“นั่นจะได้อย่างไร!” หนานกงจี๋กล่าวอย่างไม่พอใจ “ใต้เท้าเหยียน จะดีร้ายอย่างไรท่านก็เป็นถึงขุนนาง อย่างน้อยก็ต้องศึกษาเล่าเรียนมารยาทมาบ้างกระมัง วันนี้หากข้าปล่อยให้ท่านบุ่มบ่ามเข้าไปด้านในแบบนี้ พรุ่งนี้จวนเฉิงเซี่ยงของพวกเราคงขายหน้าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วกระมัง”
เหยียนหรูชิงได้ยินเขาพูดเช่นนั้นกลับไม่โกรธ แต่กลับผายมือแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อใต้เท้าเฉิงเซี่ยงกล่าวเช่นนี้ หากข้าเชิญหมอเข้าไปดูอาการด้านในคงไม่ทำให้คุณหนูสามต้องขายหน้ากระมัง”
“ท่านบอกว่าเขาคือหมอ เขาก็คือหมอแล้วงั้นหรือ เหยียนหรูชิง จู่ๆ ท่านพาคนเข้ามาในเรือนของพวกเราแบบนี้ด้วยวัตถุประสงค์ใดกันแน่ ข้าขอเตือนท่านไว้ก่อนนะ ท่านรีบไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”
“หนานกงจี๋ ท่านพยายามปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ หรือว่าในใจของท่านมีเจตนาไม่ดี? ข้าขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยนะ ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของท่านข้ารู้ดี ท่านรีบหลีกทางไปเดี๋ยวนี้ หากทำให้ต้องเสียเรื่องใหญ่ ผลที่ตามมาท่านคนเดียวจะรับมือไม่ไหว!” เหยียนหรูชิงสีหน้าแข็งกระด้าง พลางจ้องไปที่หนานกงหนานกงจี๋อย่างเอาเรื่อง
“หากข้าไม่ยอมแล้วเจ้าจะทำอย่างไร” หนานกงจี๋ตวาดเสียงแข็ง คนที่ปกติแล้วเข้าได้กับทุกคนวันนี้กลับเป็นคนที่ไม่เข้าใจเหตุผลเสียแล้ว ทำให้เหยียนหรูชิงที่มีความสงสัยในใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งมีความสงสัยมากขึ้นไปกว่าเดิมอีก
ดังนั้นเหยียนหรูชิงจึงกล่าวว่า “หนานกงจี๋ อาการป่วยของลูกสาวท่านมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโรคระบาด หากท่านไม่อยากให้โรคระบาดไปทั่วทั้งจวนเฉิงเซี่ยงก็รีบให้หมอเข้าไปตรวจดูเถิด หากรอช้าจนโรคแพร่กระจาย ผลที่เกิดตามมาท่านต้องแบกรับเอาไว้เพียงคนเดียว!”
“โรคระบาด? ตลกสิ้นดี! เหยียนหรูชิง ท่านคิดว่าข้าจะตกใจกลัวเพราะท่านงั้นหรือ”
“แล้วท่านแน่ใจได้อย่างไรว่านั่นไม่ใช่โรคติดต่อ” เหยียนหรูชิงกล่าวเสียงแข็ง
“ข้าบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ไง! นั่นเป็นเพียงอาการภูมิแพ้ทั่วๆ ไปเท่านั้น” หนานกงจี๋กล่าวเสียงแข็ง
เหยียนหรูชิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มออกมา “ใต้เท้าหนานกงเพิ่งจะบอกไปเองไม่ใช่หรือว่าลูกสาวของตัวเองไม่เป็นอะไร ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็นโรคภูมิแพ้ทั่วๆ ไปไปได้ล่ะ”
“ท่านอย่ามาตุกติกกับข้า!” ความรู้สึกของหนานกงจี๋หนักอึ้ง พลางจ้องไปทางผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาที่คมปลาบ
“ข้าบอกท่านไปแล้วว่าข้าไม่มีอารมณ์มาต่อเถียงกับท่าน ข้ามาที่นี่ก็เพียงเพราะเรื่องคดีเท่านั้น วันนี้ลูกสาวของท่านอาจมีความข้องเกี่ยวกับคดีที่ข้าทำอยู่ และข้าสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับโรคระบาด”
“คดี คดีอะไรกัน?” หนานกงจี๋ขมวดคิ้ว
“วันนี้ยังไม่สะดวกที่จะอธิบาย แต่โดยสรุปแล้ว เกี่ยวข้องกับอาการแปลกๆ ของลูกสาวท่าน” เหยียนหรูชิงกล่าว
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าลูกสาวของข้าเกี่ยวข้องกับคดีของท่าน” หนานกงจี๋จับประเด็นสำคัญได้อย่างรวดเร็ว
เหยียนหรูชิงแอบก่นด่าในใจ เจ้าสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ไม่ยอมเสียเปรียบเลยแม่แต่นิดเดียว เมื่อครู่นี้ตนเผลอแป๊บเดียว เขาก็หันกลับมาเล่นงานตนแล้ว
เมื่อเห็นเหยียนหรูชิงลังเลไม่ตอบ หนานกงจี๋ก็หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา “ใต้เท้าเหยียน พูดจาส่งเดชไร้หลักฐาน นี่คือนิสัยของคนจากศาลาว่าการพระนครงั้นหรือ หรือว่าเป็นประเพณีของจวนเหยียนกันแน่”
“ตอนนี้ข้ายังไม่สะดวกที่จะเปิดเผยรายละเอียด” เหยียนหรูชิงกล่าวเสียงแข็ง
หนานกงจี๋แค่นหัวเราะ “เหยียนหรูชิง ทุกคนล้วนเป็นขุนนางกันทั้งนั้น คำพูดไร้ความรับผิดชอบแบบนั้นอย่าพูดออกมาเลย ต่อให้ท่านไม่พูด ข้าก็รู้ว่าเป็นใคร ลูกสาวคนรองของข้าบอกท่านใช่หรือไม่”
เหยียนหรูชิงไม่บอก ก็นับว่าเป็นการยอมรับกลายๆ แล้ว ในใจของเขาจึงรู้สึกละอายต่อพระชายาอ๋องเจ็ดขึ้นมา
หลังจากนั้นก็ได้ยินหนานกงจี๋เอ่ยว่า “ในเมื่อลูกสาวคนรองของข้าเป็นคนพูด เช่นนั้นตอนนี้ ท่านบอกมาได้แล้วว่าคุณหนูสามของข้าเกี่ยวข้องกับคดีนี้ได้อย่างไร”
เหยียนหรูชิงได้แต่เล่าเรื่องศพที่มีรอยแดงปรากฎทั้งหมดให้เขาฟัง และยังเล่าเรื่องที่พระชายาบอกว่ารอยแดงที่ปรากฏเกิดจากพิษไม่ได้เกิดจากโรคระบาด และยังกล่าวอย่างละเหี่ยใจว่า “ที่พระชายาเล่าเรื่องคุณหนูสามให้ข้าฟังก็เป็นเพราะว่าความหวังดี ท่านอย่าโทษนางเลย”