บทที่ 16 – หอคอยชั้นที่ 1
ณ สถานที่แห่งหนึ่ง.. แต่ถ้าจะให้พูดนี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่มิวจะปรากฏขึ้นที่เมืองแห่งท้องทะเลด้วยซ้ำ
ถึงจะบอกว่าสถานที่แห่งหนึ่ง มันก็เป็นเพียงกลางทะเลที่มองไปทางไหนก็มีแต่ท้องทะเลนั่นแหละนะ
บนท้องฟ้ามีร่างร่างหนึ่งพุ่งดิ่งลงมาอย่างผิวน้ำอย่างรวดเร็วแต่กลับไร้ซึ่งเสียงใดๆ เท้าของร่างนั้นเหยียบลงผิวน้ำ..
ก่อนที่จะดีดตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง แม้เธอจะไม่มีพลังในการยืนบนผิวน้ำ แต่เพราะความเร็วของเธอทำให้เธอเคลื่อนที่ราวกับวิ่งบนผิวน้ำ
ทว่าในวินาต่อมานั้น แสงสีขาวก็วาบผ่านไปด้านหน้าเธอทำให้เธอตกใจพร้อมกับดีดตัวกลับหลังแต่มันก็ช้าเกินไป
เพราะตามมาด้วยเสียงระเบิดกระแทกที่ซัดเอาเธอกระเด็นถอยหลัง พร้อมกับเกิดคลื่นทะเลกระเพื่อมไปทั่ว
คนลึกลับขมวดคิ้วมองไปยังทิศทางที่มีแรงระเบิดต่อหน้า
“ชิ.. ตามมาทันแล้วเหรอ พวกนายนี่มันน่ารำคาญจริงๆ เลยนะ”
“…..”
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบกลับเสียงของหญิงสาว.. เธอเป็นเด็กผู้หญิงผมสีฟ้ายาวจนถึงกลางหลังรูปร่างของเธอค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่
น่าจะอายุเกิน 20 ไปแล้ว อย่างไรก็ตามชุดที่เธอสวมใส่ค่อนข้างจะดูแปลกประหลาดสำหรับโลกในยุคนี้อย่างเห็นได้ชัด
เพราะมันค่อนข้างที่จะล้ำสมัยเกินไป
ส่วนตรงข้ามกับเธอมีคนอยู่ราวๆ สามคนพวกเขามีรูปร่างคล้ายมนุษย์ก็จริงแต่เหมือนกับว่าไม่ใช่มนุษย์จริงๆ
แต่ก็มีคนหนึ่งที่ดูเป็นมนุษย์อยู่ แต่เขาเองก็ไม่เปิดปากราวกับหุ่นยนต์ทั้งสามคนนี้จึงดูเหมือนกันหมดนั่นเอง
“นี่พวกนายไม่รู้เหรอ ว่าเลดี้เขาไม่ค่อยชอบผู้ชายตามตื้อเท่าไหร่หรอก..นะ!!”
เมื่อสิ้นสุดคำพูดของตนเองเธอก็ก้าวขาไปข้างหน้า ในตอนนั้นเองชุดอันแปลกประหลาดของเธอก็สั่นไหวทันที
“…ชุดนั่น…”
ชายคนที่เหมือนจะเป็นมนุษย์ก็พึมพำขึ้น
“นี่ถึงขั้นขโมยชุดนาโนแมชชีนออกมาเลยงั้นสินะ.. เรื่องคงไม่จบแค่ถูกขังแล้วนะ”
“ขืนวิทยาการนั้นร่วงลงบนโลกนี้ละก็…”
อย่างไรก็ตามหญิงสาวไม่ได้สนใจที่จะฟังเลยด้วยซ้ำ ชุดของเธอเหมือนเกิดการแปรเปลี่ยนอย่างไม่คาดฝันขึ้นและในพริบตาต่อมานั้นเอง
ร่างของหญิงสาวก็แยกออกเป็นสองร่าง.. ไม่ใช่แค่นั้นมันยังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและพริบตาเดียวก็ถูกเพิ่มขึ้นจนเต็มไปหมด
มีมากกว่าร้อย.. ไม่สิ มากกว่าพันด้วยซ้ำ..
“…..”
ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน.. การแยกร่างนี้ไม่ใช่การแยกร่างจริงๆ เป็นเพียงการสร้างสนามพลังขนาดใหญ่ขึ้นมาแล้วใช้คุณสมบัติของชุด
นั่นก็คือคุณสมบัติเชิงควอนตัมสร้างความไม่แน่นอนขึ้นมาในสนามพลังดังกล่าว ทำให้ความแน่นอนของตัวตนตนเองแยกออกเป็นหลายส่วนนั่นเอง
ทว่าท่านี้ก็ยังไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่บอกสนามพลังนี้จะสร้างความไม่แน่นอนของตัวตนผู้ใช้อยู่
ซึ่งนั่นหมายความว่าผู้ใช้จะเป็นใครในที่แห่งนี้ก็ได้.. กล่าวคือตัวตนพวกเขาจะถูกแยกออกพร้อมๆ กันหรือก็คือทุกคนในที่นี้คือตัวจริง
เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นท่าที่ไร้ค่าแบบนั้นชุดนี้จะจำกัดกรอบความแน่นอนของร่างหลักให้มากกว่าร่างอื่นเพื่อทำให้รู้ว่าร่างนี้คือร่างจริง
กล่าวคือ.. ขอแค่รับรู้ว่าใครเป็นผู้สังเกตหลักหรือความแน่นอนที่สูงกว่าทุกร่างในนี้แม้นิดหน่อยนั่นแหละคือร่างจริง
อย่างไรก็ตามเมื่อชายหนุ่มคนนั้นพยายามสแกนหา… มันก็สายเกินไปแล้วเพราะวินาทีต่อมาสนามพลังก็สลายหายไป
พร้อมกับร่างของหญิงสาวที่สลายหายไปโดยสิ้นเชิงนั่นเอง…
“เคลื่อนย้ายอนุภาคงั้นเหรอ.. ใช้ท่าแบบนั้นในสนามพลังความไม่แน่นอนเนี่ยยังสติดีอยู่หรือเปล่าคนคนนั้น”
“เฮ้อ ขอกำลังเสริมด่วน.. คาดว่านางคงไปไม่ได้ไกลมากนักเนื่องจากสนามพลังความไม่แน่นอน ทำให้การเคลื่อนย้ายอนุภาคเป็นแบบสุ่ม”
“เฮ้อ ขออย่าให้เจอกับมนุษย์บนโลกเลยเถอะ”
….
…
..
กลับมาที่ปัจจุบัน
ในการเข้าไปในหอคอยนั้นค่อนข้างไม่ซับซ้อนเนื่องจากประตูของหอคอยค่อนข้างเปิดกว้างใครก็สามารถเข้าไปได้แม้แต่คนธรรมดา
ถ้าอยากตายอะนะ และเพราะว่าใครก็สามารถเข้าได้นั่นแหละทางเข้าเลยเต็มไปด้วยผู้คนมากมายส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวน่ารำคาญออกมา
มิวยื่นมือไปหาเอริเนียโดยไม่ได้พูดอะไร ซึ่งเอริเนียได้แต่เหงยหน้ามองมิวด้วยสีหน้าสับสนเพราะไม่เข้าใจการกระทำของนิว
พอนิวเห็นอีกฝ่ายยังงงๆ อยู่เลยพูดขึ้น
“คนเยอะขนาดนี้เดี๋ยวมันจะพลัดหลงกัน จับมือฉันสิ”
พอมองพูดออกมาแบบนั้นเอริเนียก็เหมือนจะประหลาดใจอะไรก็ไม่รู้ เธอยืนอึ้งไปทั้งแบบนั้นทำให้คนที่ยื่นมือไปจับมือของเอริเนียก็คือตัวมิว
ทั้งคู่เดินรอดผ่านฝูงชนจนเข้ามาถึงประตูบานใหญ่ที่ขนาดสูงเกือบห้าเมตร กว้างหลายสิบเมตร ด้านในประตูไม่ได้มีทิวทัศน์อะไร
แต่เป็นพื้นที่สีขาวที่ไม่สว่างจ้า ซึ่งดูแปลกตาอย่างมาก นี่ก็เป็นครั้งแรกของทั้งสองที่เห็นแสงประหลาดนี้ทำให้พวกเธอแปลกใจมาก
อย่างไรก็ตามหลังจากลังเลเล็กน้อยพวกเธอก็ก้าวขาเข้าไปในประตูดังกล่าวทันที พอก้าวเข้าไปเท่านั้นแหละความรู้สึกแปลกใหม่อย่างคาดไม่ถึงปรากฏขึ้น
เหมือนกับว่าร่างกายถูกจับแยกออกเป็นส่วนๆ แล้วประกอบร่างขึ้นใหม่ เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งโลกใบใหม่ก็ถูกสร้างขึ้นตรงหน้า
หอคอยชั้นที่ 1 โลกใต้ดิน.. ตามคำอธิบายของฉันนี้คือเมื่อโลกทั้งใบถูกคุกคามด้วยสิ่งมีชีวิตจากต่างมิติปริศนา
พวกมันมีทั้งความโหดร้ายและพิษร้ายระยะเวลาเพียงไม่นานพวกมันก็ยึดครองโลกไปจนหมด ทำให้สิ่งมีชีวิตอพยพหลบลงมายังโลกใต้ดิน
สิ่งที่ผู้เข้ามาต้องทำก็เพียงแค่การ ‘จัดการกับศัตรูที่เข้ามาทั้งหมดในชั้นนี้ก็เท่านั้น’ แน่นอนว่าอย่างที่เคยบอกไป
ในหอคอยนั้นทุกชีวิตล้วนเป็นศัตรูกับผู้ที่มาจากด้านนอกหอคอย.. กล่าวคือต้องฆ่าทุกคนที่ขวางทางน่ะนะ ไม่ว่าจะมนุษย์หรือปีศาจ
แน่นอนว่าเพราะเป็นใต้ดินจึงมีทางเดินเหมือนถ้ำ.. มันควรจะเป็นแบบนั้น แต่ทว่าเบื้องหน้าของคนทั้งสองคือเมืองขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้ดิน
นั่นสินะ หากให้เปรียบเทียบเหมือนที่มีในหนังหรือในเกม ในการ์ตูนมันคงคล้ายกับเมืองของคนแคระ.. บ้านถูกปั้นขึ้นจากดินเหนียวเป็นรูปเป็นร่างที่อลังการจนน่าประหลาดใจ
แต่น่าเสียดายที่เมืองแห่งนี้เหมือนถูกทำลายไปมากกว่าครึ่ง แถมทั้งเมืองก็ยังเงียบมากอีกด้วย แน่นอนส่าเมืองนี้มันใหญ่มาก เผลอๆ ใหญ่เสียยิ่งกว่าเมืองแห่งท้องทะเลด้วยซ้ำ เพราะนี่คือเมืองที่เคยรวบรวมผู้รอดชีวิตจากพื้นดินนั่นเอง
‘แต่เพราะภัยพิบัติบางอย่าง’ ทำให้เมืองนี้ถูกทำลายไปด้วยเช่นกัน…
“แต่ว่ามันน่าแปลกนิดหน่อยนะ?”
