บทที่ 30 – ปริศนาของอัตลักษณ์
กลับมาที่เรื่องเดิม.. แน่นอนว่าดาบมารกรีมัวร์นับเป็นดาบที่ยังไม่ได้แข็งแกร่งเทียบเท่ากับดาบที่กลายเป็นคำสาปที่ยิ่งใหญ่
อันที่จริงมันตรงกันข้ามเลย ในตอนเป็นดาบมารกรีมัวร์มันกลับไร้ค่าซะจนแทบทำอะไรไม่ได้นอกจากที่ตัวดาบไม่สามารถทำลาย
ไม่ว่าจะคมดาบที่ตัดหินยังไม่ขาดหรือแม่แต่ความรุนแรง… ทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ต่ำที่สุดในฐานะดาบ เอาเข้าจริงถ้าได้ดาบเล่มนี้มา
ตอนที่ยังไม่เปลี่ยนให้มันเติบโตขึ้นด้วยอารมณ์ด้านลบ แทนที่จะใช้ฟัน คนใช้เอามากันการกระแทกแทนด้วยซ้ำ เนื่องจากความคงทนของมันคือแทบจะไม่มีอะไรในโลกทำลายได้
มิวเองก็เกิดคำถามหนึ่งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า…
“งั้นที่ดาบนี้ไม่ถูกทำลายเหมือนเล่มอื่น แสดงว่าเป็นของจริงงั้นสินะ อันอื่นถูกสร้างเลียนแบบ”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ ถึงจะบอกว่าของเลียนแบบก็มีคุณสมบัติที่สูงส่งเท่าหรือมากกว่าของจริงด้วยซ้ำ ดาบเล่มนี้คงจะเป็นหนึ่งในดาบที่สร้างเลียนแบบ ส่วนของจริงน่าจะถูกทำลายไปแล้ว”
“เอ้ะ.. ไหนบอกว่าไม่มีอะไรในโลก…ทำลายได้..”
“แน่นอนค่ะ ท่านคงไม่คิดว่าเจ้าสิ่งนั้นคือสิ่งที่มีอยู่ในโลกหรอกใช่ไหม?”
“….”
เมื่อหวนนึกถึงดวงเนตรอันกว้างใหญ่นั้นมิวก็ได้แต่อกสั่นอย่างช่วยไม่ได้ เธอรีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับเปลี่ยนเรื่อง
“แล้ว.. เรื่องของเธอนี่มันหมายความว่ายังไง.. แถมดาบนั่นควรจะถูกทำลายไปแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมฉันถึงเรียกเธอออกมาได้”
มิวถามออกไปเป็นชุด อันที่จริงยิ่งกว่าเรื่องดาบคือเรื่องของเอริเนียเองต่างหาก เพราะยังไงซะสำหรับมิวนับตั้งแต่ได้เกิดใหม่มานั้น
เธอคนนี้คือแทบจะเป็นคนแรกที่ทำให้มิวรู้สึกตราตรึงอย่างแปลกประหลาด ไม่ว่าจะประวัติของเธอหรือแม้แต่สิ่งที่เธอต้องเจอหรือเผชิญ
มันไม่ใช่ในแง่ดีและก็ไม่ใช่ในแง่ร้ายเช่นเดียวกัน.. มันเหมือนกับความรู้สึกที่มิวไม่รู้อะไรเลยหลังการเกิดใหม่
แต่พอได้เกิดคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าและดูมีเรื่องราวมากที่สุดก็คือผู้หญิงคนนี้.. นั่นจึงไม่แปลกที่มิวไม่เคยคิดจะเอาเรื่องของหล่อนออกจากหัวเลย
แน่นอนว่าแม้แต่เรื่องดาบนั้นยังเป็นเรื่องรองเมื่อเทียบกับเรื่องของผู้หญิงคนนี้ เอริเนียเหมือนเรียบเรียงความคิดอยู่ในหัว
เธอไม่ได้ตอบทันที.. ท่าทางของเธอเผยความกังวลออกมาให้มิวได้เห็นด้วยซ้ำ ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
“ข้าไม่รู้ว่าคำตอบที่ข้ามอบให้นายท่านจะนับเป็นคำตอบเหมือนก่อนหน้านี้หรือเปล่า.. แต่พูดตามตรง ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน..”
“ส่วนดาบเล่มนี้.. จะว่าเป็นดาบที่เคยผนึกนายท่านก็ใช่.. แต่จะบอกว่าไม่ใช่ก็ได้เหมือนกัน ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“เรื่องของข้ามันแปลกประหลาดมาก.. มันเริ่มขึ้นเมื่อตอนที่ข้าฟันไปที่นายท่านและข้าเหมือนขาดใจไป…..”
