พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 27 พระชายาแสดงอำนาจบารมี (1)
เฟิ่งชิงหัวคิดไม่ถึงว่า ในเมืองหลวงแห่งนี้ สถานที่ที่มีความสำคัญอย่างกรมคลัง ยังมีคนกล้าเฉื่อยชาทำงานไม่จริงจังเช่นนี้อีก
อดที่จะยกมุมปากขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ มีสัญญาณกำลังจะโกรธขึ้นมารางๆ
“พระ” เดิมทีไป๋จื่อหยางต้องการจะเรียกพระชายา แต่เมื่อนึกถึงตอนนี้หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดผู้ชายก็เพื่อความสะดวกในการทำงาน จึงเปลี่ยนมาเรียก: “ใต้เท้าหวัง เราไปรอด้านข้างดีกว่า”
เฟิ่งชิงหัวเงยหน้ามองเขา: “ศาลาว่าการพระนครก็เหมือนกับพวกเขาหรือ?”
ไป๋จื่อหยางเหลือบมองจู่ปู้ที่นอนอยู่ตรงนั้น ส่ายหน้าช้าๆ: “ศาลาว่าการพระนครเป็นสถานที่ที่ตั้งอยู่เพื่อตัดสินคดีร้องทุกข์ของประชาชนโดยเฉพาะ ในเวลานี้มีการพิจารณาคดีไปไม่น้อยกว่าสองคดีแล้ว เพียงแต่ว่ากรมคลังแห่งนี้ ล้วนใช้สำหรับสืบสวนพวกขุนนางราชสำนักและเชื้อพระวงศ์มาโดยตลอด ทว่ายกเว้นจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากเท่านั้น มิเช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องรบกวนกรมคลังง่ายๆ”
“เรื่องที่สำคัญมาก? เช่นนั้นเรื่องไหนที่ไม่สำคัญ ก็จะถูกพวกเชื้อพระวงศ์พวกนั้นระงับเอาไว้ใช่ไหม?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวถามอย่างบางเบาพร้อมรอยยิ้ม
ไป๋จื่อหยางพยักหน้า
เดิมทีเรื่องพวกนี้ก็เป็นที่รู้กันดีโดยปริยายอยู่แล้ว คนที่กรมคลังสามารถจัดการได้ ล้วนเป็นพวกที่ไม่สามารถพลิกผันสถานการณ์ได้แล้วทั้งนั้น เข้ามาที่นี่แล้วอยากจะถูกเหยียบย่ำอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับคนพวกนี้แล้วใช่ไหม?
เฟิ่งชิงหัวเต็มเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรมอย่างแรงกล้ามาตลอด สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือพวกขุนนางปกป้องกันเองเล่นพรรคเล่นพวกกัน เพียงเพราะว่าชาติที่แล้วสมรรถภาพทางกายของนางแย่มากเกินไปจริงๆ ไม่สามารถสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ ดังนั้นท้ายที่สุดถึงได้กลายมาเป็นแพทย์นิติเวช
จุดประสงค์ คือเพื่อจับตัวฆาตกรมาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม ให้ดวงวิญญาณของผู้ตายได้ไปสู่สุคติ
คิดไม่ถึงว่ามาถึงที่นี่ กลับยังพบกับเรื่องเช่นนี้ได้
“ใต้เท้าหวัง มีปัญหาน้อยย่อมดีกว่า เราไปรอกันด้านข้างเถอะ ฝ่าบาทยังส่งใต้เท้ามาร่วมสอบสวนกันท่านอีกสองท่านไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างไรรอพวกเขามาก่อนค่อยว่ากันดีกว่า” ไป๋จื่อหยางกล่าวเกลี้ยกล่อม
บนใบหน้าของผู้ชายเต็มไปด้วยความจนใจ เห็นได้ชัดว่าเผชิญหน้ากับการถูกปฏิเสธการต้อนรับเช่นนี้ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว
เฟิ่งชิงหัวยิ้มเย้ยหยัน ชี้ไปทางจู่ปู้ที่นอนแกล้งตายอยู่ตรงนั้นอย่างตรงไปตรงมาไม่มีปกปิด กล่าวด้วยรอยยิ้ม: “เจ้าคิดว่านี่คือเรื่องปกติจริงหรือ?”
