เมื่อหนานกงจี๋ได้ยินว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเฟิ่งชิงหัว เขาก็หรี่ตาลง “นางบอกว่า ลูกสามเป็นโรคประหลาดงั้นหรือ”
เหยียนหรูชิงส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่ พระชายาบอกว่านางเคยเห็นอาการเช่นนี้ และนี่คืออาการที่เกิดจากพิษ ไม่ใช่โรคระบาด พิษที่คุณหนูสามโดนเป็นเพียงระยะแรกเท่านั้น แต่ว่าข้าไม่กล้ายืนยันส่งเดช จึงมาที่จวนเฉิงเซี่ยงเพื่อขอหลักฐานก่อน หากเป็นโรคระบาดจริงที่ไหนที่จวนเฉิงเซี่ยงและคนตระกูลเฉิงเซี่ยงอยู่จะต้องกักบริเวณ แต่หากเป็นพิษก็ต้องยืนยันให้ได้ก่อนว่าเป็นพิษจริงๆ”
หนานกงจี๋ได้ยินเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่สามารถจัดการได้ และต้องยืนยันให้ได้เรื่องหนึ่งว่า หากเกิดจากพิษยังนับว่าไม่เป็นไร แต่หากเป็นโรคติดต่อ จวนเฉิงเซี่ยงของเขาจำต้องยอมรับความผิดข้อนี้เอาไว้เอง
หลังจากแยกความหนักเบาและความเร่งด่วนได้แล้ว หนานกงจี๋ก็เอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เชิญใต้เท้าเหยียนและหมอทุกท่านตามข้ามา”
ทุกคนพากันเดินไปยังเรือนหลังที่หนานกงลู่ซิ่วอาศัยอยู่ เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้ว ท่านน้าสุ่ยที่อยู่ข้างเตียงก็ลุกขึ้นยืนทันที แล้วมองมาที่หนานกงจี๋อย่างหวาดกลัว “นายท่าน เกิดเรื่องอะไรขึ้นเจ้าคะ”
หนานกงจี๋ไม่สนใจนาง เขาชี้ไปที่เตียงพลางกล่าวว่า “ใต้เท้าเหยียนดูเอาเถิด ตอนนี้อาการของลูกสาวข้าเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ยังไม่ได้สติ ลูกสาวคนโตของข้าพอรู้เรื่องการแพทย์บ้าง ข้าก็ให้นางมาดูให้แล้ว แต่หมอหลวงไม่เพียงบอกว่านางไม่ได้ป่วยเท่านั้น ลูกสาวคนรองของข้ายังไม่ได้บอกด้วยว่านางเป็นอะไร”
หมอคนนั้นเดินเข้าไปตรวจสอบดู จากนั้นส่ายหน้ากับเหยียนหรูชิง “คุณหนูสามปกติดี ไม่มีอาการของคนป่วยและร่องรอยของยาพิษ และดูไม่เหมือนโรคติดต่อด้วย แต่หากเป็นโรคติดต่อ เมื่อเกิดอาการปรากฏบนร่างกายแล้ว ชีพจรก็มักจะบ่งบอกได้เช่นกัน แต่ว่าคุณหนูสามร่างกายปกติทุกอย่าง”
เมื่อได้ยินคำว่าโรคติดต่อ ท่านน้าสุ่ยที่อยู่ด้านข้างก็โวยวายขึ้นมา “ไม่ใช่โรคติดต่อ ลูกสาวของข้าแค่ร่างกายอ่อนแอเท่านั้นเลยเกิดอาการแพ้ หมอหลวงมาตรวจแล้วก็ไม่พบอาการใด นางเป็นแค่โรคทั่วๆ ไปเท่านั้น คุณหนูรองมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับลูกสาวของข้าเลยพูดจาเหลวไหล พวกท่านอย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของนางนะ!”
