“คงจะไม่ใช่หรอก แต่เลือดสามารถผสมเข้ากันได้ ต่อให้ไม่ใช่แม่ลูก ก็น่าจะมีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกัน”
“หืม ?” เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้ว จากนั้นก็เดินเข้าไปตรวจชีพจรให้กับนางหยู
อู่ตู๋จื่อยืนมองอยู่ข้าง ๆ อย่างเป็นกังวล เกรงว่าสิ่งที่ตนเองสืบรู้มาจะไปในทิศทางเดียวกับของอาจารย์ย่า
ผ่าไนไปสักพัก เฟิ่งชิงหัวก็เลิกคิ้ว นางจำได้ว่าครั้งก่อนตอนที่อยู่ในห้องลับ ร่างกายของนางหยูเป็นเหมือนกับหญิชราที่กำลังจะสิ้นลม อาจกลายเป็นมัมมี่ได้ทุกเมื่อเพราะเลือดลมหมุนเวียนไม่เพียงพอ แต่ทว่าตอนนี้ เฟิ่งชิงหัวกลับพบว่า ถึงแม้นางหยูจะเลือดลมหมุนเวียนไม่เพียงพอ แต่ร่างกายกลับกำลังซ่อมแซมตนเองอย่างอัตโนมัติ แม่แต่เส้นลมปราณที่ถูกปิดกันเอาไว้และสติสัมปชัญญะ ก็กำลังอยู่ในกระบวนการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
หรือพูดได้ว่า อีกไม่นานนัก นางหยูก็จะหายเป็นปกติ
ตอนนี้เฟิ่งชิงหัวเกือบจะมั่นใจอย่างเต็มที่ว่า พลังลมปราณที่แข็งแกร่งของตนเองนั้น ล้วนได้รับการถ่ายทอดมาจากนางหยู
เลือดของเฟิ่งชิงหัวสามารถถอนพิษได้นานาชนิด ส่วนของนางหยูก็ยิ่งเยี่ยมยอดกว่า แม้กระทั่งสติสัมปชัญญะและเส้นลมปราณก็สามารถฟื้นฟูด้วยตัวเองอย่างอัตโนมัติ
ดูเหมือนว่าที่หนานกงจี๋กักขังนางหยูเอาไว้ก็ด้วยสาเหตุนี้
ศพสีแดงเหล่านั้นเกิดจากการกลายพันธุ์ขงเลือด หรือว่านี่จะเกี่ยวข้องกับที่หนานกงจี้ขังนางหยูเอาไว้แล้วนำเลืดออกมา ?
เฟิ่งชิงหัวไม่กล้าด่วนสรุป แต่มีการคาดเดาเช่นนี้อยู่ภายในใจ
ตอนนี้มีเพียงสองทางคือจู่ ๆ นางหยูก็กลับมาเป็นปกติและบอกเล่าเหตุผล หรือไม่ก็ต้องรอให้การส่งคนไปสะกดรอยตามหนานกงจี๋ของจ้านเป่ยเซียว ได้ข้อสรุปออกมา
“อาจารย์ย่า ท่านตามหาแม่ของท่านมานานหลายปีแล้วไม่ใช่หรือ ตอนนี้ในที่สุดก็หาเจอแล้ว ควรบอกข่าวดีนี้กับทุกคนหรืไม่ ?” อู่ตู๋จื่อพูดอย่างตื่นเต้น
เฟิ่งชิงหัวส่ายหัว : “ตอนนี้ยังก่อน ตอนนี้อาการของท่านแม่ยังไม่คงที่ และยังไม่รู้ถึงสาเหตุรวมไปถึงตัวคนที่ทำร้ายนาง จีงยังไม่ควรกระโตกกระตากไปก่อน”
“ขอรับ เป้าหมายในการลงจากเขาของท่านครั้งนี้ สำเร็จไปหนึ่งอย่างแล้ว รอให้จับคนทรยศเหลียนเจี้ยงนั่นให้ได้เสียก่อน ก็นับว่าท่านผ่านการทดสอบของบรรดาผู้อาวุโสแล้ว สามารถรับตำแหน่งต่อได้ ศิษย์หลานรู้สึกดีใจแทนท่านจริง ๆ” อู่ตู๋จื่อแทบยืนไม่ติด และพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
เฟิ่งชิงหัวกลับยิ้มเพียงเล็กน้อย ทำให้ยากจะเดาออกว่า นางเก็บความรู้สึกยินดีเอาไว้ในใจ หรืออันที่จริงนางไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิด
“ช่วงนี้ซีหลันยังมาที่นี่อีกไหม ?” เฟิ่งชิงหัวเอ่ยถาม
“ขอรับ มาแทบทุกวัน รอบแผลเป็นบนใบหน้าของนางยังไม่หายดี หลายครั้งที่มาล้วนอารณ์ไม่ดี และทำลายข้าวของไปหลายชิ้น” อู่ตู๋จื่อพูดด้วยความโมโห
นับว่าเขาเป็นหมอเทวดาผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพ ใคร ๆ ต่างก็ต้องคุกเข่าอ้อนวอนให้เขาไปรักษาทั้งนั้น แต่องค์หญิงซีหลันผู้นี้กลับสำคัญตนผิด ทุกครั้งที่มาต้องเอะอะโวยวาย ซ้ำยังกล้าด่าทอเขาว่าเป็นหมอชั้นปลายแถว หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ย่าสั่งเอาไว้ นางไม่มีทางก้าวเข้ามาในนี้ได้เด็ดขาด
