พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว บทที่ 298 แช่โอสถ
หลังจากเนี่ยหานซิงลุกขึ้นก็กล่าวออกมาอย่างเปี่ยมไปด้วยความปีติว่า: “งั้นอาจารย์ วันนี้พวกเราจะเริ่มเรียนอะไรกันดี?”
เฟิ่งชิงหัวลูบคางไปมา: “ยังคิดไม่ออก เจ้ามาช่วยอาจารย์เคี่ยวยาหม้อนี้ก่อนละกัน”
“ศิษย์รับคำสั่ง!” เนี่ยหานซิงเกิดความกระตือรือร้นขึ้นมา กระโดดโลดเต้นไปมาไปรอบๆ รีบพัดที่อยู่ในมือของเฟิ่งชิงหัวข้ามมือมา ก็เริ่มพัดอย่างออกแรงขึ้นมาในทันที
“อย่ารุนแรงเกินไป ยานี้ต้องใช้ไฟอ่อนในการเคี่ยว ถ้าเจ้าพัดไฟแรงเกินไป จะทำให้น้ำแห้งไปได้ ฤทธิ์ของยาก็จะลดลงอย่างมาก ก็เหมือนกับเป็นคนนั่นแหละ เมื่อเจ้าถูกกระตุ้นการเจริญเติบโต ก็คงจะโมโหมาก” เฟิ่งชิงหัวนั่งอยู่บนรั้วแล้วก็อบรมอย่างผู้ที่เหนือกว่าอยู่
“ขอรับ ศิษย์เข้าใจแล้ว” เนี่ยหานซิงก็เลยเริ่มค่อยๆ พัดอย่างเบาๆ ควบคุมไฟเอาไว้ให้ดีได้ สีหน้าค่อนข้างตั้งใจเป็นพิเศษ
“ข้าได้ยินพี่ใหญ่ของเจ้าบอกว่า เจ้าร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก? ปกติก็ไม่ได้ฝึกวรยุทธ์ได้เท่าไรนัก? ทำไมเมื่อครู่ข้าถึงรู้ว่าเจ้ายังเป็นหมัดเตะด้วย?” เฟิ่งชิงหัวเริ่มพูดคุยกับนางเรื่องหนึ่งไปยังอีกเรื่องหนึ่งอย่างต่อเนื่อง
เนี่ยหานซิงกล่าวตอบอย่างจริงจังมากว่า: “ใช่แล้ว สุขภาพร่างกายของศิษย์ไม่สู้ดีนัก ปกติก็ดูตำราตัวหนังสือเสียส่วนใหญ่ แต่ว่าท่านลุงบอกว่าชายชาตรีแม้ว่าจะไม่ได้เข้าร่วมในสนามรบ แต่ก็ควรจะต้องมีร่างกายและจิตใจที่แข็งแกร่ง ดังนั้นก็เลยสอนหมัดเตะแก่ศิษย์ แต่เมื่อเทียบกับพี่ใหญ่แล้ว มันช่างไม่ควรค่าที่จะพูดถึงเลย”
เฟิ่งชิงหัวกล่าว: “อยากจะฝึกฝนร่างกายและจิตใจไหม?”
เนี่ยหานซิงได้ยิน ดวงตาทั้งสองข้างก็เปล่งประกายขึ้นทันที: “อยาก! อาจารย์มีวิธีหรือ?”
“วิธีน่ะมั แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะทนลำบากได้หรือเปล่า”
“ศิษย์ยินดีที่จะทนลำบาก”
“ก็ได้ หลังจากเคี่ยวยานี้เสร็จแล้วเจ้ามาหาข้าที่หลังเรือน” ในขณะที่เฟิ่งชิงหัวพูดอยู่ก็เอามือไขว้หลังไว้แล้วก็เดินไปทางหลังเรือนเลย
อู่ตู๋จื่อก็ตามไปติดๆ ในที่สุดความสงสัยที่อยู่ในใจของตนก็ได้ระบายออกมาเสียที: “อาจารย์ย่า ท่านรับเขาเป็นศิษย์ เหตุใดจึงไม่แจ้งเรื่องกฎเกณฑ์ของสำนักแก่เขา? หรือว่าท่านกำลังหลอกเขาอยู่?”
