เห็นอวิ๋นโม่ฟื้นฟูเส้นชีพจรได้แล้ว หลีเยียนและเมิ่งเอ๋อร์ต่างก็ดีใจ
“ยอดเยี่ยมไปเลยพี่ใหญ่ ท่านไม่เป็นไรแล้วจริงๆ” เมิ่งเอ๋อร์เอ่ยอย่างยินดี
อวิ๋นโม่กำหมัด “อืม! ไม่เพียงเส้นชีพจรฟื้นฟู การฝึกฝนของข้ายังก้าวหน้าเล็กน้อย ตอนนี้ข้าถึงระดับเสริมกำลังขั้นสี่ชั้นฟ้าแล้ว”
คนที่อยู่ในระดับเสริมกำลังยังไม่ถือว่าย่างเข้าสู่หนทางแห่งการฝึกยุทธ์ คนธรรมดาก็สามารถมีร่างกายที่แข็งแรงได้ เพียงแต่คนที่มีพรสวรรค์ทางวรยุทธ์ ร่างกายจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ในชาติก่อนอวิ๋นโม่ไม่สามารถฝึกวรยุทธ์ จึงหยุดอยู่แค่ขั้นสูงสุดของระดับเสริมกำลังเท่านั้น
อวิ๋นโม่คนก่อน แม้อายุสิบสี่แล้วก็ยังอยู่แค่ระดับเสริมกำลังขั้นสามชั้นฟ้า ศิษย์รุ่นราวคราวเดียวกันของตระกูลอวิ๋นอย่างน้อยก็อยู่ระดับเสริมกำลังขั้นหกชั้นฟ้ากันแล้วทั้งนั้น เพราะเหตุนี้อวิ๋นโม่ที่มีวรยุทธ์ไม่สูงถึงถูกคนรุมรังแก
แต่ว่าอวิ๋นโม่ในตอนนี้จะไม่ยอมให้ใครรังแกอีกต่อไป
แม้ตอนนี้เขาจะอยู่แค่ระดับเสริมกำลังขั้นสี่ชั้นฟ้า แต่เมื่อผ่านการแช่ตัวยาแล้วย่อมสามารถเอาชนะคนธรรมดาที่อยู่ระดับเสริมกำลังขั้นหกชั้นฟ้าได้ แม้เผชิญหน้ากับผู้ที่อยู่ระดับเสริมกำลังขั้นเจ็ดชั้นฟ้าก็ยังได้เปรียบอยู่เล็กน้อย นี่เป็นเพราะร่างกายที่อ่อนแอของอวิ๋นโม่คนก่อน หากได้ฝึกฝนอีกสักระยะ เขาจะสามารถเอาชนะคนที่อยู่ระดับเสริมกำลังขั้นเจ็ดชั้นฟ้าได้อย่างง่ายดาย
“โม่เอ๋อร์ ขาของเจ้า” หลีเยียนกังวลอาการบาดเจ็บที่ขาของอวิ๋นโม่ ก่อนหน้านี้ขาซ้ายของอวิ๋นโม่หัก ว่ากันว่าอาการบาดเจ็บถึงกระดูกต้องใช้เวลารักษาเป็นร้อยวันกันทั้งนั้น อวิ๋นโม่ยืนขึ้นมาเช่นนี้จะไม่กระทบต่อการฟื้นฟูของเขาหรือ
“วางใจเถอะขอรับท่านแม่ ตัวยาที่เคี่ยวมีประโยชน์ต่อการรักษาอาการบาดเจ็บภายนอก ตอนนี้กระดูกของข้าประสานกันแล้ว ถึงจะยังไม่ฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ไม่กระทบต่อการเดิน อีกไม่กี่วันก็จะหายดีดังเดิม”
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี” หลีเยียนเอ่ยอย่างยินดี ที่จริงนางแปลกใจมาก อวิ๋นโม่มีฝีมือเช่นนี้ได้อย่างไร นั่นเป็นเพียงตัวยาธรรมดาเท่านั้น หลังจากเคี่ยวแล้วกลับให้ผลลัพธ์ดีถึงเพียงนี้ วิธีรักษานี้หากนำไปขายจะต้องได้ราคาดีแน่นอน อวิ๋นโม่รู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร
แม้จะประหลาดใจ แต่หลีเยียนไม่ได้เอ่ยปากถาม เพราะหากอวิ๋นโม่ยินดีให้นางรับรู้ ก็คงบอกออกมาเอง ในเมื่อเขาไม่พูด ย่อมต้องมีเหตุผลของเขา ลูกชายของตนมีความลับเล็กๆ น้อยๆ บ้าง หลีเยียนไม่คิดถือสาอะไร ตรงกันข้ามนางกลับดีใจมากกว่า เพราะโม่เอ๋อร์ของนางตอนนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
