ใบหน้าของหนีหู่บิดเบี้ยวไปทั้งหน้าตอนที่เข่าของเขาสัมผัสกับพื้น เขาพึมพำเสียงต่ำอย่างโกรธเกรี้ยวพร้อมกับกัดฟันแน่นเหมือนกับสัตว์ที่ถูกจับขังกรง
หนีเปียวกำกระบี่ไม้ท้อของตัวเองแน่นขณะที่มองภาพนั้น เขายากจะยอมรับได้ว่าบุตรชายสุดที่รักที่เขาทุ่มเทกำลังเลี้ยงดูมากำลังถูกบังคับให้ต้องคุกเข่าลงต่อหน้าคนเหลือขอพวกนี้!
ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้พวกมันรอดไปได้เด็ดขาด!
“เตรียมตัวเอาไว้ให้ดี เราจะหาทางจัดการเจ้าพวกนี้หลังจากที่พวกมันเข้าไปในสุสานหลวง” หนีเปียวสั่งลูกศิษย์ของเขาอย่างเย็นชา สีหน้าของเขาดูราวกับต้องการฆ่าใครสักคน
หนีหู่กลับมายืนที่เดิม เขาดูไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดขณะจ้องไปทางพวกของเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาต่อต้าน
หนึ่งในบรรดาลูกศิษย์รู้สึกไม่สบายใจ จึงยื่นมือออกไปเพื่อจับเขา ”นายน้อย…”
เพี๊ยะ!
หนีหู่ปัดมือเขาออกอย่างแรง แล้วชี้นิ้วไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวย ”เจ้าอย่าได้คิดว่าไม่มีใครจะเอาชนะเจ้าได้เพียงแค่เพราะเจ้ามาถึงที่นี่เป็นคนแรก! พวกเราอยู่กันที่หน้าทางเข้าสุสานหลวง และเจ้าก็ยังไม่รู้ว่าใครจะได้เป็นผู้ชนะกันแน่ หลังจากนี้พอเข้าไปในสุสานหลวงแล้ว เจ้าอย่าได้มาร้องขอความเมตตาจากพวกเราล่ะ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกยิ้มพร้อมตอบด้วยท่าทางสบายๆ ว่า ”ข้าจำได้ว่าก่อนที่เราจะออกเดินทางมายังที่นี่ นายน้อยหนีก็เคยพูดอะไรทำนองนี้ไว้เช่นกัน แต่คนที่ร้องขอความเมตตาจากเราเมื่อครู่นี้ก็คือเจ้า ไม่ใช่พวกเรา”
“เจ้า!” หนีหู่เกลียดความจริงข้อนี้ยิ่งนัก!
หนีเปียวยื่นมือออกไปขวางทางเขาไป และมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาเครียดขึง ”น้องชาย อย่ามั่นใจในตัวเองนัก เจ้ายังไม่ทันได้เข้าไปในสุสานหลวงเลยด้วยซ้ำ ใครจะรู้เล่าว่าเจ้าจะเจอกับอะไรในนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถทำนายอนาคตได้ ในฐานะรุ่นพี่ ข้าจะขอแนะนำเจ้าเอาไว้อย่างหนึ่ง จงเลิกทำตัวจองหองอวดดีเสีย”
“นายท่านหนี ท่านควรพูดเช่นนั้นกับบุตรชายของท่านมากกว่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยเชิดคางขึ้นและสบตากับหนีเปียว นางเอ่ยอย่างไม่คิดที่จะยอมให้ว่า ”เลิกทำตัวจองหองอวดดีเสีย”
หนีเปียวระเบิดหัวเราะขึ้น ดวงตาของเขาหรี่ลง อีกทั้งน้ำเสียงของเขาก็ยังเย็นชา ”ดูเหมือนการมาถึงที่นี่เป็นคนแรกจะช่วยยกระดับความมั่นใจให้กับเจ้ายิ่งนัก ข้าสงสัยว่าเจ้ารู้หรือไม่ว่าแม้เจ้าจะมาถึงก่อน แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ออกเดินทางช้ากว่าเจ้าอยู่ เหมือนอย่างบุตรสาวคนโตของข้า กลุ่มของนางออกเดินทางเป็นกลุ่มสุดท้าย หากมองเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าเจ้าอาจจะไม่ได้เป็นผู้ชนะเสมอไป”
หนีเปียวดูมีท่าทางภูมิใจขณะพูดเช่นนั้น
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่เข้าร่วมการแข่งขันแทบทุกคนรู้ว่าบุตรสาวของหนีเปียวที่เป็นพระชายามาเกิดใหม่นั้นออกเดินทางล่าช้ากว่าทุกคนถึงหนึ่งชั่วยามเพื่อให้คนของตระกูลอื่นได้ล่วงหน้าไปก่อน
ข้อเท็จจริงเพียงข้อเดียวนี้ทำให้ทุกคนเกิดความกังขากับท่าทางมั่นใจในชัยชนะของเฮ่อเหลียนเวยเวย
เขาอยากเห็นนักว่าจะมีคนอื่นอีกหรือไม่ที่เห็นด้วยว่าชัยชนะในรอบแรกนี้เป็นของตระกูลจูเก่อ
ต่อให้มีคนเห็นด้วย แต่มันก็ยังไม่ใช่ชัยชนะที่สมบูรณ์แบบ!
