พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 280 พวกเขาจะรังแกท่านไม่ได้
เมื่อจ้านเป่ยเซียวได้ยินเฟิ่งชิงหัวเช่นนี้ใบหน้าของเขาก็ดำมืด จึงหันหน้าไปขมวดคิ้วมองนาง
เฟิ่งชิงหัวกล่าวโดยขยับเพียงปาก “ข้าพูดอะไรผิด? หรือว่าท่านชอบให้คนอื่นเข้าใจท่านผิด เมื่อครู่นี้ข้าเข้าใจท่านผิดท่านยังโมโหข้าเลย แต่พวกเขาเข้าใจท่านผิดท่านกลับไม่พูดอะไรเลยสักคำ นี่มันลำเอียงชัดๆ”
จ้านเป่ยเซียวกล่าวว่า “แล้วให้ข้าขัดแย้งกับเขาเรื่องอะไร”
“แล้วทำไมจะขัดแย้งไม่ได้ล่ะ ทุกคนต่างมีพ่อแม่เลี้ยงมาทั้งนั้น ทหารป้องกันประเทศมีเกียรติยศ แต่จะมาใส่ร้ายคนอื่นส่งๆ แบบนี้ไม่ได้” เฟิ่งชิงหัวกล่าวกระฟัดกระเฟียด
“ส่งๆ?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว สีหน้าของเฟิ่งชิงหัวหงอยลง แล้วกล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “มันคนละเรื่องกัน แต่อย่างไรพวกเขาจะรังแกท่านไม่ได้อยู่ดี”
จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้นก็อยากจะร้องไห้
รังแก?
ทำไมนางถึงคิดว่าเขาเป็นคนที่จะถูกรังแกได้ง่ายๆ แบบนั้นล่ะ
เว่ยหยวนได้ยินดังนั้นใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความละอายใจ จึงคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วเอามือทั้งสองประสานกัน “ท่านอ๋อง เป็นข้าเองที่ระแวงในตัวท่านถึงได้เข้าใจในตัวท่านผิดอย่างลึกซึ้งเช่นนี้ เป็นความผิดของข้าเอง ท่านอ๋องรักษาตัวท่านให้ดีเถิด ข้าจะต้องปกป้องชายแดนให้อยู่อย่างสงบสุข ข้าจะไม่ทำให้ท่านอ๋องต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”
การวิเคราะห์ของท่านอ๋องเมื่อครู่นี้เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้นึกถึงมาก่อน แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีอันตรายอะไร แต่ใครจะรู้ ว่าหลังจากนี้จะไม่เป็นอย่างที่เขาพูด และหากเป็นอย่างที่เขาพูดจริง พวกเขาจะไม่กลายเป็นคนบาปของเทียนหลิงเชียวหรือ”
หลังจากนั้นเว่ยหยวนก็เอ่ยว่า “ผู้ที่อยู่เบื้องหลังฉากกั้นลมคือพระชายาใช่หรือไม่ ขอบพระทัยที่พระชายาให้การชี้แนะ ข้าและคนอื่นๆ ตาสว่างขึ้นมามากทีเดียว
แม่ทัพคนอื่นๆ พากันทำความเคารพ “ขอบพระทัยที่พระชายาชี้แนะ ข้าและคนอื่นๆ ตาสว่างแล้ว”
เมื่อเฟิ่งชิงหัวเห็นว่าพวกเขามีท่าทีค่อนข้างจริงใจจึงกล่าวอย่างแน่นมาก “เด็กหนุ่ม พวกเจ้าอย่าใจร้อนเลย ไหล่ของพวกเจ้าแบกความรับผิดชอบจากผู้คนเป็นหมื่นๆ คน หรือว่าเรื่องราวพวกนี้ทำให้พวกเจ้าทนคำต่อว่าจากคนพวกนั้นไม่ได้?”
“หากแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้พวกเจ้ายังทนไม่ได้ จะทำให้ขวัญกำลังใจของทหารแตกสลาย ประชาชนก็คงจะตื่นตระหนกด้วยกระมัง”
ทุกคนมีสีหน้าละอายใจแล้วพยักหน้าตอบรับ
ดวงตาของเฟิ่งชิงหัวมองไปรอบๆ “แต่ข้ากลับมีวิธี ที่จะไม่ทำให้พวกเขาต่อว่าพวกเจ้าอีก”
แม่ทัพเหล่านั้นกล่าวพร้อมกันว่า “พระชายาโปรดชี้แนะ”
“ข้าได้ยินว่าคนที่อยู่นอกด่านพวกนั้น โดยมากแล้วเป็นชนเผ่าเร่ร่อน และชอบรวมตัวกันบริเวณทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์”
“ใช่แล้ว เป็นเช่นนี้ ติดตรงที่ว่าหลายเดือนที่ผ่านมานี้ พวกเขากลับมาเฝ้าอยู่นอกด่านและตะโกนต่อว่าทั้งวันทั้งคืน ช่างน่ารำคาญยิ่ง”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ซับซ้อน พวกเจ้าก็แค่เผาธัญญาหารของพวกเขาซะ หากพวกเขาไม่มีที่พึ่งย่อมจะถอยกลับไปเอง”
รอยยิ้มของเว่ยหยวนหายไป “พระชายาอาจจะไม่รู้ คนพวกนั้นฉลาดเป็นกรด ธัญญาหารของพวกเขาเอาวางไว้หลังค่าย พวกเราพยายามโจมตีหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ได้ผล”
เฟิ่งชิงหัวยิ้มพลางกล่าวว่า “หลังจากนั้นอีกสิบวันก็จะเห็นเอง ตอนนี้พวกเจ้ากลับไปชายแดนอย่างสบายใจได้เลย”
เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างมั่นใจ แต่ในใจของเว่ยหยวนกลับรู้สึกกังวลแล้วกล่าวอย่างหยั่งเชิงว่า “ท่านอ๋อง?”
“ไปเถิด”
“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง” เว่ยหยวนพาพวกถอยออกไป
หลังจากออกจากจวนแล้ว แม่ทัพคนอื่นๆ ต่างกล่าวอย่างลังเลว่า “ท่านแม่ทัพ พวกเราจะกลับไปอย่างนี้เลยหรือ คำพูดของพระชายาเชื่อได้หรือไม่”
“นั่นสิ นางไม่รู้สถานการณ์บริเวณชายแดน หากไร้ประโยชน์ การเดินทางของพวกเราครั้งนี้ไม่นับว่าสูญเปล่าหรอกหรือ”
“พวกเราสามารถปิดหูปิดตาตัวเองให้ไม่ได้ยินไม่เห็นได้ แต่ท่านจะให้พี่น้องของพวกเราคนอื่นๆ คิดอย่างไรเล่า”
เว่ยหยวนกล่าวว่า “เอาล่ะ ในเมื่อท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้แล้ว พวกเราก็แค่ทำตามที่เขาบอก อีกอย่างพวกเจ้าลืมคำพูดที่พระชายาพูดแล้วหรือ บนบ่าของพวกเราแบกความหวังและความรับผิดชอบเอาไว้ ตอนนี้ก็แค่คำด่าเพียงไม่กี่ประโยค อย่างมากพวกเราก็แค่ด่ากลับ!”
“ดีขอรับ ด่ากลับ!”
ที่จวนอ๋อง จ้านเป่ยเซียวลุกขึ้นแล้วเดินไปด้านหลังห้องโดยไม่พูดไม่จา โดยมีนางห้อยอยู่ด้านหลัง
เฟิ่งชิงหัวถามขึ้นว่า “ท่านไม่อยากรู้หรือว่าข้าจะส่งอะไรให้พวกเขา”
“ยังไงก็คงไม่ใช่ของดีอะไรหรอก”
“เฮ้อ ข้าล่ะรอวันให้พวกเขากลับมาขอบคุณข้าเลย” เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างได้ใจ
“ตอนนี้ลงไปได้หรือยัง” จ้านเป่ยเซียวกล่าวอย่างเหลืออด
“แสดงว่าท่านให้อภัยข้าแล้วใช่หรือไม่”
“เปล่า”
“อ่อ งั้นข้าไม่ลง” เฟิ่งชิงหัวกล่าวอย่างเจ้าเล่ห์ “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ต้องเดินเอง ข้าชอบอยู่ว่างๆ อยู่แล้ว”
ด้วยเหตุนี้เองเมื่อจ้านเป่ยเซียวไปที่ริมทะเลสาบ เฟิ่งชิงหัวก็เกาะอยู่บนหลังของเขาพลางชี้ไปที่ทะเลสาบแล้วกล่าวว่า “ท่านมองเห็นไหมว่าบนผิวทะเลสาบมีอะไรอยู่”