“อี๋ พี่ใหญ่ ตัวท่านเหม็นมากเลย!” เมิ่งเอ๋อร์พลันเอ่ยขึ้นมา นางจงใจแสดงสีหน้ารังเกียจ
อวิ๋นโม่เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าสิ่งสกปรกที่ขับออกมาจากร่างกายยังติดอยู่บนร่าง ส่งกลิ่นเหม็นออกมา เขาก้มศีรษะอย่างขออภัย จากนั้นเดินออกไปจากเรือน กระโดดลงไปในสายน้ำเล็กๆ ที่อยู่หน้าเรือน
หลังจากชำระล้างร่างกาย อวิ๋นโม่ก็เปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าสะอาด
อาการบาดเจ็บของอวิ๋นโม่หายดีแล้ว การฝึกฝนก็ก้าวหน้า เมิ่งเอ๋อร์ดีใจอย่างยิ่ง ทำตัวติดกับพี่ชายตลอดเวลา
“วันนี้เป็นวันรับลูกกลอนเสริมกำลัง พวกเรายังต้องไปขอรับลูกกลอนเสริมกำลังอีกหรือไม่” หลีเยียนพลันถามขึ้นมา
ในตระกูลอวิ๋น หลังอายุสิบปีจะสามารถขอรับทรัพยากรจากตระกูล ทุกสามเดือนจะได้รับลูกกลอนเสริมกำลังสามเม็ด จนกระทั่งถึงอายุสิบหกปี ทางตระกูลจึงจะหยุดแจกจ่าย ที่จริงก่อนหน้านี้สาเหตุที่อวิ๋นโม่ถูกคนทุบตีก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับลูกกลอนเสริมกำลังด้วยเช่นกัน
“ใช่แล้วพี่ใหญ่ พวกเรายังไม่ได้รับลูกกลอนเสริมกำลังเลย พวกเราไปด้วยกันเถอะ”
เมิ่งเอ๋อร์ลากอวิ๋นโม่ไปด้วยความยินดี มุ่งหน้าไปยังสถานที่รับลูกกลอนเสริมกำลังของตระกูล
ตระกูลอวิ๋นเป็นหนึ่งในสามขุมกำลังหลักของเมืองกวนซานเจิ้น ครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่ แต่บ้านของอวิ๋นโม่ตั้งอยู่ค่อนข้างไกลจากศูนย์กลางของตระกูล ศูนย์กลางของตระกูลอวิ๋นตั้งอยู่ในเมืองกวนซานเจิ้น และสถานที่แจกจ่ายลูกกลอนเสริมกำลังก็อยู่ที่ศูนย์กลางนั่นเอง
“นั่นไม่ใช่อวิ๋นโม่หรอกหรือ ได้ยินมาว่าชีพจรบนร่างของเขาขาดเกือบหมด แต่ดูจากท่าทางของเขาแล้วเหมือนกับไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลยนี่”
“เป็นเขาจริงด้วย เจ้าสวะนั่นทำไมถึงยังไม่ตาย ข้านึกว่าเขาต้องตายแน่แล้ว”
“ฮึ คนเช่นนี้ ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่ต่อไปจะมีความหมายอะไร ถึงกับยังกล้าทำหน้าหนามาขอแบ่งปันทรัพยากรของตระกูล หากข้าเป็นเขาคงเอาหัวชนกำแพงตายไปตั้งแต่แรก”
ขณะที่อวิ๋นโม่และเมิ่งเอ๋อร์เดินอยู่บนถนนก็มีข้ารับใช้ของตระกูลอวิ๋นคอยถากถางพวกเขาอยู่ตลอด โดยเฉพาะพวกลูกศิษย์ของตระกูลอวิ๋นที่ยิ่งเอ่ยคำพูดด่าทอเสียงดัง แทบจะไม่ได้กดเสียงเบาเลยแม้แต่น้อย อวิ๋นโม่ต้องทนฟังการลบหลู่เช่นนี้มาสี่ปีแล้ว
