“ช้าก่อน!” อวิ๋นโม่ร้องออกไป
อวิ๋นเลี่ยมีกำลังระดับเสริมกำลังขั้นแปดชั้นฟ้า ตอนนี้เขายังไม่อาจรับมือ ซ้ำอวิ๋นเลี่ยยังมีบ่าวไพร่ช่วยเหลือ หากใช้กำลังกันอวิ๋นโม่ยากจะต้านทานได้
“พี่ใหญ่ ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เมิ่งเอ๋อร์กลับมาอยู่ข้างกายอวิ๋นโม่อย่างเป็นห่วง แม้อวิ๋นโม่บรรลุระดับเสริมกำลังขั้นสี่ชั้นฟ้าแล้ว แต่อวิ๋นเลี่ยเป็นยอดฝีมือเสริมกำลังขั้นแปดชั้นฟ้า อวิ๋นโม่รับฝ่ามือของเขาเพียงครั้งเดียวคงต้องบาดเจ็บไม่น้อย
“เมิ่งเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล ข้าไม่เป็นอะไร” อวิ๋นโม่สายศีรษะ
อวิ๋นเลี่ยเชิดหน้ามองไปทางอวิ๋นโม่ก่อนเอ่ยเสียงเย็น “อวิ๋นโม่ เจ้ายังมีคำพูดใดอีก”
หลิ่วมี่เจียงเจ็บปวดจนร้องครวญครางไม่หยุด เมื่อเห็นอวิ๋นเลี่ยหยุดมือก็โอดครวญ “นายน้อยอวิ๋นเลี่ย อย่าได้ฟังมันเอ่ยวาจาไร้สาระ ท่านจะต้องแก้แค้นให้ข้านะขอรับ!”
อวิ๋นโม่ปรายตามองหลิ่วมี่เจียงด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง บ่าวชั่วเช่นนี้ หากมีโอกาส เขาจะต้องกำจัดเสีย
“อวิ๋นเลี่ย เจ้าทำเช่นนี้เพราะต้องการลูกกลอนเสริมกำลังของข้าไม่ใช่หรือ”
อวิ๋นเลี่ยส่งเสียงหึคำหนึ่งโดยไม่กล่าวอะไร ความคิดของเขาทุกคนล้วนทราบแก่ใจ เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องมีเกียรติอะไร ไม่ควรพูดออกไปอย่างโจ่งแจ้ง
“อวิ๋นโม่ เจ้าก็แค่สวะที่ไม่ได้เรื่องคนหนึ่ง ไม่มีคุณสมบัติจะรับลูกกลอนเสริมกำลัง” บ่าวไพร่ที่อยู่ด้านข้างช่วยพูดแทนอวิ๋นเลี่ย แม้จะไม่ได้กล่าวให้กระจ่าง แต่ความนัยนั้นชัดเจน
อวิ๋นโม่ไม่สนใจพวกบ่าวไพร่ แต่มองไปทางอวิ๋นเลี่ย เอ่ยว่า “ข้ามีข้อเสนอหนึ่ง สามารถจัดการเรื่องลูกกลอนเสริมกำลังได้”
“หืม” สีหน้าอวิ๋นเลี่ยเปลี่ยนเป็นสนอกสนใจขึ้นมา “ข้อเสนออะไร”
“เจ้ากับข้ามาประลองเดิมพันกัน หากข้าแพ้ ต่อไปทรัพยากรที่ตระกูลแบ่งให้ข้าล้วนเป็นของเจ้าทั้งหมด และหากเจ้าแพ้ก็ให้เป็นเช่นเดียวกัน ทรัพยากรของเจ้าล้วนเป็นของข้า” ดวงตาของอวิ๋นโม่ทอประกาย หากอยากฝึกฝนเพื่อไปถึงระดับที่สูงขึ้นไป ทรัพยากรเป็นสิ่งสำคัญมาก สาเหตุที่เขาเสนอการเดิมพันนี้ขึ้นมา ไม่เพียงเพื่อจบปัญหาความขัดแย้งกับอวิ๋นเลี่ยเท่านั้น แต่ยังต้องการขวนขวายทรัพยากรให้ตนเองด้วย
อวิ๋นเลี่ยยังไม่ทันเอ่ยปาก เมิ่งเอ๋อร์ก็รีบขัดด้วยความร้อนใจ “ไม่ได้!”