เอริเนียเริ่มอธิบายสิ่งที่ตัวเองได้เจออย่างไม่ปกปิด เอาเข้าจริงเธอก็ไม่สามารถที่จะปกปิดได้แต่แรกแล้วด้วย
เธอบอกว่า.. หลังเธอตายความรู้สึกของเธอเหมือนถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ.. แต่นั่นมันก็แค่ในพริบตาเดียวเพราะในวินาทีต่อมา
เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกฝังลึกเข้าไปในบางอย่าง เอริเนียไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนเท่าไหร่นัก มีสิ่งเดียวที่เธอยังเหลืออยู่คือสติ
น่าแปลกที่ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ หรืออารมณ์ต่างๆ ของเธอเหมือนไม่เหลือไปแล้ว แม้สติจะยังอยู่แต่เหมือนความเกลียดชังที่มีต่อมังกร
เธอในตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมถึงเกลียด.. ถ้าจะให้ถามเธอควรเกลียดพวกคนที่ทำกับเธอมากกว่าด้วยซ้ำ
แต่ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นเวลาก็ไหลผ่านไปอย่างยาวนาน มีเพียงแค่ความคิดของเอริเนียเท่านั้นที่ทำงาน
เอริเนียไม่แน่ใจว่ามันผ่านไปนานขนาดไหน แต่มันต้องมากกว่าเวลาทั้งชีวิตของเธอที่ผ่านมาเป็นหมื่น แสน ล้านเท่า..หรือมากกว่านั้น
แน่นอนว่าที่เธอไม่สติแตกหรือเป็นบ้าก็เพราะเธอขาดสิ่งเหล่านั้นไปแต่แรกแล้วนั่นเอง จะบอกว่าไม่มีมันก็คงถูก
จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง เธอได้ยินเสียงลึกลับขึ้นในหัวเสียงนั้นไม่แน่ชัดหรือไม่แม้แต่ชัดเจนเลยด้วยซ้ำ
เอริเนียไม่แน่ใจว่ามันคือเสียงใคร เสียงของอะไร หรือแม้แต่กำลังสื่อสารอะไรกับตัวเองหรือเปล่า แต่เสียงแรกตลอดนับเวลานานแสนนานมันสร้างความรู้สึกใหม่ให้กับเอริเนียได้อย่างน่าประหลาด
นับตั้งแต่นั้นมา.. เอริเนียก็ได้พูดคุยกับเสียงปริศนาอยู่ตลอดเวลา แม้จะไม่เข้าใจแต่ความรู้ต่างๆ เหมือนถูกถ่ายทอดสลักลงจิตวิญญาณของเธอไม่อาจลืมเลือน
และหนึ่งใความรู้ที่เธอได้รับมาก็คือเรื่องของดาบดังกล่าว..
“ที่ข้าได้รู้มามันมีมากจนบางทีแม้แต่เอาความรู้ของชีวิตข้าทั้งชีวิตมาเปรียบเทียบก็คงไม่สามารถเปรียบเทียบว่าต้องเป็นหนึ่งในกี่ล้านเลยก็ว่าได้”
“เอ้ะ.. ถ้าดูจากความรู้เรื่องดาบแล้วไม่ใช่ว่าเธอรู้ทุกอย่างในโลกเลยเหรอ”
“ถูกต้องค่ะ.. แต่มันไม่ใช่ความรู้ที่บันทึกเข้าสมอง แต่เป็นสิ่งที่สลักลงในวิญญาณหากไม่สัมผัสกับมันด้วยวิญญาณนึกให้ตายยังไงก็นึกไม่ออกค่ะ”
“สัมผัสด้วยวิญญาณ..?”
“ก็เอากายหยาบไปสัมผัสก็นับว่าเป็นสัมผัสทางวิญญาณได้แล้วค่ะ เพราะแรกเริ่มเดิมทีร่างกายก็ถูกวิญญาณชักนำอยู่”
“อืม…?”
เอริเนียเริ่มอธิบายต่อ เธอไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนอีกเหมือนกันที่เริ่มคุยกับเสียงที่ไม่เข้าใจ แต่สามารถระบุได้..
เสียงนั้นก็หายไปจากหัวของเอริเนีย.. แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือโลกใบหนึ่ง… ไม่สิ คือจักรวาลแห่งหนึ่ง
ไม่ว่าจะมองไปยังทิศทางไหนสิ่งที่ประดับอยู่บนนั้นคือท้องฟ้ามากดาราที่อยู่ในนั้น.. ในที่แห่งนั้นมันเป็นเหมือนกับบ้านของเธอ
เธอให้ความรู้สึกแบบนั้น เธอสามารถอยู่ที่นั่นโดยไม่ต้องการอื่นใดเลยก็ยังสามารถอยู่ได้ ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกแบบนั้น
นอกจากที่แห่งนั้นสิ่งที่ติดมือมาพร้อมกับการรับรู้ของเธอก็คือดาบเล่มหนึ่ง.. ดาบเล่มที่ดูเหมือนดาบของเธอ..
