บทที่ 68 – คลาวน์
“แอเรียน นี่แกทำบ้าอะไรของแก ห๊าาาาา”
ร่างที่พุ่งดิ่งมาแต่ไกลทำลายความเงียบในที่แห่งนี้ ทางฝั่งของผู้กล้าเอริเนียก็ไม่ได้โจมตีแอเรียน เธอแค่ปกป้องเอริเนียเท่านั้น
ทางฝั่งของแอเรียนก็เหมือนจะไม่กล้าโจมตีผู้กล้าเอริเนียเท่าไหร่ พวกเขารู้เลยว่าศัตรูตรงหน้าก็น่าจะเก่งไม่ต่างจากคนที่เขาผนึกไป
อีกอย่างอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีที่จะโจมตีเลยแอเรียนจึงไม่ได้โจมตีเข้ามา แต่เลือกที่จะยืนตั้งท่าพร้อมสู้เท่านั้น
ทางฝั่งของเอวานเหมือนจะยังไม่เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างเลย เพราะไม่ว่าจะคำพูดหรือคำคุยอะไรเธอก็แทบตามไม่ทัน
แต่ถึงแบบนั้นอิออนก็อธิบายให้เธอฟังอยู่บ้างถึงสถานการณ์… แน่นอนว่าส่วนเสียงที่ตามมากับร่างห่างออกไปคือเทรต้า
“องค์หญิงหยุดก่อนที่นี่ยังมีศัตรูเหลืออยู่”
แอเรียนกล่าว แน่นอนว่าเทรต้าที่มาถึงก็ต่อยหน้าแอเรียนไปหนึ่งหมัด
“ห๋า ศัตรูบ้านแกสิ แกทำอะไรกับมิว”
ก่อนที่เทรต้าจะหันไปเห็นผู้กล้าเอริเนียที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับแอเรียน ถึงเธอจะไม่เคยเห็นผู้กล้าเอริเนียมาก่อน แต่ดาบที่ผู้กล้าเอริเนียถือคือดาบเล่มเดียวกันกับที่มิวเคยใช้ เธอจึงรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นคนรู้จักของมิว
แต่ก่อนที่เธอจะทันได้อะไร เธอก็หันไปเห็นวัตถุหลายเหลี่ยมร่วงอยู่บนพื้นสีหน้าเธอถึงกับกระตุก..
“นี่พวกนายใช้คลาวน์….ใช้จักรวาลจำลองเหรอ?”
“….”
แอเรียนไม่ได้ตอบ.. แต่เทรต้าถึงกับหยุดชะงัก ถึงเธอพอจะเดาได้ว่าพวกนี้อาจจะบ้าจนถึงขั้นใช้ไฮเปอร์โนว่าก็จริง
แต่ทว่าสิ่งที่พวกมันทำอยู่เหนือกว่านั้น ‘คลาวน์’ คือระบบจักรวาลจำลองที่พวกสิ่งมีชีวิตในดาวเธอสร้างขึ้นมาด้วยเครื่องปริ้นท์ 4 มิติ
มันทำงานเหมือนกับไฮเปอร์โนว่า.. นั่นก็คือสร้างจักรวาลจำลองขึ้นมา แต่ไฮเปอร์โนว่าคือการจำลองสถานการณ์ของไฮเปอร์โนว่าในพื้นที่ไม่กี่ล้านปีแสง
แต่คลาวน์.. ก็ตามชื่อเลยคือสร้างจักรวาลจำลองอย่างแท้จริงขึ้นมา จักรวาลที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในนั้น ซึ่งสิ่งมีชีวิตก็อยู่ในนั้นโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาอยู่ดี
แม้ขนาดอาจจะไม่ได้นับว่าใหญ่ไร้สิ้นสุด.. แต่มันก็จำลองการกำเนิดของบิ๊กแบงได้ กล่าวคือจักรวาลภายในคลาวน์กว้างขึ้นตามการขยายตัวของจักรวาล
สาเหตุที่เทรต้าตกใจก็คือ ‘คลาวน์’ คือจักรวาลจำลองนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่คิดจะสร้างก็สร้างขึ้นมาได้โดยการกดเครื่องปริ้นท์ครั้งเดียว
แต่เป็นการบ่มเพาะมันขึ้นมาจากบิ๊กแบงแรกเริ่ม และให้คนคอยกำกับสถานการณ์ของสสารต่างให้ๆ คล้ายกับจักรวาลเรามากที่สุด
ให้จักรวาลเดินไปในทิศทางเดียวกัน ให้เกิดปาฏิหาริย์ที่คล้ายกับจักรวาลของจริงขึ้น แต่นั่นหมายความว่าหากแทรกแซงให้ตัวตนสักตัวตนลงไปในการกำหนดสิ่งเหล่านั้นอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่อยู่นอกเหนือจากความคาดหมายนั่นเอง