พวกเขาคิดว่าตระกูลหนีจะถอดใจหลังได้รับความอับอายหรือ มันไม่ง่ายเช่นนั้นแน่!
แผนการของหนีเปียวได้ผลเป็นอย่างดี ฝูงชนส่งเสียงเอะอะขึ้นมาเล็กน้อยหลังจากที่เขาพูดจบ แม้ว่าเสียงจะแผ่วเบา แต่นั่นเป็นปฏิกิริยาที่เขาคาดการณ์เอาไว้แล้ว
เขาสังเกตเฮ่อเหลียนเวยเวยและคนอื่นๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความมืดมิดไร้ซึ่งมลทิน นางตอบอย่างสบายๆ ว่า ”นี่เป็นการแข่งขัน และพวกข้าก็ชนะตามกฎกติกา ทำไมท่านถึงได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นเพื่อกดดันพวกข้าเล่า ถ้าเรามองเรื่องนี้โดยใช้ตรรกะเดียวกันกับท่าน ต่อให้ท่านจะมาถึงที่นี่ก่อนพวกข้า แต่กลุ่มที่มีสมาชิกจำนวนกว่าสามสิบคนของท่านก็ยังถือว่าแพ้อยู่ดีเพราะท่านมีจำนวนมากกว่าเราถึงสิบเท่ามิใช่หรือ ตั้งแต่แรกนั้นทุกคนต่างก็คิดว่าคนที่จะต้องพ่ายแพ้ก็คือพวกข้า แต่ตอนนี้พวกข้ากลับมาถึงสุสานหลวงก่อนพวกท่าน ท่านก็เลยพยายามหาข้ออ้างต่างๆ นานามาเพื่อบั่นทอนในความพยายามของพวกข้า ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าผลการแข่งขันนี้ตัดสินกันด้วยกฎกติกาหรือว่าตัดสินกันจากสิ่งที่ท่านพูดกันแน่”
ในฐานะหัวหน้ากลุ่มสิบสองเงาทมิฬของสำนักถัง นอกจากเรื่องทางการทหารแล้ว นางยังเคยเรียนเอกกฎหมายและยังเคยเป็นทนายความมาอีกด้วย
นางไม่ค่อยได้นำทักษะด้านนี้มาใช้เท่าใดนั้น เพราะสำนักถังมีหน่วยที่ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้น นายหญิงของถังเส่าก็มีฝีมือในการคลี่คลายเรื่องราวพวกนี้ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องจัดการกับเรื่องนั้น
แต่ทักษะทนายของนางก็ไม่ได้สูญหายไป
หนีเปียวพยายามโจมตีพวกเขาทางวาจา แต่เขาย่อมไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของตัวเองได้ ถ้านางไม่อนุญาต!
คำตอบธรรมดาๆ จากเฮ่อเหลียนเวยเวยทำให้ใบหน้าของเขากลับมาแข็งทื่ออีกครั้ง!
คำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยเหมือนกับก้อนหินที่ถูกโยนเบาๆ ลงไปในสระน้ำ ก่อให้เกิดเป็นระลอกคลื่นกระจายไปทั่วผิวน้ำนั้น
สายตาของฝูงชนเคลื่อนไปมองที่เขาระหว่างกระซิบกระซาบกันในหมู่ตัวเอง
“คนของตระกูลหนีมีจำนวนพอๆ กับกลุ่มของพวกเราสองสามกลุ่มรวมกัน การจะเอาชนะพวกเขาย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย”
“ใช่แล้ว ตระกูลจูเก่อส่งคนมาแค่เพียงสามคนเพราะสมาชิกคนอื่นยังเด็กเกินกว่าจะเข้าร่วมการแข่งขันได้ มันย่อมไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะชนะ แต่พวกเขาก็ทำได้ แล้วทำไมนายท่านหนีถึงยังยืนหยัดเช่นนั้น”
“ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้ ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ อย่างไรตระกูลหนีก็ไม่เคยแพ้ใครมาก่อน”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เช่นนั้นตระกูลหนีก็ทำเกินไปแล้ว!”