ทว่ามันกลับดูแปลกตา มันไม่ใช่.. แม้ไม่มั่นใจว่าแตกต่างอย่างไร แต่เอริเนียมั่นใจว่าดาบเล่มนี้เป็นเหมือนบางอย่างที่..เหนือกว่าดาบเล่มเดิมของเธอด้วยซ้ำ
เอริเนียอยู่ในสถานที่แห่งนั้นพร้อมกับดาบเล่มหนึ่ง
ทั้งที่ไม่ได้คุยกับใคร ทั้งที่เป็นเหมือนกรงขัง ทั้งที่เป็นสถานที่ที่นอกจากความงดงามก็ไม่ต้องกิน ไม่ต้องนอน ไม่ต้องทำอะไร
แค่นั่งเฉยๆ ก็ผ่านมาแล้วนับร้อยปี.. ไม่สิ แรกเริ่มเดิมทีที่แห่งนั้นมีนิยามของเวลาด้วยหรือเปล่าเอริเนียยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำ
แต่ความนานของมันเพียงพอที่จะเปลี่ยนบุคลิกภาพของเอริเนียโดยสิ้นเชิง เธอได้สนุกกับการอยู่ในนั้นเหมือนกับอยู่ในสวรรค์
เธอไม่รู้ว่ามันผ่านไปนานขนาดไหน… จนกระทั่งเสียงอันคุ้นคุยก็ดังขึ้นในหัวของเอริเนีย.. มันเป็นเสียงเรียกขานบางอย่าง
ว่าต้อง ‘ปกป้อง’ บางอย่าง.. นั่นคือหน้าที่ของเธอ.. ใช่ หน้าที่ที่เธอต้องทำมาเสมอหรือทำมาตลอด..
การปกป้อง..
“เพราะข้าคือ.. ผู้กล้า”
เอริเนียพุ่งดิ่งไปยังแสงสว่างตรงหน้า.. เมื่อรู้ตัวอีกที คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเอริเนียก็คือมิว.. สิ่งเดียวที่เธอรู้ก็คือ
เธอคนนี้ก็คือ..มังกรตนนั้น บรรยากาศรอบตัว.. หรือแม้แต่จิตวิญญาณนั้นทว่าเมื่อได้มามองงมุมนี้เอริเนียกลับยิ่งไม่เข้าใจว่า
สิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง… ไม่ใช่สัตว์ประหลาดที่เธอเคยเกลียดเคยกลัว.. กลับกันเธอยิ่งตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมตนเองถึงเกลียดคนแบบนี้
นอกจากนี้.. เมื่อมองอีกฝ่ายเอริเนียรู้สึกเหมือนว่าตัวเองนั้นอยู่คุ้นเคยกับคนคนนี้ยิ่งกว่าใครบนโลกใบนี้
“นี่แหละคือเรื่องราวของข้า..”
“อืม..ไม่เข้าใจเลยแฮะ”
มิวขมวดคิ้ว..ถึงจะพอเดาได้ว่าเจ้าตัวโดนกลืนกินเข้ามาแต่ทำไม.. ถึงกลายเป็นคนคนหนึ่งได้เลย การกลืนกินอัตลักษณ์ไม่มีทางการกลืนกินบุคลิกภาพมาด้วยสิ
แถมจากที่เธอเล่าคือมันแทบจะเป็นการกลืนวิญญาณอีกฝ่ายเข้ามาเลยไม่ใช่เหรอ ถ้าจะแปลกมันก็จะแปลกตั้งแต่ตอนที่การใช้อัตลักษณ์ที่กลืนกินมาของเทพมังกร ถึงเป็นการอัญเชิญบางอย่างออกมาด้วย..
แม้ร่างกายมิวจะบอกว่านี่คือการวิวัฒนาการ.. แต่วิวัฒนาการบ้าอะไรจะดึงวิญญาณคนมาผนึกเอาไว้รอวันวิวัฒนาการ
ถ้าไม่ใช่เพราะ…เดิมทีไอ้การกลืนกินอัตลักษณ์นี่ไม่ใช่กลืนกินอัตลักษณ์แต่แรก.. แต่เป็นการกลืนวิญญาณผู้อื่น
จริงอยู่ที่ถ้ากลืนวิญญาณมาแล้วจะได้อัตลักษณ์มาแน่นอนแน่ๆ แต่ก็มีคำถามแล้ววิญญาณไปอยู่ไหน เดิมทีแล้วลักษณะของวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่ถูกกักเก็บไว้ได้
ยิ่งพูดถึงโลกที่เอริเนียถูกกักขังอยู่ในนั้นยิ่งไม่น่าจะใช่สิ่งที่มังกรจะมีอยู่..
มีแต่คำถามเต็มไปหมดเลย