางอย่างที่สะท้อน ‘ตัวตน’ กับ ‘อารยธรรม’ ผู้ใช้น่ะ การที่ตลกกับเนมคนอื่นมันเลยเป็นเรื่องที่ไม่ดีมากๆ เลยล่ะพี่ เหมือนกับการที่พี่ดูถูกทั้งชีวิตของเขาเลย”
“เอ้ะ..?”
“ใช่แล้วพี่ ‘เนม’ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติด้วยนะ ประมาณว่าขอแค่พี่เป็นผู้ใช้อารยธรรมคนอื่นก็จะรู้เลยว่าต้องเรียกพี่ว่าอะไร ‘เนม’ พี่คืออะไร”
“แฟนตาซีสุดๆ!”
มิวถึงกับผงะ ขนาดตอนไปโลกแฟนตาซีความแฟนตาซียังไม่เท่าโลกในตอนนี้เลยแฮะ พอเห็นมิวผงะทั้งสองคนก็ยังอธิบายต่อว่า
“นอกจากนี้ ‘เนม’ เองก็มีระดับด้วยนะพี่ ฉันเองก็ไม่แน่ใจแต่เห็นว่าคนที่มีเนมที่ขึ้นต้นด้วย ‘องค์หญิง’ บนโลกนี้มีไม่ถึงร้อยคนด้วยซ้ำมั้งในตอนนี้”
“งั้นแสดงว่าคนเมื่อกี้เก่งสุดๆ จริงๆ สินะ”
“ค่ะ.. ฉันจะเล่าข่าวลือให้ฟังพี่ เห็นว่าเธอคนนั้นน่ะ—”
แต่ก่อนที่คาโอรุทันจะได้เล่านั้นเอง เคนจิที่อยู่ข้างๆ ก็สะกิดคาโอรุ.. แถมการสะกิดมันเร็วขึ้นจนขัดคำพูดของคาโอรุ
แน่นอนว่าทางฝั่งมิวเองก็ตั้งใจฟังเลยไม่ได้โฟกัสอย่างอื่น.. ว่าในตอนนี้เองผู้หญิงผมสีขาว เรนะ กลับมายืนอยู่ต่อหน้าพวกเธอสามคน
คาโอรุที่กำลังจะวีนใส่เคนจิที่ขัดขวางการเล่าสนุกปาก ทว่าพอเห็นเรนะเดินเข้ามาเธอถึงกับสะดุ้งถอยหลังหลายก้าว
ในจังหวะนี้มิวเองก็สัมผัสได้เช่นกัน.. เธอหันกลับไปก็ประจันหน้ากับเรนะอย่างจริงจังเสียแล้ว…
“เธอ…”
มิวเผลอพูด ‘เธอ’ ออกไปเพราะความตกใจ ก่อนจะหันไปหาคาโอรุกับเคนจิที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอ
“นี่มันหมายความว่าไง!!!”
มิวใช้เสียงเบากรีดร้องไปทางทั้งสองคน สองคนนั้นเองก็ทำหน้าลำบากใจเล็กน้อยพร้อมกับพูดตอบ
“เอ่อ.. คือว่าเจ้าของ ‘เนม’ เขาสามารถรับรู้ได้ตลอดน่ะว่าใครพูดถึงตัวเอง แต่ตามปกติแล้วเธอไม่ควรจะเปิดกานรับรู้ตรงส่วนนี้ไว้เพราะว่ายิ่งดังเท่าไหร่คนยิ่งซุบซิบนินทาเยอะนี่น่า..”
มิวที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับหน้าเปลี่ยนสี อะไรกัน ไอ้แนวคิดที่ดูเหมือนว่าใครนินทาฉันเอ็งตายแบบนั้น จะโหดไปไหมเฮ้ย
อย่างไรก็ตามการก้าวขาเข้ามาทางนี้ของ ‘องค์หญิงไร้เสียง’ เรนะ นั้นดึงดูดสายตาคนมากมายอยู่พอสมควร
เรนะไม่ได้พูดอะไร แต่เธอยกมือขึ้นพร้อมกับจับผ้าคลุมของมิวเอาไว้ แน่นอนสัญชาตญาณของมิวบอกว่านี่มันไม่ดีแน่
เธอพยายามก้าวถอยหลัง แต่ทว่าเรนะกลับจับผ้าคลุมแล้วดึงออกได้ว่องไวยิ่งกว่า ส่งผลให้ผมสีม่วงของมิวสยายออก
ดวงตาสีแดงสว่างของเธอสาดประกายออกจากใต้ผ้าคลุม ผมสีม่วงยาวนั้นแทบจะดึงดูดทุกสายตาให้หยุดนิ่งภายใต้มนต์สะกด
แม้แต่เรนะที่เห็นรูปลักษณ์ภายใต้ผ้าคลุมนั้นเธอยังประหลาดใจ.. ใช่แล้วแม้ทั้งคาโอรุและเคนจิต่างไม่ได้แสดงออกอะไรมากมายนัก
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความงดงามของมิวในตอนนี้มันมากเกินไป มากเกินกว่าที่จะมีอยู่ได้ ราวกับตัวการ์ตูนที่หลุดมาในโลกความจริง
นั่นอาจจะเป็นนิยามเดียวที่สามารถอธิบายรูปลักษณ์ของเธอได้
“เฮ้ย.. องค์หญิงไร้เสียงหาเรื่องคนอื่นเหรอ เป็นไปได้ด้วยเหรอ”
“ไม่สิ.. ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันทำไมสวยได้ขนาดนี้!”
