พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 56 ข้าเลี้ยงไม่ไหว
สายตาของเขาเย็นชา แต่น้ำเสียงของเขาเย็นชายิ่งกว่า เขาขมวดคิ้วแล้วมองเจียงหยูหวันอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าคือใคร”
เจียงหยูหวันได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกราวกับว่าเลือดได้ไหลมากระจุกอยู่ที่คอหอยจนทำให้พูดไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว
เฟิ่งชิงหัวกลับหัวเราะส่งเสียงออกมาแล้วช่วยจ้านเป่ยเซียวทวนความจำ “ท่านอ๋อง คุณหนูเจียงบอกว่านางคือสตรีในดวงใจของท่านเจ้าค่ะ”
สีหน้าของจ้านเป่ยเซียวไม่มีแม้แต่ความข้องใจ เขากล่าวเสียงแข็งออกมาทันทีว่า “ไม่รู้จัก”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินเช่นนั้นก็รู้แล้วว่าจ้านเป่ยเซียวตั้งใจไม่เอาเรื่องเรื่องที่นางทำ นางเลยเริ่มมีความกล้าเพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการแสดงจะเอ่อล้นออกมา
นางรีบวิ่งเข้าไปสองก้าวแล้วคุกเข่าลงตรงหน้ารถเข็นของจ้านเป่ยเซียว มือเรียวเล็กอ่อนนุ่มคว้าชุดสีดำที่สะอาดเอี่ยมของเขาเอาไว้แล้วเขย่าเบาๆ
แล้วกล่าวออกมาโดยใช้น้ำเสียงอ่อนแอน่าสงสาร “องค์หญิงเหออานบอกว่าถ้าไม่ใช่เพราะข้าที่เอาตัวเข้ามาแทรก ตำแหน่งพระชายาเอกก็จะต้องตกเป็นของคุณหนูเจียงหยูหวันอย่างแน่นอน ข้าเลยหวังดีบอกว่าจะพานางไปหาเสด็จพ่อพระราชทานงานแต่ง แม้ว่าจะไม่มีตำแหน่งชายาเอกแล้ว แต่จวนของพวกเราก็ยังคงมีตำแหน่งชายารองว่างอยู่ แต่คุณหนูเจียงกลับบอกว่านางจะเป็นชายาเอกเท่านั้น ไม่อยากเป็นชายารอง และบอกอีกว่าเป็นชายารองก็ไม่ต่างอะไรกับเป็นอนุ และบอกให้ข้าสละตำแหน่งซะ”
กล่าวจบ นางก็ใช้สายตาอันใสซื่อกลมโตจ้องไปที่จ้านเป่ยเซียว
ไม่ได้มีเพียงแม่ดอกทองเท่านั้นที่แสร้งทำท่าทางเรียกคะแนนความสงสารได้ เฟิ่งชิงหัวคิดว่านางเองก็มีความสามารถไม่แพ้ชายามารอย่างตาอี๋เช่นกัน
ความโกรธของจ้านเป่ยเซียวลดลงตั้งแต่ตอนที่เฟิ่งชิงหัวดึงชายแขนเสื้อของเขาแล้ว เมื่อฟังนางกล่าวจนจบก็หันไปสบตานาง
แววตาที่ปกติแล้วเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ตอนนี้มีน้ำตาคลอจนเกิดเป็นไอน้ำบดบัง ดูแล้วช่างคล้ายกับกวางน้อยที่กำลังเฝ้ารออาหาร
ปกติเวลาที่สตรีหรี่ตา หรือว่าดวงตากลอกกลิ้งไม่หยุด จะทำให้คนรู้สึกว่าเป็นคนที่เจ้าเล่ห์กลับกลอก แต่ท่าทางเช่นนี้ของนางทำให้คนรู้สึกสงสาร ใครเลยจะรู้ว่าคำพูดเหล่านี้ของนางกว่าครึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องจริง
ดวงตาของนางนั้นงดงามมาก จ้านเป่ยเซียวถึงขั้นรู้สึกว่า ใบหน้าของนางไม่เหมาะสมกับดวงตาอันงดงามที่สามารถสื่อสารคำพูดได้คู่นี้ของนาง
ดวงตาคู่นี้ถึงขั้นส่งสัญญาณมาหาจ้านเป่ยเซียวว่า ท่านคือสามีของข้า ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับข้า และต้องช่วยข้าจัดการคนพวกนี้
เมื่อเห็นว่าจ้านเป่ยเซียวจ้องค้างมาที่ตน เฟิ่งชิงหัวก็เขย่าชุดของเขา “ท่านอ๋องคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”
จ้านเป่ยเซียวกระแอม “ข้ากำลังคิดว่า ทำไมข้าถึงไม่รู้ว่าที่จวนยังมีตำแหน่งชายารองว่างอยู่อีกสองตำแหน่ง? เจ้าเป็นคนตั้งตำแหน่งนี้ขึ้นมาเองหรือ เงินเดือนเดือนนี้ข้าหักจากคลังทรัพย์สินของเจ้าดีหรือไม่”
เอ๊ะ? เฟิ่งชิงหัวไม่คิดว่านางจะพูดมากเกินไปขนาดนี้ ความสนใจของผู้ชายคนนี้อยู่ที่หากมีชายาอีกสองคนจะต้องจ่ายเงินเดือนเพิ่ม
ท่านแต่งตั้งชายารอง แล้วทำไมต้องมาหักเงินจากข้าด้วย?
เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยท่าทางน่าสงสาร “อย่างนั้น ก็ไม่ต้องแต่งตั้งชายารองแล้วเจ้าค่ะ ข้ายากจน เลี้ยงไม่ไหวแน่”
จ้านเป่ยเซียวตอบรับคำหนึ่ง “ข้าเองก็เลี้ยงไม่ไหว”
ดวงตากลมโตของเฟิ่งชิงหัวจ้องไปที่เขา นางอยากรู้จริงๆ ว่าใบหน้าภายใต้หน้ากากนี้จะหนาแค่ไหน เหตุใดถึงพูดออกมาได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาว่าตัวเองยากจน
ใช้ไข่มุกราตรีเป็นเครื่องมือส่องแสง ใช้หยกขาวปูพื้นเพื่อรองเท้า ชุดที่สวมใส่ใช้ภาพไหมนุ่มพับละเป็นหมื่นตำลึงทอง แม้แต่รองเท้าที่ใส่ลวดลายที่ปักอยู่ด้านบนยังเป็นเส้นไหมที่ทำจากทอง
หากแบบนี้เรียกว่าจน อย่างนั้งนางล่ะเรียกว่าอะไร หญิงถังแตก?
การสนทนาเช่นนี้ของคนทั้งสองราวกับไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย ไม่สนใจสักนิดว่าคำพูดเช่นนี้จะทำให้คนอื่นรู้สึกเก้ๆ กังๆ แค่ไหน
เมื่อเจียงหยูหวันได้ยินเฟิ่งชิงหัวใส่ร้ายนางจากขาวเป็นดำเช่นนี้ สีหน้าของนางก็เริ่มปรากฏความเดือดดาลออกมา แต่ก็ไม่สามารถกล่าวออกไปตามตรงได้ว่านางพูดจาเหลวไหล ได้แต่ใช้สายตามืดหม่นจ้องไปที่เฟิ่งชิงหัว
ส่วนเหออานนั้น ตอนนี้ยังตกอยู่ในสภาพแห่งความกลัวสายตาพิฆาตของจ้านเป่ยเซียว โดยเฉพาะคำพูดที่เฟิ่งชิงหัวใส่ร้ายเจียงหยูหวันนั้นเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของตน หากนางก้าวออกมาชี้แจง ระเบิดจะกลับมาลงที่นางหรือไม่
นิสัยอารมณ์ร้ายของพี่เจ็ดไม่เคยดีมาตลอด ตอนนี้ก็ยิ่งแปลกประหลาดขึ้นอีก
“อย่างนั้นท่านอ๋องจะทำอย่างไร คุณหนูเจียงและองค์หญิงเหออานมีบาดแผลทั่วตัวอยู่นะเจ้าคะ”
จ้านเป่ยเซียวเหลือบมองนาง “เจ้าว่างมากหรือไง”
เฟิ่งชิงหัวส่ายหน้า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ”
“มีเวลาสนใจเรื่องราวของคนอื่นขนาดนี้ก็ไปสืบคดีเลยดีไหม”
“อ่อ งั้น พวกเราไปกันเลยไหมเจ้าคะ” เฟิ่งชิงหัวผายมือเป็นเชิงส่งสัญญาณให้ออกเดินทาง
“อืม” คำตอบรับสั้นๆ และเรียบง่าย จากนั้นจ้านเป่ยเซียวจึงยื่นมืออันแข็งแรงของเขามาจับมือน้อยๆ ของเฟิ่งชิงหัวเอาไว้แล้วพากันเดินจากไป
องค์หญิงเหออานและเจียงหยูหวันได้แต่เหม่อมองตามไปเท่านั้น
ความถือตัวของจ้านเป่ยเซียวเป็นที่รู้กันไปทั่ว แต่ตอนนี้เขากลับจูงมือของผู้หญิงคนนี้
“หยูหวัน ก่อนหน้านี้พี่เจ็ดเคยจับมือผู้หญิงเดินแบบนี้หรือไม่” องค์หญิงเหออานเฝ้ามองเงาสูงต่ำจูงมือกันเดินไปช้าๆ ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก
สีหน้าของเจียงหยูหวันดูไม่ได้ แต่กลับไม่ยอมแสดงออกมา ได้แต่ถามกลับว่า “องค์หญิงไม่เจ็บแผลหรือเจ้าคะ”
เหออานรีบตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงอวดครวญ “ทหาร รีบมาช่วยพาข้าไปทำแผลที”
ทหารในวังสองคนช่วยพยุงเจียงหยูหวันออกไปจากตรงนั้น ตอนที่หันหลังกลับ สายตายังจ้องไปที่สองคนนั้น
เวลานี้ เฟิ่งชิงหัวยังคงมีจ้านเป่ยเซียวจูงมือเดินไปข้างหน้าอยู่เช่นนั้น ทั้งสองเดินไปข้างหน้าตลอด รอบกายไม่มีผู้คน
เฟิ่งชิงหัวก้มหน้ามองข้อมือของตัวเองอย่างไม่เข้าใจ แล้วขบคิดอย่างจริงจัง
ทำไมเขาต้องจูงมือนางด้วย
ครุ่นคิดอยู่นาน เฟิ่งชิงหัวก็คิดออกทันที จากนั้นจึงมองไปที่จ้านเป่ยหัวอย่างเห็นใจ
แม้ปากจะบอกว่าไม่รู้จัก แต่อย่างน้อยๆ ก็เคยเป็นคนที่ตัวเองรักฝังใจมาก่อน ต่อให้กลายเป็นขี้เถ้าก็ไม่มีวันลืม
ที่เขาตั้งใจทำเป็นสนิทสนมกับตนเช่นนี้ต่อหน้านาง คงจะเป็นเพราะว่าต้องการแก้แค้น หรือไม่ก็มีเจตนาอย่างอื่น
เฮ้อ ความรักบนโลกนี้คืออะไร เป็นเรื่องยากกว่าการสอนให้ข้ามสะพานเชวี่ยเฉียวเสียอีก
เฟิ่งชิงหัวอดไม่ได้ที่จะแสดงความเห็น “ ท่านอ๋อง มีบางเรื่อง ข้าไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่”
“รู้ว่าไม่ควรพูดก็หุบปากไว้เสีย” จ้านเป่ยเซียวกล่าวเสียงแข็ง
เฟิ่งชิงหัวถูกสะกัดเช่นนี้ แต่ก็ยังคงกล่าวต่อไปอย่างไม่สนใจ “ท่านอ๋อง ข้าไม่ได้ว่านะ แต่สายตาของท่านไม่ได้เรื่องเลย ข้า……”
ทันใดนั้น จ้านเป่ยเซียวก็หยุดนิ่งลงอย่างฉับพลัน แล้วหันมาจ้องนางอย่างเย็นชา “เจ้าพูดอะไร”
“ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับยากตรงไหนเลย ตอนวัยรุ่นมีใครบ้างไม่เคยตกหลุมรักคนไม่ได้เรื่อง ล้างตาเพื่อกลับมาตั้งตัวใหม่ เช็ดน้ำตาให้แห้งแล้วยิ้มเพื่อสู้ต่อไปแล้ว ท่านเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ข้างในใจแบบนี้อาจจะทำให้ท่านปป่วยได้นะเจ้าคะ”
จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้ว “เจ้าพูดไร้สาระอะไรอยู่”
“อย่าปฏิเสธเลยท่านอ๋อง ข้ารู้ว่าท่านยังไม่ลืม คุณหนูเจียงคือสตรีในดวงใจของท่านใช่หรือไม่ ข้าดูแวบเดียวก็รู้แล้วว่านางอยู่กับท่านเพราะว่าต้องการมีอำนาจ เมื่อเห็นว่าท่านบาดเจ็บยากรักษาจึงหาเรื่องทิ้งท่าน ตอนนี้ยังจะมาทวงคืนตำแหน่งเดิมด้วยท่าทางน่าสงสารเช่นนี้อีก เห็นแล้วอยากอาเจียน”
จ้านเป่ยเซียวแม้มปากแน่นเฝ้ามองเฟิ่งชิงหัวพูดเองเออเองตามใจ จากนั้นเขาก็แผ่ความหนาวยะเยือกออกมาทั่วร่าง “หนานกงเยว่ลั่ว”
“ฮึ?”
“มานี่” เสียงของเขาทุ้มต่ำ
เฟิ่งชิงหัวที่กำลังเห็นอกเห็นใจจ้านเป่ยเซียวอยู่นั้นก็คิดว่าเขาน่าจะอยากพูดความในใจอะไรบางอย่างให้นางฟัง จึงย่อเข่าลงไปหาเขา