เมื่อเฟิ่งชิงหัวคิดว่านางอาจมีความเกี่ยวข้องกับท่านแม่ของตนเอง ในที่สุดก็เกิดความเห็นอกเห็นใจขึ้นมา : “ช่างเถอะ หากวันนี้นางมาอีกครั้ง เจ้าก็เริ่มรักษาให้นางเถอะนะ”
“ขอรับ”
เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจพูดออกมาว่า : “เตรียมรถม้าให้ข้าหนึ่งคัน ข้าจะพาท่านแม่กลับไป”
“กลับไป ? ตอนนี้อาจารย์ย่าพักอยู่ที่ไหนขอรับ ?” อู่ตู๋จื่อถามด้วยความสงสัย
เฟิ่งชิงหัวได้ยินเช่นนี้ถึงฉุกคิดขึ้นได้ ตอนนี้ตนเองอยู่ในจวนอ๋องเจ็ด หากตนเองพาท่านแม่กลับไป จะเป็นการไม่เหมาะสมหรือไม่ ?
แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ของหยูจีในตอนนี้ หากปล่อยให้อยู่ด้านนอก นางก็ไม่รู้สึกวางใจเลยสักนิด ตอนนี้หนานกงจี๋กำลังเป็นสุนัขจนตรอก หากหาที่นี่พบขึ้นมา หรือไม่อาจเป็นเพราะที่นี่มีคนอยู่หนานแน่น หากมีใครเห็นท่านแม่ขึ้นมาคงไม่เป็นการดี เมื่อคิดได้ดังนั้น เฟิ่งชิงหัวก็ตัดสินพากลับไปจวนอ๋องเจ็ด ถ้าหากเข้ากล้าไม่ให้ท่านแม่พักอยู่ที่นั่น นางก็จะพาท่านแม่ย้ายออกมา
ดังนั้น เฟิ่งชิงหัวจึงขี่รถม้ากลับจวนไป
เพิ่งลงจากรถม้า หลิวหยิ่งก็ออกมาต้อนรับ : “พระชายา พระองค์ทรงกลับมาได้เวลาพอดี ท่านอ๋องกำลังจะส่งคนออกตามหาท่านนะ”
“อ้อ รอเดี๋ยว” ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็หันหลังกลับไปอุ้มนางหยูขึ้นมา แล้วเดินตรงกลับไปยังลานของตนเอง
ทันทีที่เข้าไปถึงด้านใน ก็เห็นจ้านเป่ยเซียวกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือของนาง
เฟิ่งชิงหัววางนางหยูลงบนเตียงของตนเอง และค่อย ๆ ห่มผ้าห่มให้กับนางอย่างเบามือ จากนั้นจึงตรวจดูชีพจรอีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีปัญหาอะไร จึงได้เงยหน้าขึ้น
พบเข้ากับจ้านเป่ยเซียวที่ไม่รู้ว่าเข้ามายืนอยู่ด้านหลังของนางตั้งแต่เมื่อไร และตอนนี้ก็กำลังมองพิจารณาคนที่อยู่บนเตียง
เฟิ่งชิงหัวปลอมแปลงใบหน้าให้หยูจีเรียบร้อยแล้ว ใบหน้านี้มองเห็นความงามเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ร่างกายของนางแสดงออกถึงความอ่อนแอและผอมซูบอย่างชัดเจน
“คนผู้นี้เป็นใคร ?” จ้านเป่ยเซียวถามอย่างสุขุม
“ท่านแม่ของข้า” เฟิ่งชิงหัวตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ท่านแม่ ?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว
“อืม”
“นางเป็นอะไรไป ?”
“ไม่สบาย”
“อ้อ”
บทสนทนาของทั้งสองจบลงอย่างกะทันหัน
เฟิ่งชิงหัวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้งว่า : “ช่วงนี้ท่านแม่ของข้าจะพักอยู่ในจวน”
“อืม อีกเดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนไปจัดเตรียมลานเอาไว้ให้”
เฟิ่งชิงหัวเตรียมใจไว้แล้วว่า จ้านเป่ยเซียวอาจฉวยโอกาสเสนอเงื่อนไขที่เผด็จการออกมา แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะยินดีเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะหันหน้ากลับไปมองเขา
คนผู้นี้ รู้ว่านางคือหนานกงเยว่ลั่วตัวปลอม แต่กลับไม่ไต่ถามฐานะที่แท้จริงของนาง ทำเพียงแค่ถามชื่อของนางเท่านั้น
เขาไม่สนใจฐานะของนางจริง ๆ หรือเป็นเพราะมั่นใจว่าจะคาดเดาฐานะของนางออกมาได้กันแน่ ?