“อวิ๋นโม่ พรสวรรค์อย่างเจ้า มีชีวิตอยู่ไปก็สิ้นเปลืองทรัพยากรของตระกูล เจ้ายังจะมีหน้าอยู่ต่ออีกหรือ” คนผู้หนึ่งชี้อวิ๋นโม่พร้อมเอ่ยเสียงดัง
“ใช่แล้ว เดิมคิดว่าพี่อวิ๋นเลี่ยลงมือทำเรื่องดีๆ เรื่องหนึ่งให้ตระกูล คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่ ที่เขาบอกว่าคนชั่วอายุยืนหมื่นปีก็คงหมายถึงเจ้ากระมัง”
“อวิ๋นโม่ เจ้าต้องรู้จักกาลเทศะบ้าง ไม่ควรไปขอรับทรัพยากรจากตระกูลอีก”
อวิ๋นโม่สงบนิ่ง ตัวเขาในชาติก่อนไม่อาจฝึกวรยุทธ์ ทั้งยังเป็นเด็กกำพร้า ความลำบากที่เคยได้รับยังหนักหน่วงกว่านี้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับลมปากของคนเหล่านั้นจึงไม่โกรธ อีกทั้งในไม่ช้าคนพวกนั้นก็จะต้องหุบปากลง
“พวกเจ้า…”
อวิ๋นโม่ไม่โมโห แต่เมิ่งเอ๋อร์กลับโกรธจนทนไม่ได้ นางมองคนพวกนั้นด้วยความขุ่นเคือง ขณะคิดจะตอบโต้กลับถูกอวิ๋นโม่ดึงเอาไว้
“ไม่จำเป็นต้องไปเสียอารมณ์กับคนเหล่านั้น” อวิ๋นโม่เอ่ย แม้เมิ่งเอ๋อร์จะยังโกรธ แต่ก็เชื่อฟังคำพูดของพี่ชาย ไม่สนใจคนเหล่านั้นอีก
อวิ๋นโม่และเมิ่งเอ๋อร์ไม่แยแสอันธพาลเหล่านั้น พากันมุ่งไปยังสถานที่รับลูกกลอนเสริมกำลัง
บ่าวรับใช้ที่เห็นอวิ๋นโม่แต่ไกลพลันหน้าเปลี่ยนสี
“เจ้าสวะนั่น ไม่ใช่ว่าเส้นชีพจรขาดสะบั้นหรือ ทำไมถึงยังอยู่ดีได้อีก” บ่าวรับใช้ผู้นั้นเผยสีหน้าแค้นเคือง “ดูจากทิศทางที่เขาเดินไป คงจะเป็นสถานที่รับลูกกลอนเสริมกำลังแน่ แย่แล้ว หากเจ้านั่นคิดไปรับลูกกลอนเสริมกำลัง เช่นนั้นนายน้อยอวิ๋นเลี่ยมิใช่ก่อเรื่องวุ่นวายเสียเปล่าหรือ ไม่ได้การ ข้าต้องไปแจ้งนายน้อยอวิ๋นเลี่ย”
บ่าวผู้นั้นรีบปลีกตัวออกไป
ขณะที่อวิ๋นโม่และเมิ่งเอ๋อร์เดินอยู่บนถนน ทันใดนั้นคนผู้หนึ่งก็เข้ามาขวางอยู่เบื้องหน้าพวกเขา
“อวิ๋นซั่งหลง” อวิ๋นโม่จำชื่อของคนคนนี้ได้ หากนับตามลำดับอาวุโสแล้ว คนคนนี้อยู่สูงกว่าเขาหนึ่งขั้น แต่อายุมากกว่าเขาแค่ปีเดียวเท่านั้น คนผู้นี้เป็นบุตรชายของผู้อาวุโสรอง แม้ผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรองจะไม่ลงรอยกัน อีกทั้งอวิ๋นซั่งหลงยังขัดแย้งกับอวิ๋นเลี่ยมาตลอด แต่เขาก็ไม่เคยแสดงสีหน้าดีๆ ต่ออวิ๋นโม่เลย
“มีธุระหรือ” อวิ๋นโม่เอ่ยเสียงเรียบ เมิ่งเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเบะปาก นางไม่ค่อยชอบอวิ๋นซั่งหลงสักเท่าไร
อวิ๋นซั่งหลงสีหน้าไร้อารมณ์ น้ำเสียงก็เคร่งขรึม “อวิ๋นโม่ ได้ยินมาว่าเจ้าถูกอวิ๋นเลี่ยทุบตี ดูท่าเจ้าคงจะหายดีแล้ว”
“ข้ายังไม่ตาย คนบางคนคงต้องผิดหวัง”
“หึ ในเมื่อเจ้าไม่เป็นอะไร ข้าคิดว่าเจ้าควรใคร่ครวญถึงปัญหาบ้าง แม้ตระกูลอวิ๋นของข้าจะยิ่งใหญ่เกรียงไกร แต่ หากต้องชุบเลี้ยงพวกขยะเกรงว่าคงต้องปฏิเสธ”