ระดับของอวิ๋นเลี่ยสูงกว่าอวิ๋นโม่ถึงสี่ชั้นฟ้า แล้วอวิ๋นโม่จะสามารถต่อกรอวิ๋นเลี่ยได้อย่างไร หากตกลงเดิมพันกัน นั่นไม่เท่ากับบีบคั้นตนเองไปสู่ทางตันหรือ
“พี่ใหญ่ พวกเราไม่ต้องกลัวพวกเขา ข้าจะไปบอกท่านประมุขตระกูล ต่อไปพวกเขาก็จะไม่กล้าก่อความวุ่นวายอีก!” เมิ่งเอ๋อร์กล่าวอย่างร้อนใจ นางคิดว่าอวิ๋นโม่รับแรงกดดันมากเกินไปจึงเสนอการเดิมพันต่อสู้เช่นนี้
อวิ๋นเลี่ยได้ฟังอวิ๋นโม่ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะ
“ข้าได้ยินไม่ผิดกระมัง อวิ๋นโม่ อย่างเจ้าน่ะหรือ คิดจะประลองกับข้า” อวิ๋นเลี่ยแคะหูพลางเอ่ยปนยิ้ม บ่าวไพร่ที่อยู่ข้างกายเขาต่างพากันหัวเราะ ก็แค่สวะตัวหนึ่ง กลับกล้าเสนอหน้าท้าสู้กับนายน้อยอวิ๋นเลี่ย นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายหรอกหรือ
“เจ้าได้ยินไม่ผิด!” อวิ๋นโม่เอ่ย จากนั้นหันไปพูดเสียงนุ่มกับเมิ่งเอ๋อร์ “เมิ่งเอ๋อร์ เชื่อใจพี่ใหญ่ หากไม่มั่นใจ ข้าย่อมไม่เสี่ยงอยู่แล้ว”
เห็นอวิ๋นโม่มั่นใจเต็มเปี่ยม เมิ่งเอ๋อร์ก็ไม่คัดค้านอีก นางเลือกที่จะเชื่อใจพี่ชาย แต่ก็ยังคงกังวลใจ นางคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ อวิ๋นโม่ไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเสริมกำลังขั้นสี่ชั้นฟ้า ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์ระดับเสริมกำลังขั้นแปดชั้นฟ้าได้เลย
เมื่อได้ยินอวิ๋นโม่เอ่ยอย่างมั่นใจ อวิ๋นเลี่ยก็หัวเราะดังลั่น “อวิ๋นโม่เอ๋ยอวิ๋นโม่ ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังเล่นลูกไม้อะไร จะบาดเจ็บก็ดี หรือมีความก้าวหน้าก็ช่าง แต่เจ้าคิดว่าด้วยระดับเสริมกำลังขั้นสี่ชั้นฟ้าของเจ้า จะสามารถรับมือข้าได้หรือ”
หลิ่วมี่เจียงที่นอนอยู่บนพื้นพลันร้องส่งเสริม “นายน้อยอวิ๋นเลี่ย อย่าไปสนใจตัวบัดซบนั่น ตีมันให้ตาย ของของมันก็จะเป็นของท่านแล้ว”
“เจ้าหุบปาก!” สีหน้าของอวิ๋นเลี่ยเย็นชา แน่นอนว่าเขาต้องการทรัพยากรของอวิ๋นโม่ แต่จะลงมืออย่างไรย่อมมีข้อแตกต่าง หากเขาทุบตีอวิ๋นโม่จนตาย ย่อมต้องได้ทรัพยากรส่วนนั้นมา แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องยุ่งยากบางประการ ยามนี้อวิ๋นโม่เสนอการประลองขึ้นมา เท่ากับมอบข้อเสนอที่ดีกว่าแก่เขา การประลองนี้อวิ๋นโม่เป็นฝ่ายเสนอ หลังจากเขาเอาชนะอวิ๋นโม่ก็สามารถรับทรัพยากรส่วนของอีกฝ่ายได้อย่างเปิดเผย
“ว่าอย่างไร หรือเจ้าไม่กล้า” อวิ๋นโม่ส่งเสียงเย้ยหยัน