เฟิ่งชิงหัวเหลือบตามองเขาครู่หนึ่ง: “ข้าเป็นคนเช่นนั้น?”
อู่ตู๋จื่อพยักหน้าอยากจะบอกว่าใช่ แต่ก็ไม่กล้าอีก
เฟิ่งชิงหัวกล่าวว่า: “ข้ารับศิษย์ตามความพอใจของข้า ไม่ได้เอาตามความพอใจของสำนัก ข้าก็ไม่ได้สอนเคล็ดวิชาอะไรนางหรอก อย่างดีก็แค่วิชาแพทย์เล็กน้อยและกระบวนท่าในการทำให้ร่างกายแข็งแกร่งเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรซับซ้อนไปมากกว่านี้หรอก”
“งั้นเขา ก็อาจบอกได้ว่าแม้แต่สำนักนอกอันใดอันหนึ่งก็ยังนับไม่ได้เลย?” อู่ตู๋จื่อกล่าวออกมาด้วยความประหลาดใจ
เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “ไม่น่ะสิ เขาน่ะ นับว่าเป็นศิษย์ในสำนักของข้า สำนักเฟิ่ง ฮ่าๆ”
ในขณะที่พูดอยู่เฟิ่งชิงหัวก็หัวเราะยกใหญ่ออกมาแล้วเดินไป ทิ้งอู่ตู๋จื่อให้ยืนครุ่นคิดอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง
เฟิ่งชิงหัวไปห้องโอสถก่อน จัดยามาจำนวนหนึ่ง มีเยอะราวๆ หนึ่งกะละมังล้างหน้าประมาณนั้น จากนั้นก็หยิบเอายาอีกหนึ่งกะละมังมาอีกช้าๆ ยกยาทั้งสองกะละมังไว้ ไปยังห้องครัว ยกหม้อใหญ่สองใบขึ้นมา แล้วก็เริ่มเคี่ยวยาสมุนไพร
รอจนน้ำยาสมุนไพรเริ่มเข้มข้นแล้วก็ใช้ทัพพีตักออกมา แล้วก็ยังเทน้ำเข้าไปอีกหลายสิบจินด้วย
หลังจากได้ราวๆ สอบถังได้ ก็มีองครักษ์ของจวนอ๋องมาพอดี
“หิ้วไปห้องแช่ตัว แบ่งเทเข้าไปในถังไม้สองใบ ใช่แล้ว ระยะห่างของถังไม้สองใบให้ห่างกันเล็กน้อย อืม ตรงกลางก็ให้ตั้งฉากบังลมกั้นเอาไว้ด้วย” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาอย่างเสนาะในสิ่งที่นึกออก
น้ำสมุนไพรที่เหลือก็มอบให้องครักษ์อีกนายหนึ่งไป ให้พวกเขารอจนน้ำเดือดแล้วก็หิ้วไปในห้องอบแช่ตัวตามนั้น
เฟิ่งชิงหัวกลับไปยังห้องของจ้านเป่ยเซียว ในตอนนี้ฝ่ายชายได้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพอดี กำลังนั่งอยู่ด้านหน้าเตียง บนมือก็จับตำราพิชัยยุทธ์เอาไว้หนึ่งเล่ม
จ้านเป่ยเซียวเห็นนางเข้ามาก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวว่า: “ยาล่ะ?”