“เรื่องที่ท่านแม่ของข้าพักอยู่ในจวนอ๋อง ห้ามแพร่งพรายออกไป”
“วางใจเถอะ ข่าวสารที่จวนอ๋องเจ็ดไม่ต้องการให้เผยแพร่ออกไป แม้กระทั่งยุงตัวเดียวก็อย่าคิดว่าจะนำออกไปได้” จ้านเป่ยเซียวรับปาก
ดังนั้นข่าวสารก่อนหน้านี้เหล่านั้น ท่านล้วนจงใจหรือ ? เฟิ่งชิงหัวคิดอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าถามออกมา
จากนั้น เฟิ่งชิงหัวก็สังเกตเห็นเครื่องแต่งกายของจ้านเป่ยเซียว ยังคงเป็นชุดคลุมยาวสีดำ แต่กลับมาบางอย่างที่ดูแปลกตากว่าปกติ
ดังนั้น เฟิ่งชิงหัวจึงลุกยืนขึ้นมา ลูบคางแล้วเดินวนรอบจ้านเป่ยเซียวอยู่หลายรอบ แต่กลับยังหาสิ่งผิดปกติไม่เจอ รู้สึกเพียงว่ามีบางอย่างแปลก ๆ แต่กลับอธิบายออกมาไม่ได้
จ้านเป่ยเซียวถูกนางจ้องมองจนเกิดความสงสัย จึงขมวดคิ้ว : “ทำไม ?”
“ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าวันนี้ท่านมีอะไรแปลก ๆ ?” ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็เขยิบเข้าไปใกล้จ้านป่ยเซียว มองตรงนั้น ลูบตรงนี้ และรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกติ
จ้านเป่ยเซียวปล่อยให้นางค้นหาไปเช่นนี้โดยไม่เฉลยออกมา ผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดเฟิ่งชิงหัวก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ และชี้ไปยังผมของจ้านเป่ยเซียว : “ที่แท้ท่านก็เกล้าผม !”
ปกติแล้วมักจะปล่อยผมยาวสยาย หรือไม่ก็ใช้ยางรัดผมรัดเอาไว้ด้านหลังอย่างลวก ๆ แต่วันนี้กลับแตกต่างกันมาก
มงกุฎทองคำรัดผมครึ่งหนึ่งของเขาเอาไว้ ส่วนที่เหลืออีกอีกครึ่งก็ปล่อยยาวสยายอยู่ด้านหลัง ดูแล้วมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง
เมื่อจ้านเป่ยเซียวเห็นว่าเฟิ่งชิงหัวสังเกตเห็นแล้ว ก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย และหลบสายตาไม่มองนาง : “ผู้ชายเกล้าผมมีอะไรน่าแปลกใจกัน ตกใจจนเกิดเหตุไปได้”
“นั่นมันคนอื่น แต่ท่านไม่เหมือนคนทั่วไป วันนี้เป็นวันอะไร ทำไมท่านถึงได้ปฏิบัติตัวอย่างเป็นทางการเช่นนี้” เฟิ่งชิงหัวพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ จากนั้นจึงยกนิ้วขึ้นมานับคำนวณวัน ไม่ใช่วันสำคัญหรือเทศกาลอะไรเสียหน่อย
จ้านเป่ยเซียวหันมองเฟิ่งชิงหัวอย่างจนใจ : “ฐานะของเจ้าจอมปลอมก็แล้วไป แต่ทำไมแม้แต่ประเพณีของเทียนหลิงเจ้าก็ไม่รู้จักศึกษาเอาไว้บ้างนะ ดังนั้นเทศกาลแข่งขันเรือมังกรประจำปีเจ้าก็คงไม่รู้ใช่หรือไม่ ?”
“อะไรนะ ?” เฟิงชิงหัวตาลุกวาว ดูเหมือนกำลังได้ยินเรื่องที่ยอดเยี่ยม
“วันนี้เป็นเทศกาลแข่งขันเรือมังกรปะจำปี แต่ละจวนจะส่งคนไป คนของจวนเราไปถึงเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ขาดเพียงแค่เราสองคนเท่านั้น” ขณะที่จ้านเป่ยเซียวพูด ก็ยื่นมือออกไปจูงมือของเฟิ่งชิงหัวแล้วพูดว่า : “ดังนั้นตอนนี้ต้องรีบไปแล้ว”
“เอ๊ะ รอเดี๋ยว ส่งคนไปก็ส่งคนไปสิ แล้วการแต่งกายเช่นนี้ของท่านคือ ?” เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้ว : “ท่านคงไม่ได้จะลงแข่งขันเองหรอกนะ ?”