ไม่ต้องพูดถึงว่านางเป็นคนที่ฝ่าบาทส่งมาด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันฝ่าบาทยังส่งต้าหลี่ซื่อชิงขุนนางผู้บัญชาการศาลต้าหลี่รวมทั้งรองเจ้ากรมข้าราชการพลเรือนมาดำเนินการสอบสวนด้วยกัน ไม่มีทางที่คนของกรมคลังจะไม่รู้ ถึงแม้จะไม่ได้รอต้อนรับที่นี่ตั้งแต่แรก อย่างน้อยก็จะไม่ทำอย่างขอไปทีเช่นนี้
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้มีเพียงข้อเดียวเท่านั้น นั่นก็คือคนที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาอยากจะแสดงอำนาจต่อนาง ซึ่งก็คือท่านอ๋องเจ็ดที่นางจากมา
พวกเขาต้องการจะใช้ข้อนี้บอกกับทุกคนว่า ท่านอ๋องเจ็ดไม่ใช่ลูกชายที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานอย่างในอดีตอีกแล้ว แต่เป็นคนที่แม้แต่จู่ปู้ตัวเล็กๆก็ยังสามารถละเลยได้ตามใจชอบคนหนึ่งแล้ว
เรื่องแบบนี้ คนที่อยู่เบื้องหลังก็ยิ่งคาดการณ์ว่าคนของจวนอ๋องเฉินไม่ควรค่าจะไปร้องเรียน หรืออาจจะกลับจวนไปด้วยความโกรธ ไม่สนใจเรื่องคดีที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้ไปเสียเลย
พระชายาที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งจะกล้าทำผิดครรลองคลองธรรมเช่นนี้ได้อย่างไร เบื้องหลัง ย่อมต้องมีคนคอยสอนอยู่แล้ว
เดิมทีเฟิ่งชิงหัวไม่อยากก่อเรื่อง แต่ว่ามีคนจะใช้นางเป็นตัวหมาก นางจะให้เขาได้สมปรารถนาได้อย่างไร
หยิบแส้ที่เดิมทีเหน็บไว้ที่เอวลงมา เหวี่ยงไปทางคนที่อยู่ตรงหน้าโดยตรง
เดิมทีจู่ปู้นั่นยังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ในฝัน ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความปวดแสบปวดร้อนส่งมาจากแผ่นหลังของตัวเอง คนทั้งคนสะดุ้งโหยงขึ้นมา สองมือเอื้อมไปแตะแผ่นหลัง
เฟิ่งชิงหัวเกี่ยวริมฝีปากอย่างเย็นชาและกล่าวว่า: “ข้าได้รับราชโองการของฝ่าบาทให้มาทำคดีด้วยตัวเอง ใต้เท้าของพวกเจ้าไม่ค่อยสบายมาสายก็ช่างมันเถอะ เจ้าที่เป็นจู่ปู้เล็กๆคนหนึ่งยังกล้ารังแกข้า ไม่เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตาจริงๆหรืออย่างไร”
เสียงของหญิงสาวเย็นยะเยือก ราวกับมาจากนรก ทำให้คนรู้สึกเพียงเย็นสันหลังวาบ ความหวาดกลัวเล็กๆแผ่ซ่านจากหัวใจขึ้นไปสู่สมอง
จู่ปู้นั่นเห็นผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้าไม่ได้คิดจะถามฐานะที่ตัวเองเก็บซ่อนเอาไว้เลย ย่อมไม่กล้าหาข้ออ้างสร้างความลำบากให้อีก รีบลุกขึ้นยืนและอดทนต่อความเจ็บปวดแล้วคุกเข่าน้อมทักทายทันที: “ข้าน้อยคำนับพระชายาเจ็ด ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ขอพระชายาได้โปรดเมตตาด้วย ข้าน้อยมีผู้สูงอายุและเด็กที่ต้องเลี้ยงดู”