เฟิ่งชิงหัวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม: “ขอบคุณใต้เท้าเฉิงเซี่ยงมากที่เตือน เพียงแต่ว่าข้าคนนี้น่ะเหรอชอบคุยโวโอ้อวดมาโดยตลอด โดยทั่วไปต่างเป็นคนอื่นที่กลัวข้า เกรงใจข้า สำหรับคนพวกนั้นที่ไม่กลัวข้า ตอนนี้ข้าก็ไม่เคยได้พบเจออีกเลย”
คำพูดที่พูดนี้สามารถบอกได้ว่าดูอวดดีมาก ราวกับว่าเป็นการกล่าวเตือนจากหนานกงจี๋
อย่ายั่วข้า ระวังจะทำให้เจ้าแม้แต่ตายก็ยังไม่รู้
“พอแล้วล่ะ อย่ารบกวนเฉิงเซี่ยงจัดการเรื่องในครอบครัวเลย ไปเถอะ” เฟิ่งชิงหัวรับคำออกมาหนึ่งคำ พาคนมาอย่างโอ่อ่าเปิดเผย ก็กลับออกไปอย่างโอ่อ่าเปิดเผยเช่นกัน
เฟิ่งชิงหัวก็เลยพาท่านน้าสุ่ยเข้าวังหลวงไปด้วยเลย ถือโอกาสหลังจากที่หมอหลวงตรวจอาการเสร็จแล้วไปออกใบสั่งยา เฟิ่งชิงหัวจับไปยังจุดใหญ่บนชีพจรหลายจุดบนร่างของหนานกงลู่ซิ่ว เดิมทีคนที่เป็นลมหมดสติไปแล้วนั้นจู่ๆ ก็ได้สติขึ้นมา
“พี่รอง” หนานกงลู่ซิ่วกล่าวออกมาด้วยอาการประหลาดใจ แล้วก็จะลุกขึ้นมาตามสัญชาตญาณ
“ตอนนี้เวลากระชั้นชิด ไม่มีเวลาฟังเจ้าค่อยๆ พูดร่ำไร ข้าถามเจ้าตอบ” เฟิ่งชิงหัวกล่าว
หนานกงลู่ซิ่วพยักศีรษะติดต่อกัน
“หลังจากเจ้าถูกส่งเข้าไปอยู่ที่เรือนนอก เห็นอะไรบ้าง?”
“ด้านในเรือนนอก อาศัยอยู่หลายคน คนพวกนั้นไม่ใช่คนของเทียนหลิง พวกเขาทั้งหมอต่างมีผ้าปิดหน้า มีเพียงดวงตาหนึ่งคู่เท่านั้น คำพูดที่พูดข้าก็ฟังไม่เข้าใจ”
“เจ้าถูกพวกเขาจับได้งั้นหรือ?”
หนานกงลู่ซิ่วพยักหน้า: “เปล่า คือมีวันหนึ่งข้ากำลังอยู่ในห้อง มีคนผู้หนึ่งพุ่งเข้ามา อยากจะทำมิดีมิร้ายข้า จากนั้นข้าก็ตีคนจนหมดสติไปแล้ววิ่งออกไป ต่อมาข้าก็ถูกคนจับกลับไป ข้าเห็นหนานกงจี๋กำลังพูดกับคนผู้นั้น ท่าทีดูเป็นกันเองมาก ต่อมาอีกข้าก็ถูกป้อนอะไรบางอย่างเข้าไป พอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็เห็นท่านและท่านแม่แล้ว”
“ก่อนหน้าที่หนานกงจี๋ต้องการจะให้เจ้าไปทำอะไร?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวถาม
หนานกงลู่ซิ่วกล่าวว่า: “ตอนเริ่มแรกเขาวางแผนว่าจะให้ข้าไปรับรองคนพวกนั้น แต่ว่าไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ เขาก็ไม่อนุญาตให้ข้ามีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับพวกเขาเลย แม้กระทั่งให้ข้าอยู่ไกลจากคนพวกนั้นมากหน่อยด้วย
จุดนี้หนานกงลู่ซิ่วก็ยังไม่อาจเข้าใจได้จวบจนทุกวันนี้
พอได้ยินเสียงฝีเท้า เฟิ่งชิงหัวกล่าวเสียงเบาลง: “ข้าจะสกัดไปยังจุดชีพจรของเจ้าชั่วคราว เจ้าอาจจะรู้สึกถึงโลกหมุนได้ แต่ว่าจะไม่รู้สึกตัวขึ้นมา ช่วงเวลานี้ข้าจะคิดหาทางพาเจ้าออกไปให้ได้”
จากนั้นก็สกัดไปยังจุดชีพจรของหนานกงลู่ซิ่ว นางก็หมดสติไปเลยในทันใด
เฟิ่งชิงหัวออกมาจากประตูห้อง ท่านน้าสุ่ยรีบเดินเข้ามา รอยบาดแผลที่อยู่บนร่างของนางก็ถูกหมอหลวงพันแผลให้เรียบร้อยแล้ว: “คุณหนูรอง……”
“ช่วงนี้ท่านก็อยู่ในวังหลวงก็แล้วกัน ข้าจะส่งคนมาคุ้มกันพวกท่าน จำเอาไว้ว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องการจะพบท่าน ท่านจะไปไม่ได้เด็ดขาด ใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น เข้าใจใช่ไหม?”
“เพคะ ข้าทราบแล้ว คุณหนูรอง ขอบคุณท่านมา เมื่อก่อน”
“เจ้าไม่ต้องกล่าวขอบคุณข้า แล้วก็ไม่ต้องกล่าวขอโทษด้วย ข้าไม่ต้องการ” พูดจบ เฟิ่งชิงหัวก็เดินออกมาจากเรือนหมอหลวงทันที
เพิ่งออกมาจากประตูใหญ่ ก็เห็นด้านนอกมีเกี้ยวหลังหนึ่งจัดขบวนอยู่ จ้านเป่ยเซียวก็นั่งประทับอยู่บนนั้น เอนพิงอยู่ บนมือกำลังหมุนป้ายหยกลายมังกรชิ้นนั้นของเขาเล่นอยู่
“เจ้าเหตุใดจึงเข้าวังมาได้?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยความสงสัย
“ได้ยินว่าพระชายาของข้าปั่นป่วนจนจวนเฉิงเซี่ยงสะเทือนกันไปเลย ข้าเป็นกังวล”
“กังวลอะไร? กังวลข้าเกิดเรื่องงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
“เปล่า ข้าเป็นกังวลว่าพวกเขาจะถูกเจ้าจัดการจนน่าเวทนาจนเกินไป เข้าวังมากล่าวโทษเจ้า ดังนั้นก็เลยรีบมาสังเกตการณ์แทนพระชายา แต่ว่าตอนนี้ดูไปแล้วก็ไม่นับว่าน่าเวทนาจนเกินไป” มุมปากของจ้านเป่ยเซียวยกขึ้นแล้วกล่าวออกมา
“วางใจได้ ข้ามีแผนในใจอยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะกล่าวโทษมาข้าก็ไม่กลัว อีกอย่างเขามีหน้ามากล่าวโทษงั้นเหรอ?” เฟิ่งชิงหัวเม้มปากแล้วกล่าวออกมา