จ้านเป่ยเซียวไม่พูดอะไร เฟิ่งชิงหัวจึงพูดกับตัวเองว่า “คือความใจกว้าง ดังนั้นท่านให้อภัยข้าแล้วใช่หรือไม่”
“ไม่”
หลังจากนั้นจ้านเป่ยเซียวก็ไปพักร้อนที่ศาลา เฟิ่งชิงหัวชี้ไปที่ท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ท่านว่าก้อนเมฆก้อนนั้นเหมือนรอยยิ้มหรือไม่ ท่านเองก็ยิ้มบ้างสิ”
“ไม่เหมือน”
และไม่ว่าจะผ่านไปที่ใด เฟิ่งชิงหัวล้วนพยายามหว่านล้อมไปตลอด
“ท่านอ๋อง ท่านดูต้นไม้ต้นนั้นสิ หน้าตามันบึ้งตึงมากทีเดียว จะต้องเป็นเพราะปกติแล้วมันขี้โมโหจนไม่มีเวลาสูดอากาศบริสุทธิ์”
“ท่านอ๋อง ท่านลองดูหินก้อนนั้นสิ ทำไมถึงดูเซื่องซึมแบบนั้น เหมือนท่านไหม”
“ท่านอ๋อง ท่านดูดอกไม้ดอกนั้น……”
สุดท้ายจ้านเป่ยเซียวก็รำคาญการตามตื๊อของเฟิ่งชิงหัว “เฟิ่งชิงหัว มีใครเขาขอโทษแบบเจ้ากันบ้าง”
เฟิ่งชิงหัวได้สติกลับคืนมา “ท่านอ๋อง ไหนท่านลองว่ามาซิว่าท่านอยากได้การขอโทษแบบใด ข้าสามารถทำได้หลายอย่าง มีทุกแบบ ข้ามีรูปแบบการขอโทษที่พร้อมสรรพทุกอย่าง”
“เจ้าลงมาก่อน” จ้านเป่ยเซียวขยี้ตา
“อ่อ” เฟิ่งชิงหัวกระโดดลงมาแล้วนั่งยองอยู่บนก้อนหินอีกด้านและยังไม่ลืมที่จะเกาะแขนเสื้อของจ้านเป่ยเซียวเอาไว้ และมองเขาอย่างน่าสงสาร
จ้านเป่ยเซียว “……”
เห็นชัดๆ ว่าเขาถูกเข้าใจผิด ทำไมตอนนี้ถึงทำเหมือนว่าเขารังแกนางอย่างไรอย่างนั้น เขาต่างหากที่โดนรังแก
“รู้หรือยังว่าตัวเองทำผิดตรงไหน” จ้านเป่ยเซียวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“รู้แล้วรู้แล้ว ในใจของข้าได้สำนึกความผิดของตัวเองออกมาเป็นพันตัวอักษรแล้ว” เฟิ่งชิงหัวเอ่ย
เมื่อเห็นจ้านเป่ยเซียวเอ่ยปาก เฟิ่งชิงหัวก็รีบเอ่ยว่า “แน่นอนว่าข้ารู้ว่าท่านไม่อยากฟังคำพูดไร้สาระของข้า แต่อย่างไรก็ตามคำเป็นหมื่นเป็นพันคำก็สรุปออกมาเป็นคำพูดเดียวนั่นคือ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่น่าเข้าใจท่านผิดเลย”
จ้านเป่ยเซียว “เฮ้อ แค่พูดว่าขอโทษมันมีประโยชน์อะไร”
เฟิ่งชิงหัวชี้มาที่หน้ากากบนใบหน้าของตัวเอง “ข้าย่อมแสดงออกมาเป็นการกระทำด้วย”
“เจ้าใส่หน้ากากก็ถือเป็นการขอโทษแล้วหรือ การขอโทษของเจ้ามันไร้ราคาขนาดนี้เชียวหรือ” จ้านเป่ยเซียวยื่นมือออกไปเคาะหน้ากากที่เฟิ่งชิงหัวใส่อยู่
เฟิ่งชิงหัวเอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่ใช่ ความจริงใจของข้าอยู่ภายใต้หน้ากากนี้ หากไม่เชื่อข้าจะถอดออกมาให้ท่านดู”
ดวงตาคู่นั้นของนางคล้ายซ่อนดวงดาวเอาไว้ เป็นสายตาที่มองเขาอย่างมีความหวัง
จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าเล่นตลกอะไรอีก”
เฟิ่งชิงหัวยื่นมือมาเปิดหน้ากากของตัวเองออก เผยให้เห็นผลงานชิ้นเอกของตน
จ้านเป่ยเซียวรีบถอยหลังไปสองสามก้าว พลางชี้ไปที่ผลงานชิ้นเอกบนใบหน้าของเฟิ่งชิงหัว เขากล่าวด้วยลมหายใจปั่นป่วน “นี่เจ้าทำบ้าอะไร!”
เพราะเขาเห็นเฟิ่งชิงหัวใช้ชาดสีแดงทาโหนกแก้มทั้งสองข้าง จมูกของนางยังแต้มไฝน่าเกลียดน่ากลัวเอาไว้หนึ่งเม็ด หากพบเห็นเข้าตอนกลางคืนจะต้องตกใจผวาอย่างแน่นอน
เฟิ่งชิงหัวหันหน้ามาแล้วเอ่ยอย่างไร้เดียงสาว่า “ที่ข้าทำอยู่ก็เพื่อทำให้เข้ากับรสนิยมความงามของท่านไม่ใช่หรือ ท่านไม่อารมณ์ดีขึ้นบ้างเลยหรือ”