เฟิ่งชิงหัวลูบศีรษะอยู่ครู่หนึ่ง: “ใช่สินะ ถึงเวลาที่เจ้าต้องทานยาแล้ว ข้าจะไปยกมาให้เดี๋ยวนี้แหละ”
“ไม่มีก็ช่างมันเถอะ ยังไงข้าก็ไม่ได้ชอบรสชาตินั้นอยู่แล้ว” จ้านเป่ยเซียวตัดจบอย่างเรียบเฉย แล้วก็ก้มศีรษะต่อไป
เฟิ่งชิงหัวได้ยินเช่นนั้นก็อดที่จะแหย่เขาไม่ได้: “จ้านเป่ยเซียว เจ้ากลัวขมใช่หรือเปล่านะ?”
จ้านเป่ยเซียวกลับไม่มองมาที่นางเลย สายตาอยู่บนตำราตลอด
“เจ้าก็บอกข้าให้เร็วหน่อยสิ ข้าบอกข้าเร็วหน่อยว่าเจ้ากลัวขม ข้าก็จะได้เตรียมเซียงจาเชื่อมไว้ให้สักหนึ่งจาน เฮ้อ เจ้าก็ไม่พูดอีก ข้าจะไปรู้ได้ยังไงเล่า?” น้ำเสียงของเฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาอย่างซ้ำเติมอยู่บ้าง
“น่ารำคาญ”
“เจ้าไม่ปฏิเสธ?” เฟิ่งชิงหัวประหลาดใจ
จ้านเป่ยเซียวพยักหน้าอย่างจนปัญญา: “ใครไม่เป็นอะไรแล้วชอบดื่มยาบ้าง?”
“ก็ได้ งั้นเจ้าไม่ชอบดื่มอะไรขมๆ ครั้งหน้าข้าเติมน้ำตาลลงไปให้เจ้าในยานิดหน่อย ตอนนี้ไปแช่โอสถก่อนเถอะ” เฟิ่งชิงหัวกล่าว: “ข้าตั้งใจคิดหาวิธีการดีๆ ออกมาโดยเฉพาะเลย เพียงแต่ไม่รู้ว่ามีประโยชน์ต่อเจ้าหรือเปล่า ลองก่อนค่อยว่ากันเถอะ”
จ้านเป่ยเซียวขมวดคิ้ว: “ไม่รู้ว่ามีประโยชน์หรือเปล่า? เจ้าก็กล้าเอาข้าเป็นหนูทดลองเหรอ?”
“ข้ายังจะเอาเจ้าเป็นปลาด้วย อย่าอ้อยส้อยเลย ไปเถอะ” เฟิ่งชิงหัวประคองจ้านเป่ยเซียวมานั่งลงบนเก้าอี้รถเข็น เข็นเขาเข้าไปในก้องอบแช่ตัว
“มาเถอะ ถอดเสื้อผ้าออก แล้วเข้าไปด้านในแช่เลย” เฟิ่งชิงหัวกล่าว
จ้านเป่ยเซียวจ้องไปยังน้ำที่มีกลิ่นยาที่เหม็นๆ สีดำปี๋นั้นอยู่ ขมวดคิ้วหนักขึ้นอีก
“ยังจะนิ่งอยู่ทำไม อ๋อ ใช่แล้ว ตอนนี้เจ้าไม่สะดวก” เฟิ่งชิงหัวเดินเข้าไปแล้วก็เริ่มถอดชุดเพ้าสีดำของจ้านเป่ยเซียวออก
แล้วก็เริ่มแกะเสื้อตัวกลางจากด้านหลังของเขา จากนั้นมือข้างหนึ่งก็จับนางไว้แน่น
เฟิ่งชิงหัวแปลกใจ: “ทำไม เจ้ารีบถอดสิ”
สีหน้าของจ้านเป่ยเซียวค่อนข้างซับซ้อนไปหมด: “เจ้าหันไปทางโน้น”
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้วขึ้นแล้วก็ลุกขึ้นยืน: “ทำไม ยังรู้สึกไม่ดีอยู่บ้างงั้นหรือ? กลัวอะไร ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นเสียหน่อย ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าพาเจ้าไปถ้ำหินงอกหินย้อยไม่ใช่ว่าข้าช่วยถอดให้เจ้าเช่นกันหรือ?”