“อวิ๋นซั่งหลง เจ้าว่าผู้ใดเป็นขยะ” เมิ่งเอ๋อร์ถามอย่างขุ่นเคือง
“อายุสิบสี่แล้วก็ยังฝึกได้แค่ระดับเสริมกำลังขั้นสามชั้นฟ้า นี่ไม่เรียกว่าขยะอีกหรือ อวิ๋นโม่ หากเจ้ายังคิดว่าตนเองเป็นลูกหลานตระกูลอวิ๋น ก็สมควรคิดเพื่อตระกูลอวิ๋น มองดูตัวเจ้าสิ แม้แต่น้องสาว เจ้าก็ยังสู้ไม่ได้ นางเพิ่งอายุสิบสองปีเท่านั้นก็เหนือกว่าเจ้าหนึ่งขั้นชั้นฟ้าแล้ว ต่อให้เจ้าไม่ยินดีมอบลูกกลอนเสริมกำลังให้ผู้อื่น ก็สมควรคิดเผื่อน้องสาวของเจ้าบ้างใช่ไหม” อวิ๋นซั่งหลงมองอวิ๋นโม่ด้วยสีหน้าจริงจัง ใช้น้ำเสียงเสมือนผู้อาวุโสสั่งสอนผู้ที่อ่อนวัยกว่า
“อวิ๋นซั่งหลง เรื่องของพวกเราไม่ต้องให้เจ้าเข้ามายุ่ง” เมิ่งเอ๋อร์เอ่ยด้วยความขุ่นเคือง นางเกลียดพวกที่ชอบรังแกพี่ชายของตนนัก
อวิ๋นโม่สีหน้าเรียบเฉย อวิ๋นซั่งหลงผู้นี้ที่จริงอยู่ระดับเสริมกำลังขั้นเก้าชั้นฟ้าแล้ว ที่มานี่คงไม่ใช่เพราะเรื่องลูกกลอนเสริมกำลัง แต่ที่ทำท่า ‘สั่งสอน’ ตน เกรงว่าเป็นเพราะอยากเสนอหน้าทำตัวเป็นผู้มีอาวุโสกว่าสินะ ดังนั้นอวิ๋นโม่ย่อมมิยินดี แต่ก็ไม่ได้เกลียดชัง
“เรื่องของข้า ข้ารู้ดีว่าต้องทำเช่นไร ไม่รบกวนให้เจ้าต้องเหน็ดเหนื่อย” อวิ๋นโม่เอ่ยอย่างราบเรียบแล้วจูงเมิ่งเอ๋อร์ออกเดิน
อวิ๋นซั่งหลงขมวดคิ้ว เจ้าขยะอวิ๋นโม่ดูเหมือนจะแตกต่างจากเมื่อก่อนอยู่บ้าง หากเป็นแต่ก่อน เมื่อพบหน้าเขา อวิ๋นโม่ไม่มีทางกล้าพูดจาเช่นนี้
“เฮอะ ก็แค่ตัวขยะเท่านั้น” อวิ๋นซั่งหลงโคลงศีรษะแล้วเดินจากไป
ระหว่างทางที่อวิ๋นโม่เดินไปรับลูกกลอนเสริมกำลังปรากฏบุรุษหนุ่มหน้าตาร้ายกาจผู้หนึ่งพร้อมเหล่าข้ารับใช้รายล้อม
“เจ้าอวิ๋นโม่นั่นหายดีแล้วจริงๆ” บุรุษหนุ่มหน้าตาร้ายกาจเอ่ยเสียงต่ำ
“จริงแท้แน่นอน มันกำลังจะมาถึงแล้ว ข้าเห็นอย่างชัดเจน ไม่หลงเหลืออาการบาดเจ็บใดๆ เลย” บ่าวที่มาแจ้งข่าวเมื่อครู่รีบรับคำ มันก้มศีรษะค้อมเอวราวกับสุนัขตัวหนึ่ง “นายน้อยอวิ๋นเลี่ย มิสู้ทุบตีมันอีกสักครั้งดีไหมขอรับ” ใบหน้าของบ่าวรับใช้ปรากฏความเหี้ยมเกรียม
อวิ๋นเลี่ยพ่นลมหายใจ “ผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้ให้โอสถต่อชีพจร แล้วอวิ๋นโม่จะหายดีได้อย่างไร ฐานะอย่างครอบครัวมันก็ซื้อยาราคาแพงไม่ได้ หรือว่า จะไปขโมยมา”
ตลอดทางอวิ๋นโม่คอยเย้าแหย่เมิ่งเอ๋อร์อยู่ตลอด ทำให้สาวน้อยส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ในที่สุดก็ทำให้นางลืมเรื่องขุ่นข้องหมองใจเหล่านั้น
คนทั้งสองพอเดินเลี้ยวตรงมุมถนนก็พลันเห็นคนผู้หนึ่ง
“อวิ๋นเลี่ย” อวิ๋นโม่ส่งเสียงลอดไรฟันออกมาสองคำ
………………………………………