“แม้แต่คำขอโทษของหนีหู่ก็ยังดูไม่จริงใจนัก ท่าทางเช่นนั้นไม่มีสิ่งที่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอย่างพวกเราควรยกย่อง”
“บางทีมันอาจจะเป็นเพียงแค่การเข้าใจกันผิดก็ได้ ข้ามั่นใจว่านายท่านหนีไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนั้น รอดูกันก่อนเถิด”
หนีเปียวเกลียดสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เขาเอ่ยเช่นนั้นเพื่อสอนบทเรียนให้กับนาง แต่สุดท้ายคนที่ถูกตำหนิกลับกลายเป็นเขาเสียเอง
เขาประเมินเจ้าเด็กเหลือขอไร้ความสามารถผู้นี้ไว้ต่ำเกินไป เขานึกไม่ถึงเลยว่านางจะปากคอเราะร้ายถึงเพียงนี้!
เวลานี้ต่อให้เขาพูดอะไรออกไปมันก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องผิดไปเสียหมด คนพวกนี้คาดหวังให้เขาขอโทษคนอายุน้อยกว่าจริงๆ หรือ
ต่อไปข้าจะกล้าสู้หน้าทุกคนได้อย่างไร
หนีเปียวกำมือทั้งสองข้างของตัวเองแน่นจนพวกมันเปลี่ยนเป็นสีแดง นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้ลิ้มรสความอับอายขายหน้าเช่นนี้
ไม่แปลกใจเลยที่หู่จื่อตกหลุมพรางของนาง นางร้ายกาจยิ่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้ นางเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยมทีเดียว อีกทั้งยังรู้ว่าจะเล่นละครต่อหน้าทุกคนเพื่อข่มขู่เขาได้อย่างไร…
ถ้ารู้อย่างนี้เขาคงจัดการอีกฝ่ายไปตั้งแต่แรกแล้ว!
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนีเปียวรู้สึกเสียใจในการกระทำของตัวเองหลายครั้งในวันเดียว เมื่อเทียบกับความต้องการฆ่าที่เขามีก่อนหน้านี้ เวลานี้ในดวงตาของเขากลับค่อยๆ มีความแค้นพุ่งขึ้นมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะนางไม่ทันสังเกตเห็นคนคนหนึ่งที่เพิ่งมาถึง
หนีเฟิ่งสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ทับลงบนชุดของตัวเอง นางยืนคั่นกลางอยู่ระหว่างหนีเปียวกับเฮ่อเหลียนเวยเวย น้ำเสียงอันอ่อนโยนและนุ่มนวลของนางเป็นราวกับเสียงของสายน้ำไหลริน มันฟังสบายหูยิ่งนัก ”คุณชายท่านนี้ อย่าได้ถือสาพวกข้าเลย คนเป็นพ่อแม่ก็มักชอบอวดลูกของตัวเองกันเช่นนี้ และข้าเกรงว่าท่านพ่อของข้าเองก็คงไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใด เพียงแค่เอ่ยว่าข้าออกเดินทางล่าช้ากว่าคนอื่นๆ เท่านั้น ข้าหวังว่าท่านจะเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่ ไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องทำให้เรื่องนี้ซับซ้อนขึ้นแต่อย่างใด แน่นอนว่าการแข่งขันย่อมเป็นไปตามกฎกติกา ไม่ว่าใครจะออกเดินทางก่อนหรือหลัง แต่คนที่มาถึงสุสานหลวงเป็นคนแรกย่อมเป็นผู้ชนะ อย่างไรนี่ก็เริ่มค่ำแล้ว และพวกเรายังมีการแข่งอีกสองรอบรออยู่ ดังนั้นแทนที่จะเสียเวลาคาดเดากันว่าผลสุดท้ายใครจะเป็นผู้ชนะ สู้เราเอาเวลานั้นเข้าไปในสุสานหลวงกันคงจะดีกว่า”