มิวพึมพำกับตัวเอง
“ถ้าต้องกำจัดทุกอย่างที่เข้ามาขวางทางตัวเองจริงๆ ทำไมมันต้องมีเนื้อเรื่องแบบนี้มาอธิบายด้วย.. หรือมันมีความเกี่ยวข้องอะไรกับชั้นด้านบนเหรอ?”
มิวเดินไปตามเมืองพร้อมเอริเนียสองคนพยายามตีความบทบาทของฉันนี้ เท่าที่เธออ่านเรื่องราวเกี่ยวกับหอคอยมา
สิ่งที่เธอคาดเดาได้มันเหมือนกับว่าหอคอยคือโลกอีกใบที่มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง.. นั่นหมายความว่ามันก็ต้องมีเหตุผลรองรับด้วยหรือเปล่า?
ไม่ใช่ว่าบางทีแล้วการที่หอคอยมีเรื่องราวมาอธิบายนั้น.. มันต้องการจะสื่ออะไรเหรอ?
แน่นอนว่ามิวไม่ใช่คนแรกที่คิดแบบนี้ แต่คนที่คิดแบบนี้ส่วนใหญ่ก็เพราะคิดแบบนี้จนถูกคนในหอคอยฆ่าตาย พวกเขาจึงไม่มีเวลามาคิดเรื่องยิบย่อยแบบนั้น
“….”
ในตอนนั้นเองเอริเนียที่ยืนอยู่ด้านข้างมิวก็ดึงมือมิวเพื่อเรียกสติ แล้วชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่งเข้า ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่มีเสียงกรีดร้องปริศนาดังขึ้น
“กรี๊ดดดดด!”
สายตาของมิวหันไปยังทิศทางเดียวกัน ห่างออกไปประมาณห้าร้อยเมตรเห็นจะได้มีคนอยู่ประมาณสามคนที่ล้อมคนคนหนึ่งอยู่
แถมในมือของคนสามคนถือดาบพร้อมกับโจมตีใส่คนที่ยืนอยู่คนเดียวอย่างโหดเหี้ยม แน่นอนว่าเพียงแว้บเดียวมิวก็รู้ว่านั่นเป็นผู้ใช้อารยธรรม
เธอจึงก้าวขาไปข้างหน้าและวินาทีนั้นเอง ร่างของเธอก็บินไปข้างหน้าด้วยความไวที่ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งพอรู้ตัวอีกที
เธอก็พบว่าตนเองมายืนอยู่ตรงหน้ากลุ่มคนสามคนที่กำลังฟันดาบมาทางเธอ แขนขวาของเธอยกขึ้นพร้อมกับใช้หลังมือปัดดาบออกด้านข้าง
แต่เพราะแรงของเธอมันมากเกินไปดาบที่ควรถูกเบี่ยงออกนิดหน่อยกลับถูกเบี่ยงไปอีกด้านส่งผลให้มันตัดโดนขาเพื่อนอีกคนของพวกมันเอง
และเมื่อถูกอย่างสิ้นสุดลงต้องบอกว่าสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาทีเลยก็ว่าได้
“อ้ากกกก”
เลือดสีแดงฉานของศัตรูสาดกระจายใส่ใบหน้าของมิวแต่ทว่ากลับถูกม่านพลังลึกลับกันเอาไว้ก่อนจะถึงตัวเธอ..
พร้อมกับใบหน้าที่…
“เอ้ะ..?”
งุนงงของตัวมิวเอง
เพราะเธอก็ตามศักยภาพร่างกายหรือการตอบสนองตัวเองไม่ทันเหมือนกัน..
……..