เด็กรับใช้คนนั้นเดินขึ้นหน้าไปสองก้าว แล้วประสานมือคารวะไปที่เหยียนหรูชิง“ใต้เท้า คุณชายของข้า……”
เฟิ่งชิงหัวเอ่ยขัดเด็กรับใช้คนนั้นพลางขมวดคิ้ว “เจ้าเสนอหน้ามาได้อย่างไร ใต้เท้าของพวกเราพูดกับคุณชายของเจ้า เจ้าควรสอดปากเข้ามาหรือ คุณชายของเจ้าเป็นใบ้หรืออย่างไร”
“เจ้า บังอาจ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าองค์ชายของพวกเราเป็นใคร ระวังตัวไว้หน่อย……”
เฟิ่งชิงหัวโบกมือปัดแล้วกล่าวอย่างเหลืออด “ใช้อำนาจข่มขู่คนอื่น ไสหัวไปให้ไกล เพราะมีสุนัขรับใช้แบบเจ้า ที่คอยแต่ทำเรื่องชั่วร้ายให้กับเจ้านายของเจ้า”
เด็กรับใช้คนนั้นโดนด่าเช่นนี้สีหน้าก็เขียวคล้ำ เขายกมือขึ้นเตรียมจะลงมือกับเฟิ่งชิงหัว เฟิ่งชิงหัวยืนนิ่งไม่ขยับพลางเตรียมเข็มเงินในแขนเสื้อเอาไว้ เตรียมจะลงมือ ทันใดนั้นเองก็มีเงาร่างร่างหนึ่งออกมาขวางทางเอาไว้เสียก่อน
คุณชายน้อยอย่างเนี่ยหานซิงของจวนเจ้าผู้อารักขาก้าวออกมา ในมือถือกระบี่เอาไว้ชี้ไปที่เด็กรับใช้คนนั้นทำให้เขาไม่กล้าก้าวเข้ามา
เด็กหนุ่มที่ปกติดูแล้วมีท่าทางเหม่อลอยตอนนี้กลับมีสายตาคมปราบเอ่ยว่า “ถ้ากล้าก้าวเข้ามามากกว่านี้สักก้าวเดียว ข้าจะฟันเจ้าให้ดู”
กระบี่เล่มนั้นจ่ออยู่ที่หัวคิ้วของเด็กรับใช้ ทำให้เขารู้สึกหนาวสันหลังและถอยหลังหนีไปโดยสัญชาตญาณ
ตอนนี้จ้านถิงเฟิงจึงไม่อาจวางเฉยได้ เขาเรียกเด็กรับใช้ให้กลับมาแล้วก้าวออกไปกล่าวว่า “คุณชายเนี่ยตั้งใจจะทำอะไรหรือ เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ เอง ทำไมต้องใช้อาวุธกันด้วยล่ะ”
เนี่ยหานซิงดึงกระบี่กลับแล้วกอดไว้กลางอกพลางเอ่ยว่า “คุณชายจ้านคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับข้าแล้วกลับเป็นเรื่องใหญ่ ข้าจะปกป้องเขา ใครที่รังแกเขาดูถูกเขา ข้าจะไม่มีทางปล่อยไปแน่”
ระหว่างที่กล่าวก็ชี้ไปที่เฟิ่งชิงหัว
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา นางต้องการคนปกป้องตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
เจ้าเด็กน้อยนี่โผล่มาจากไหนกัน หรือว่าจะจำนางได้?