“คือ” หมอลังเลพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าเหยียน ระหว่างนี้ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าอาการของคุณหนูสามคืออาการเดียวกับที่ปรากฏบนร่างของศพพวกนั้นได้ บางทีอาจจะเป็นเพียงอาการที่คล้ายคลึงกันก็เท่านั้นขอรับ”
“ศพอะไร ศพมาเกี่ยวอะไรด้วย” ท่านน้าสุ่ยได้ยินดังนั้น นางก็หนาวสันหลัง ดวงตาของนางหรี่เล็กจ้องไปทางหมอท่านนั้น
“บริเวณกอต้นกกนอกเมืองปรากฏศพสองสามร่างที่มีรอยแดงบนร่างอยู่ทั่ว ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับของคุณหนูสาม แต่ว่าบนตัวของคุณหนูสามปรากฏเพียงร่องรอยบางส่วนเท่านั้น แต่ศพพวกนั้นไม่เพียงปรากฏตามร่างกายเท่านั้นแต่ยังปรากฏตามใบหน้าด้วย ทำให้แยกแยะใบหน้าไม่ออก” หมอกล่าว
ท่านน้าสุ่ยได้ยินดังนั้นก็ถอยหลังไปสองสามก้าว ในหัวของนางปรากฏคำพูดที่คุณหนูรองพูดขึ้นในวันนั้น
หนานกงจี๋ไม่ใช่พ่อที่ดี ของติดตัวของผู้หญิงของเขา เขาล้วนเป็นคนทำลายเองทั้งหมด
หากไม่ใช่เพราะคุณหนูรองช่วยลูกสาวของตนเองเอาไว้และให้ตนเองช่วยปิดบัง เช่นนั้นป่านนี้ศพเหล่านั้นคงจะเป็นลูกสาวของตนแล้วใช่หรือไม่?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ท่านน้าสุ่ยก็ตัวสั่นขึ้นมาและมองไปทางหนานกงจี๋โดยสัญชาตญาณ และเห็นเขามองไปที่ใบหน้าของลูกสาวตนเองด้วยสายตาห่างเหิน
หัวใจของนางกระตุกวูบจึงรีบเดินเข้าไปกล่าวว่า “นายท่าน! ท่านพูดอะไรหน่อยสิ ลูกสาวของเราแค่เป็นภูมิแพ้เท่านั้น ไม่กี่วันเดี๋ยวก็หาย จะโดนพิษได้อย่างไรและยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นโรคติดต่อ ท่านว่าอย่างไร?”
หนานกงจี๋หลุดจากภวังค์ จากนั้นจึงพยักหน้าและกล่าวว่า “ใช่แล้ว เรื่องนี้ยังไม่มีใครสามารถยืนยันได้ บางทีลูกสาวของข้าอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้เลย เพราะนางอยู่ในจวนไม่เคยไปที่ไหน ไม่มีทางที่จะแตะต้องของพวกนั้นได้”
เหยียนหรูชิงเองก็ไม่สามารถยืนยันได้ ได้แต่มองคนที่นอนอยู่บนเตียงแล้วพยักหน้า “ไม่สามารถยืนยันได้จริงๆ เช่นนั้นวันนี้เอาไว้เท่านี้ก่อน หากวันหน้ามีอะไรคืบหน้า ข้าค่อยมารายงานกับใต้เท้าหนานกงอีกครั้ง ทว่าช่วงนี้ ใต้เท้าลาพักอยู่ที่จวนจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องเข้าวังไปพบฝ่าบาท”
“ตกลง ข้าจะเขียนจดหมายไปรายงานเรื่องนี้กับฝ่าบาท” หนานกงจี๋เอ่ยและส่งทุกคนกลับ
เมื่อทุกคนกลับกันไปหมดแล้ว ท่านน้าสุ่ยจึงปิดประตู หนานกงลู่ซิ่วที่หมดสติมาตลอด ตอนนี้กลับลืมตาขึ้นแล้วกัดฟันเอ่ยว่า “ท่านแม่ ไอ้แก่มันคิดจะทำร้ายข้า หากไม่ใช่เพราะพี่รองช่วยไว้ ป่านนี้คนที่จะมีจุดจบเช่นคนพวกนั้นก็คือข้า!”