ซึ่งคลาวน์ในตอนนี้มีแค่อันเดียว และยังไม่มีอันอื่นและคงจะมีแค่อันเดียวตลอดเพราะมันใช้ทรัพยากรและพลังงานที่เยอะมาก
หากไม่ใช่เพราะวิทยาการ ‘ควอนตัม’ ในการสร้างพลังงานเพื่อที่จะทำคลาวน์นี้คงไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด
“พวกนายสู้เธอไม่ได้เลยลากเธอเข้าไปในโลกที่ตัวเองควบคุมได้ดั่งพระเจ้าเพื่อเอาชนะเธอน่ะนะ ไม่รู้สึกว่าตัวเองน่าสมเพชหรือไง”
ใช่แล้ว.. คลาวน์คือจักรวาลจำลองที่โดนฝ่ายดูแลควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นตามจักรวาลหลักเพื่อเกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมา
นั่นพูดอีกอย่างก็คือพวกเขาดาว Moon 2T EdgeLands เปรียบดั่งพระเจ้าของจักรวาลดังกล่าว
ทว่าแอเรียนส่ายหน้า
“…น่าเสียดายถ้าทำงั้นได้คงดี แต่อิออนให้เราผนึกลงคลาวน์เท่านั้น นั่นหมายความว่าต่อให้เป็นที่นั่นเราก็คงฆ่าเธอไม่ได้อยู่ดี”
“..ห้ะ นี่แกจะบ้าหรือเปล่า ถ้าทำงั้นยิ่งแย่กว่าเดิมไม่ใช่หรือไง ระบบนิเวศน์ทุกอย่างในนั้นก็ต้อง…”
แอเรียนพยักหน้า
“นี่เป็นวิธีเดียวที่จะรับมือกับสัตว์ประหลาดนั่นได้ ฉันจะเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างเอง”
“……”
เทรต้าได้แต่พูดไม่ออก..
…………
……..
…..
“ก็อย่างที่ได้ยินนั่นแหละนะนายท่าน เอาไง?”
เสียงหนึ่งดังเข้าสู่โสตประสาทของมิวที่ลอยเคว้งอยู่กลางอวกาศ ทุกอย่างในสายตาเธอล้วนแล้วแต่เป็นภาพที่เหนือกว่าที่เห็นในทีวีหรือเน็ต
ภาพของดาราจักร ภาพของทางช้างเผือก อาจจะเป็นเพราะสายตาของเธอที่กว้างขวางขึ้นเพราะไม่ใช่คนของจักรวาลนี้
หรืออะไรก็แล้วแต่สายตาของเธอเหมือนกับทอดยาวเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลอันกว้างใหญ่ มันสวยงามและดูพิศวง
ทุกอย่างในที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความมืดมิด แต่กับส่องสว่างผ่านประกายแสงของดวงดารามากมายนับไม่หมดไม่สิ้น ผ่านรังสีต่างๆ ที่แผ่ขยายออกมาจากดวงดาว
เธอมองเห็นแม้กระทั่งหลุมดำที่ลอยอยู่ใจกลางดาราจักรที่เหมือนกับเป็นระเบิดลูกใหญ่ แต่ทุกสิ่งกลับหมุนวนรอบมัน
จริงอยู่หากมองจากโลกด้านนอกแล้ว จักรวาลนี้ไม่ได้กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด แต่มันกำลังแผ่ขยายออกไปอย่างไม่มีจุดจบ
แต่เมื่อมาอยู่ในที่แห่งนี้แล้ว มิวสัมผัสได้ชัดเจนเลยว่าที่แห่งนี้ไม่อาจมองหาจุดสิ้นสุดของมันได้.. เสียงที่เทรต้าคุยกับแอเรียน
ดังผ่านผู้กล้าเอริเนียเข้ามาในหูของมิว และเธอก็เข้าใจสถานการณ์หลายอย่างทันทีผสมกับสิ่งที่เธอเห็นตรงหน้า
ต่อให้ไม่ฉลาดก็ยังเดาออกว่า.. นี่คือสถานการณ์แบบไหน บางทีที่นี่คงจะเป็นจักรวาลจำลองที่หมายถึงตามชื่อเลย
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่าสร้างได้ยังไง.. แต่พวกนั้นก็เป็นเหมือนพระเจ้าของโลกใบนี้ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้
“ฉันจะหาวิธีออกไปจากที่นี่ด้วยตัวเอง ส่วนเธอฉันฝากดูแลเอริเนียด้วย.. อีกอย่างคนที่ช่วยเอริเนียไว้เธอคือผู้มีพระคุณต้องช่วยเธอด้วย เท่าที่ดูน่าจะเป็นคนธรรมดา”
“ทราบแล้วค่ะ นายท่าน.. แต่…”
“แต่อะไร?”