ภายใต้การสับสนของผู้คนนั้นเอง องค์หญิงไร้เสียงที่ประหลาดใจก็กลับคืนสู่ความสงบ.. อันที่จริงดวงตาของเธอเย็นขึ้นจ้องมองไปที่มิว
“แกเป็นใคร!”
เธอพูดออกมาเช่นนั้น และในวินาทีนั้นเองความรู้สึกอันตรายวิ่งพรวดเข้าไปในสัญชาตญาณของมิวอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้เธอ.. เอียงตัวไปด้านข้าง
ทำให้องค์หญิงไร้เสียงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้อะไรมากเพราะวินาทีถัดมามิวก็รู้สึกเหมือนโดนโจมตีด้วยคลื่นที่มองไม่เห็นอยู่ดี
“ตู้ม!”
เสียงปะทะเกิดขึ้น.. ทุกคนต่างพากันสูดลมหายใจแม้ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ทว่าท่าเมื่อกี้พวกเขารู้ดี
เป็นความสามารถของเธอ ‘ไร้เสียง!’ อารยธรรมที่องค์หญิงคนนี้ได้รับมาไม่ใช่ทั้งเวทมนตร์ หรือสกิล หรือวิทยาการ
แต่เป็น ‘อัตลักษณ์’ ในความเป็นจริงอัตลักษณ์ก็คล้ายกับสกิล.. แต่แตกต่างตรงที่สกิลจะกำหนดตายตัวว่าจะปล่อยอะไรในรูปแบบไหน และมีได้มากกว่าหนึ่ง
ทว่า ‘อัตลักษณ์’ นั้นมีได้เพียงหนึ่งเดียว แต่ทว่ามันกลับครอบคลุมไปเสียทุกอย่างเหมือนกับการที่เรามีหัวใจแค่ดวงเดียว
แต่มันสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างนั่นแหละ!แม้ไม่มีคนทราบว่าคุณสมบัติที่แท้จริงของอัตลักษณ์ ‘ไร้เสียง’ คืออะไร
แต่ว่าทุกคนล้วนรู้ดีว่าความสามารถทางกายภาพที่รุนแรง ‘ไร้เสียง’ แทบจะทำได้ทุกแบบ! พลังของมันเพียงพอที่จะบดขยี้ทุกอย่างที่ขวางหน้า!
“แค่กๆ.. นี่มันอะไรเนี่ย”
ในกรณีที่นั่นเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่มิวละนะ หลังจากฝุ่นควันตลบเพราะแรงกระแทกหายไปจนหมด ก็พบว่ามิวที่รับการโจมตีของอีกฝ่ายไปเต็มๆ ไม่เป็นอะไรเลย
ไม่สิ.. เพราะมันไร้เสียง มิวเลยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองถูกโจมตีไปเมื่อครู่นี้!อัตลักษณ์นิรันดร์ของเทพมังกรเธอนั่นเอง
เรนะที่เห็นภาพตรงหน้ายังตกใจอย่างมาก
“แล้วก็นะ ก่อนจะถามชื่อคนอื่นต้องบอกชื่อตัวเองก่อนไม่ใช่เหรอ เอาเถอะ ฉันชื่อมิว แล้วก็คำว่า ‘แก’ นั่นมันหยาบคายมากเลยนะ”
พอมิวตอบกลับออกไปแบบนั้น ดวงตาของเรนะกลับไม่ได้อ่อนลง อันที่จริงมันกลับกันความเดือดดาลของเธอเพิ่มสูงจนเหมือนทะลุขีดจำกัดมากกว่า
“ไอ้สัตว์ประหลาด.. แก—”
แต่ก่อนที่เธอจะทันได้พูดต่อ เสียงของเธอก็ขาดกะทันหันไม่ได้มีคนพูดขัดด้วย.. ดวงตาของเธอหดเกร็งลงแล้วก็หันหลังให้กับมิว
โดยไม่พูดอะไรอีกเธอก็จากไปแทบทันที ทิ้งให้ทุกคนในที่แห่งนี้งงเป็นไก่ตาแตก แม้แต่มิวเองก็เหมือนกัน
ในขณะที่มิวกำลังสับสนอยู่นั้นเธอก็ก้มลงมองแขนตัวเองก็ถึงกับงงทันที.. รอบแขนของเธอจุดที่โดนโจมตีเมื่อกี้
เหมือนจะมีชั้นอากาศที่บิดโค้งทำให้เหมือนเป็นกำแพงอยู่.. แต่มันก็ค่อยๆ สลายหายไปอย่างช้าๆ
“…?”
“พี่รู้จักกับองค์หญิงไร้เสียงด้วยเหรอ ทำไมถึงโดนเธอเล่นงานล่ะ?”
คาโอรุวิ่งมาถามด้วยความสับสน
“จะเป็นงั้นได้ไง ฉันบอกว่าฉันความจำเสื่อมไม่ใช่เหรอ อีกอย่าง..”
“อีกอย่าง…?”
“เปล่าหรอก!”
มิวส่ายหน้า ตอนแรกถึงเธอจะไม่คิดว่าใช่เพราะผมอีกฝ่ายเป็นสีขาว แถมโลกนี้ถึงจะเริ่มเปลี่ยนไปตอนปี 2025 ซึ่งเป็นปีที่เธอตาย
แต่ก็ยังไม่มีอะไรมาคอนเฟิร์มว่ามันเป็นโลกเดิม..
แถมอีกฝ่ายก็นิสัยแย่มากๆ.. อย่างน้อยก็เท่าที่มิวเห็นตอนนี้
ไม่มีทางที่ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นเรนะนั้นไปได้หรอก
เรนะ.. แฟนของเธอน่ะ
……….