ไม่ใช่หรอกกระมัง แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะแต่งกายเป็นชาย แต่ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ดูเป็นคุณชายจริงๆ แต่ตอนนี้นางดูเหมือนขอทานคนหนึ่งที่ไม่มีใบหน้า เขาจะจำนางได้อย่างไรกัน
จ้านถิงเฟิงกวาดตามองไปที่เนี่ยหานซิงและเฟิ่งชิงหัว จากนั้นจึงมองไปที่เหยียนหรูชิง“ร่วมมือกันตรวจสอบเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ข้ามีนามว่าเฟิง แซ่จ้าน”
การที่ไม่กล่าวชื่อที่แท้จริง ก็แปลว่าไม่ต้องการให้คนนอกรู้ว่าองค์รัชทายาทเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
หลังจากนั้นคนที่เหลือก็ทยอยกันรายงานชื่อแซ่ของตัวเอง มีเพียงผู้แสวงบุญหญิงสองคนที่เอ่ยเพียงนามสกุลของสามีเท่านั้น
เหยียนหรูชิงมองไปที่เฟิ่งชิงหัวแล้วกล่าวว่า “เฟิ่งเซียว ไหนเจ้าลองว่ามาสิว่าเจ้าตรวจเจออะไรบ้าง ทำไมถึงบอกว่าสตรีนางนั้นไม่ได้ฆ่าตัวตาย”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้าแล้วก้าวขึ้นไปข้างหน้าพลางรายงานว่า “ก่อนที่ข้าน้อยจะกล่าวว่าค้นพบอะไร ขออธิบายว่าเรื่องนี้มีเรื่องที่น่าสงสัยสามข้อ ข้อแรก แม่นางคนนั้นไม่ใช่คนในพระนคร เหตุใดจึงต้องมาที่นี่หลายวันโดยไม่ยอมไปที่ไหน ข้อสอง ก่อนที่จะเกิดเรื่องกับนาง นางได้มีปัญหากับคนบางคน ข้อสามคือข้อที่สำคัญที่สุด ตระกูลของแม่นางคนนี้ยากจน แต่สัมภาระของนางกลับถูกรื้อค้น ผู้ร้ายได้เอาอะไรไปจากนาง”
เหยียนหรูชิงได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า นี่ก็คือสิ่งที่เขาตั้งข้อสงสัยไว้เช่นกัน ไม่คิดเลยว่าขุนนางชันสูตรศพที่รูปลักษณ์ไม่ได้เรื่องกลับมีความคิดอ่านที่หลักแหลมเช่นนี้ นับว่าเป็นอัจฉริยบุคคลในด้านการไขคดีอย่างยิ่ง
“แล้วอย่างไรกัน เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่พวกเจ้าต้องไปสืบ มันเกี่ยวอะไรกับพวกเราตรงไหน?” เด็กรับใช้คนนั้นแทรกพูดขึ้นมา
เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นกลับยิ้ม “แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับทุกท่าน ตอนนี้มีคนตายที่บริเวณหลังเขาแห่งนี้ คนที่อยู่ในสถานที่นี้มีโอกาสที่จะเป็นผู้ร้ายทั้งหมด ก่อนที่จะสืบเรื่องราวนี้จนกระจ่างชัด ทุกท่านจะต้องอยู่ที่วัดแห่งนี้ก่อนในช่วงเวลาไม่กี่วันนี้”
“ได้อย่างไร! แล้วถ้าพวกเราไม่ยอมจะลงเขาตอนนี้ล่ะ?” หนุ่มเจ้าสำราญคนนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเกลียดชัง
เฟิ่งชิงหัวหัวเราะ “หากทุกท่านอยากลงจากเขา แน่นอนว่าได้ แต่ว่าต้องรบกวนเชิญทุกท่านเข้ามาอยู่ในคุกของศาลาว่าการพระนครของพวกเราเพื่อรับการสอบสวน แต่ว่าทุกท่านดูมีสถานะไม่ธรรมดา หากเข้าไปอยู่ในคุกไม่รู้ว่าคนรู้จักจะเอาเรื่องนี้ไปพูดกันไปถึงไหนต่อไหน”
ตอนนั้นเจียงทาวมีท่าทางห่อเหี่ยว พลางมองไปที่ผู้ว่าศาลาว่าการพระนครในตำแหน่งประธานโดยไม่กล่าวอะไร
จ้านถิงเฟิงประสานมือคารวะ “ใต้เท้าเหยียนพวกเรามาอยู่ที่ภูเขาแห่งเป็นเวลาสามวันแล้วเพื่อสวดภาวนาให้กับท่านยาย ตอนนี้ก็……”
เฟิ่งชิงหัวรีบกล่าวว่า “คุณชายจ้านตั้งใจมาสวดมนต์ให้ท่านยายเป็นเวลาหลายวัน หากท่านยายรู้จะต้องดีใจอย่างแน่นอน ท่านพ่อท่านแม่ของท่านก็จะต้องเห็นความดีของท่าน คุณชายจ้านวางใจเถิด”
ในตอนนั้น จ้านถิงเฟิงที่ตั้งใจว่าจะใช้ข้ออ้างว่ามีภารกิจรับใช้ชาติก็ได้แต่เงียบปากและถอยกลับไปเช่นเดิม
ส่วนคนอื่นๆ นั้น ขนาดองค์รัชทายาทยังไม่กล้าโต้แย้งแล้วใครจะกล้า?