“เร็วๆ หน่อยนะนายท่าน ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดที่นั่นควรจะมีเวลาไหลเร็วกว่าโลกด้านนอกอาจจะหลายล้านเท่าเลย”
มิวที่ได้ยินแบบนั้นก็ขมวดคิ้ว
“แต่ฉันก็คุยกับเธอปกตินี่?”
“มันเป็นเรื่องของการสังเกตการณ์น่ะนายท่าน เท่าที่ฉันเข้าใจเพราะตัวนายท่านในตอนนี้ยังตระหนักถึงเวลาในโลกจริงผ่านการติดต่อกับฉันอยู่ ทำให้ความเป็นจริงสำหรับนายท่านนั้นยังเป็นเวลาในปัจจุบัน”
ผู้กล้าเอริเนียเกาหัวเล็กน้อย ความรู้พวกนี้เป็นสิ่งที่เธอได้รับมาจากเสียงปริศนาที่คอยคุยกับเธอ ซึ่งถ้าหากที่ที่มิวไปอยู่คือจักรวาลสี่มิติจำลอง
นั่นก็หมายความว่าเวลาในนั้นจะต้องมีเวลาเป็นของตัวเองต่างจากจักรวาลด้านนอก แต่กาลเวลาเหล่านั้นถูกควบคุมไว้ด้วยพวกที่ขังมิว
“เอาแบบที่ฉันเข้าใจนะนายท่าน.. นายท่านรู้ใช่ไหมว่าเวลาของคนเราไม่เท่ากัน ซึ่งการที่เราจะสามารถคุยกันแบบเรียลไทม์ได้โดยที่คนหนึ่งอยู่ในสถานที่ที่เวลาแตกต่างจากอีกคนหนึ่งมันจะเท่ากับการพูดคุยข้ามเวลา”
“อืม.. เคยเห็นคนพูดถึงอยู่บ้าง”
ต่อให้มิวไม่ได้เรียนด้านนี้เธอยังรู้จัก
“กล่าวคือตอนนี้เวลาของฉันกับนายท่านเวลาไม่เท่ากัน เพราะเวลาในจักรวาลจำลองนั้นไหลไปในแบบของมันเองผ่านการควบคุมของคนที่ขังนายท่าน”
“พวกมันอาจจะทำให้เวลาไหลเร็วขึ้นเป็นหมื่น แสน ล้านเท่าได้ง่ายๆ เลยซึ่งสำหรับฉันก็คงผ่านไปไม่กี่วินาที แต่นายท่านอาจจะต้องอยู่ในนั้นเป็นล้านปีเลย”
“ดังนั้นฉันจึงสามารถพูดได้เต็มปากว่าเวลาของพวกเราไม่เท่ากัน งั้นหมายความว่าการสื่อสารข้อมูลของพวกเราในตอนนี้กำลังถูกส่งข้อมูลข้ามเวลาอยู่”
“แต่.. นายท่านรู้ดีกว่ากาลเวลานั้นไม่ใช่อะไรที่ง่ายแบบนั้นใช่ไหม?”