มือทั้งสองข้างของจ้านเป่ยเซียวกำแน่น: “หุบปาก”
“ได้ๆๆ งั้นเจ้าทำเอง ข้าไม่มองเจ้า” เฟิ่งชิงหัวหันหลังไป กระแอมแล้วกล่าวว่า: “ข้าผ่าศพมานับไม่ถ้วนแล้ว รูปลักษณ์แบบไหนที่ไม่เคยเห็นบ้าง มีอะไรจะต้องอายกัน ร่างของเจ้านี้ก็แค่ อืม หุ่นดีกว่าคนพวกนั้นนิดหน่อยเท่านั้นเอง เจ้าคิดว่าข้าจะตกอยู่ในภวังค์งั้นหรือ?”
และในตอนที่เฟิ่งชิงหัวบ่นพึมพำออกมานั้นเอง จ้านเป่ยเซียวก็ได้ถอดเสื้อผ้าออกแล้วเข้าไปในถังโอสถเรียบร้อยแล้ว น้ำโอสถที่อยู่ในถังโอสถนั้นยังไม่พ้นช่วงเอวของฝ่ายชายไปเลย จึงเผยให้เห็นหน้าอกของเขาออกมา
ประตูเคาะดังขึ้น องครักษ์นายหนึ่งหิ้วโอสถเข้ามาสองถัง เฟิ่งชิงหัวได้กลิ่นขึ้นก็รับเอามาถังหนึ่งแล้วเทลงไป
อีกถึงหนึ่งกลับเทเข้าไปในถังอีกด้านหนึ่ง
“อีกสองถังก็น่าจะเต็มแล้ว เจ้าอย่าเพิ่งอาบขนาดนั้นไปก่อน ยังไงรูปร่างดีขนาดนั้น ขอดูหน่อยเจ้าก็คงจะไม่เสียเปรียบอะไรใช่ไหมล่ะ?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
จ้านเป่ยเซียวถูกไอร้อนของน้ำโอสถนั้นแช่จนตัวเริ่มแดง บนหน้ากากก็ยิ่งเปี่ยมไปด้วยควันจางๆ หนึ่งชั้นเช่นกัน หลับตาลง ไม่มองเฟิ่งชิงหัว
ราวๆ ครึ่งชั่วยาม องครักษ์ก็เทน้ำจนเต็มอย่างสมบูรณ์ ร่างของจ้านเป่ยเซียวทั้งร่างเผยให้เห็นเพียงช่วงคอออกมาเท่านั้นเอง
เฟิ่งชิงหัวหันหลังไปวักที่อยู่ในนั้น: “รู้สึกเจ็บปวดก็ร้องออกมา ไม่อายคนหรอก ข้างในนี้ที่ข้าใส่ไปมีแต่ตัวยาที่รุนแรงทั้งนั้น เอาพิษขจัดพิษ อีกประเดี๋ยวความเจ็บปวดจะยิ่งทวีคูณขึ้น เจ้าทนเอาหน่อยนะ”
จ้านเป่ยเซียวยังคงเม้มปากไว้แน่นไม่กล่าวคำใดออกมาเลย
เฟิ่งชิงหัวลูบคางไปมา: “ไม่น่านะ ตามหลักการแล้ว ตัวยาสมุนไพรในนี้ฤทธิ์รุนแรงที่สุด ในตอนนี้เจ้าควรจะต้องมีความรู้สึกเหมือนเส้นเอ็นกระดูกจะแตกหักจึงจะถูก หรือว่าปริมาณยาที่ข้าใส่เบาเกินไป?”
จ้านเป่ยเซียวกำลังสงสัย ก็เห็นมือทั้งสองข้างของเฟิ่งชิงหัววางอยู่ข้างถังโอสถ บีบเคล้นอย่างรุนแรง เส้นเอ็นสีเขียวบนมือแต่ละเส้นๆ ก็กระตุกขึ้น