ในตอนนั้น สตรีที่สักรูปบัวเจ็ดดาวเอาไว้ที่หัวไหล่ก็ก้าวออกมาข้างหน้าแล้วมองไปที่เฟิ่งชิงหัวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงแจ่มชัด “ทำไมเจ้าถึงสงสัยว่าพวกเราเป็นหนึ่งในคนร้าย ทำไมถึงไม่ใช่ยอดฝีมือ อีกอย่างในเมื่อทุกคนบอกว่านางฆ่าตัวตายแล้วทำไมเจ้าถึงบอกว่านางไม่ได้ทำเช่นนั้น”
เฟิ่งชิงหัวมองไปที่สตรีนางนั้นด้วยความชื่นชม “แม่นางเป่ยเยว่เป็นคนหลักแหลมยิ่งนักที่ถามคำถามที่ไม่มีใครในที่นี่ถามออกมา เช่นนั้นทุกคนโปรดตามข้ามา ข้าจะอธิบายให้ทุกคนฟังอย่างละเอียด”
ระหว่างที่กล่าว เฟิ่งชิงหัวก็พาทุกคนไปยังสถานที่เกิดเหตุ ทุกคนยืนอยู่ที่ประตูแต่ก็ยังได้กลิ่นเหม็นเน่าและรู้สึกสะอิดสะเอียนเป็นอย่างมาก
เฟิ่งชิงหัวก้าวอาดๆ เข้าไปด้านใน แล้วชี้ไปที่ข้อมือของผู้หญิงคนนั้น “แม่นางลองดูนี่ หากเป็นการฆ่าตัวตาย จะต้องกรีดจากด้านบนลงล่าง บาดแผลจะต้องเริ่มจากตื้นไปลึกถูกหรือไม่ แต่แม่นางลองดู รอยมีดอันนี้ราบเรียบ เสมือนฟันไปเพียงครั้งเดียว เห็นชัดว่าอาศัยตอนที่นางหมดสติเอามีดยัดใส่มือขวาของนาง แล้วกุมมือขวาของนางเพื่อกรีดลงไป หากเป็นยอดฝีมือจริงๆ ไม่มีความจำเป็นต้องตบตาแบบนี้”
เซียวเป่ยเยว่พยักหน้า ดูจากท่าทางแล้วน่าจะยอมรับคำพูดของเฟิ่งชิงหัวแล้ว
ทว่าหลังจากนั้น เซียวเป่ยเยว่กลับมีปฏิกิริยาบางอย่างขึ้นมาอีก เพราะนางไม่เคยบอกว่าตัวนางมีนามว่าเป่ยเยว่ เพียงแค่บอกว่าตอนเองแซ่เซียวเท่านั้น
“เจ้าเป็นใคร” เซียวเป่ยเยว่หรี่ตามองพลางเอ่ยถาม
เฟิ่งชิงหัวหัวเราะ แล้วกะพริบตาปริบๆ “ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าค่อยๆ เดาไป”
ระหว่างที่กล่าวก็เอานิ้วมือเกี่ยวไปที่มือของจ้านเป่ยเซียวที่กุมกระบี่เอาไว้ เซียวเป่ยเยว่เตรียมจะชักกระบี่ออกมาด้วยสีหน้าคร่ำเครียด ในตอนนั้นเองกลับได้ยินเสียง “ฉึก” ดังขึ้น
ไม่เพียงแค่เซียวเป่ยเยว่เท่านั้น แต่ทุกคนที่อยู่ตรงปากประตูมีสีหน้าเปลี่ยนไป สายตาของทุกคนมองไปที่ผู้ชายที่อยู่ด้านข้างศพร่างนั้น
ทุกคนเห็นชายผู้นั้นเอามือหยิบของออกมาจากในท้องของร่างผู้เสียชีวิตด้วยสีหน้าเรียบเฉย โดยไม่รู้ว่าของสิ่งนั้นคืออะไรเนื่องจากชุ่มไปด้วยเลือด
“แหวะ” คนบางคนที่ได้เห็นภาพเช่นนี้ถึงขั้นทนไม่ได้อาเจียนออกมาทันที
เซียวเป่ยเยว่ที่อยู่ใกล้ผู้ชายที่มือเปื้อนเลือดคนนั้นมากที่สุด ถอยหลังหนีอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เฟิ่งชิงหัวกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบว่า “ตามสีของเลือดและตำแหน่ง ข้าน้อยพอเดาของสิ่งนี้ได้ว่า เป็นของที่ผู้ตายรู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตรายแล้วกลืนลงไป”
เหยียนหรูชิงมองไปที่ของสิ่งนั้นแล้วเอ่ยปากออกมาทันที “ของชิ้นนี้ ทำไมถึงเหมือนแหวนนิ้วโป้งนัก”
เฟิ่งชิงหัวพยักหน้า “สายตาของใต้เท้าเฉียบขาดนัก เป็นแหวนนิ้วโป้งจริงขอรับ ดูจากสีแล้ว มูลค่าน่าจะไม่น้อย ข้าขอเอามันไปล้างดูก่อนสักหน่อยว่าหน้าตาที่แท้จริงของมันเป็นอย่างไร”
ระหว่างที่กล่าว เฟิ่งชิงหัวก็เดินไปที่บ่อน้ำแล้วตักน้ำขึ้นมาครึ่งถัง จากนั้นจึงโยนแหวนนิ้วโป้งลงไปแล้วล้างสองสามครั้งก่อนจะยกขึ้นมา
แหวนนิ้วโป้งนั้นสะท้อนแสงวิบวับสีเขียวเข้มภายใต้แสงอาทิตย์ ดูแล้วไม่ใช่ของธรรมดา