มิวที่ได้ยินแบบนี้เธอก็พยักหน้าเข้าใจ เวลาสำหรับมิวในตอนนี้คือศัตรูที่น่ากลัวที่สุดเลยก็ว่าได้ ไอ้ความพยายามที่จะย้อนเวลาเพื่อแก้ไขนั้นกลับเป็นเหมือนการทำเพื่อสร้างอดีตขึ้นมา ทำเพื่อให้เรื่องราวสมบูรณ์แบบมากขึ้น
ผู้กล้าเอริเนียกล่าวต่อ
“จากคำพูดของพวกนั้น คงน่าจะสั่นกลัวเรื่องมีตัวแปรเข้าไปในจักรวาลจำลองน่าดูเลยล่ะ ฉันเลยคิดว่าตอนนี้พวกนั้นน่าจะรู้ตัวแล้วว่าถ้าหากยังทำให้เวลาในนั้นเร็วกว่าตอนนี้ต่อไปคงเกิดปัญหาเรื่องเวลาขึ้นได้ เพราะฉันติดต่อกับนายท่านทำให้นายท่านรับรู้ถึงเวลาในโลกด้านนอกได้”
“พูดง่ายๆ คือพวกนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้มีการส่งข้อมูลข้ามเวลาระหว่างฉันกับนายท่าน ซึ่งอาจจะทำให้เกิด Time paradox จนจักรวาลจำลองพวกมันเสียหาย พวกมันจึงไม่น่าจะทำให้เวลาในจักรวาลจำลองไหลเร็วขึ้นต่างจากตอนนี้”
“พูดง่ายๆ คือ.. เพราะมีฉันอยู่ที่โลกนี้นายท่านถึงได้ไม่แก่เฒ่าลงภายในเสี้ยววินาทีไง”
ผู้กล้าเอริเนียพูดแสดงความเห็นว่าตัวเองช่วยมิวขนาดไหนในเหตุการณ์ครั้งนี้ ก่อนจะพูดต่อเบาๆ ว่า
“แต่พวกนั้นดูท่าจะเกลียดนายท่านน่าดูนะ วันดีคืนดีมันอาจจะไม่สนเรื่อง Time paradox หมั่นไส้นายท่านจนเร่งเวลาเป็นล้านปีในเสี้ยววินาทีก็ได้”
“ถึงนายท่านไม่น่าจะเป็นอะไร แต่อยู่คนเดียวเป็นล้านปีมันเหงานะขอบอก เพราะงั้นรีบให้ไวเลย ส่วนเรื่องทางนี้ไม่ต้องห่วง”
เมื่อมิวได้ยินแบบนั้นเธอก็พยักหน้าตอบกลับมาเบาๆ ว่า
“เข้าใจแล้ว..”
มิวตอบด้วยสีหน้าจริงจัง ถูกปล่อยไว้ในที่แห่งนี้เป็นล้านปีนี่มันไม่น่าจะใช่เรื่องตลกสักเท่าไหร่ ทว่าเมื่อมิวตอบกลับออกมาแบบนั้น..
“อ้ะ.. แต่ฉันมีปัญหาแรกแล้วอ่ะ”
“ปัญหา?”
“ฉันหายใจไม่ออก”
เมื่อได้ยินแบบนั้นผู้กล้าเอริเนียถึงกับนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
“….นายท่าน”
“อะไร?”
“ฉันขอทวนความทรงจำนายท่านอีกสักหน่อยนะว่า มังกรไม่ได้ต้องการหายใจที่หายใจก็เพราะต้องการเอาพลังงานหนึ่งมาหล่อเลี้ยงร่างกาย ซึ่งเป็นพลังงานที่นายท่านใช้พ่นลมหายใจมังกร”
“อืม…?”
“แล้วพลังงานที่ว่านั่นก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่งที่นายท่านดำรงอยู่ ต่อให้เป็นจักรวาลจำลองก็ไม่เว้น”
“ห้ะ.. นี่เธอจะบอกว่าฉันหายใจในอวกาศได้เหรอ?!!”
“ถ้าทำไม่ได้นายท่านตายไปตั้งนานแล้วจ้ะ”
“……”
“….”