“ฮ่าๆ คนอย่างข้าอวิ๋นเลี่ยเคยกลัวอะไรที่ไหน” อวิ๋นเลี่ยหัวเราะเสียงดัง “การประลองนี้เป็นเจ้าเสนอขึ้นมาเอง ถึงตอนนั้นเจ้าไม่อาจบิดพลิ้ว แต่ว่าอย่างไรก็ต้องกำหนดสถานที่และเวลากระมัง หากเจ้าบอกว่าต้องรอสองสามปีค่อยสู้กัน เช่นนั้นก็ไร้ความหมายแล้ว”
“แน่นอนว่าไม่ต้องรอนาน หนึ่งเดือน หลังจากรับโอสถวันนี้อีกหนึ่งเดือน เจ้าและข้ามาประลองกัน” ระยะเวลาหนึ่งเดือนเพียงพอให้อวิ๋นโม่ยกระดับความสามารถโดยที่อวิ๋นเลี่ยไม่ทันสังเกต หากเนิ่นนานไปกว่านี้อวิ๋นเลี่ยคงไม่เห็นด้วยแน่
“ได้!” อวิ๋นเลี่ยปรบมือด้วยความตื่นเต้น จากนั้นเอ่ยปนยิ้ม “ข้าคิดว่าแค่ทรัพยากรยังไม่เร้าใจพอ”
“อ้อ เช่นนั้นเจ้าคิดจะเดิมพันอะไรเพิ่มอีก”
“ชีวิต! ในการประลองย่อมมีเวลาที่ยากจะยั้งมือ ดังนั้นยามที่เจ้าและข้าต่อสู้ จะอยู่หรือตายล้วนขึ้นอยู่กับตนเอง ว่าอย่างไร” อวิ๋นเลี่ยจ้องอวิ๋นโม่ไม่วางตา ใช้แรงกดดันที่มองไม่เห็นรูปแบบหนึ่งโจมตีอวิ๋นโม่
“ตกลง!” อวิ๋นโม่พยักหน้า เขาไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ นี่เป็นโอกาสที่จะได้ฆ่าอวิ๋นเลี่ยอย่างเปิดเผย ฆ่าอวิ๋นเลี่ยได้ก็เท่ากับว่าได้แก้แค้นให้อวิ๋นโม่อีกคนแล้ว
เมิ่งเอ๋อร์กระตุกแขนเสื้อของอวิ๋นโม่อยู่ตลอดเวลา ทั้งยังส่งสายตาให้เขาปฏิเสธ แต่อวิ๋นโม่ทำเหมือนมองไม่เห็นแม้แต่น้อย รับปากอวิ๋นเลี่ยในทันที
“ฮ่าๆ อวิ๋นโม่ จงซาบซึ้งกับการได้รับทรัพยากรเป็นครั้งสุดท้ายของเจ้าเถอะ!” อวิ๋นเลี่ยยิ้มเอ่ยพลางนำพวกบ่าวไพร่จากไป
เมิ่งเอ๋อร์ต่อว่าพี่ชาย “ทำไมท่านถึงรับปากเขา”
อวิ๋นโม่ในตอนนี้ห่างชั้นกับอวิ๋นเลี่ยมากเกินไป ถึงเขาจะบอกว่าตนเองมีวิธีเอาชนะฝ่ายตรงข้าม แต่หากเกิดข้อผิดพลาดก็คงต้องทิ้งชีวิตแล้ว หากอวิ๋นโม่พ่ายแพ้ เมิ่งเอ๋อร์ไม่สงสัยเลยว่าอวิ๋นเลี่ยจะฆ่าเขาโดยไม่ลังเล
“เมิ่งเอ๋อร์ พี่จะต้องเอาชนะอวิ๋นเลี่ยได้แน่นอน” อวิ๋นโม่ลูบศีรษะปลอบโยนเมิ่งเอ๋อร์แผ่วเบา เรื่องบางเรื่องเขาไม่อาจบอกกล่าวได้อย่างชัดเจน
เขามีประสบการณ์ในการฝึกฝนจักรพรรดิสวรรค์ลั่วเทียน ย่อมเข้าใจเรื่องระดับยุทธ์อย่างถ่องแท้ เขามั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจะทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นได้ภายในหนึ่งเดือน และเอาชนะอวิ๋นเลี่ยได้อย่างง่ายดาย แต่ว่าเรื่องนี้ เขาไม่อาจบอกแก่น้องสาว ได้แต่ปล่อยให้นางกังวลสักครั้งแล้ว
เรื่องมาถึงขั้นนี้ กังวลไปก็ไร้ประโยชน์ เมิ่งเอ๋อร์ได้แต่เชื่อมั่นในตัวอวิ๋นโม่
“พี่ใหญ่ พวกเรารีบไปรับลูกกลอนเสริมกำลังกันเถอะ” เมิ่งเอ๋อร์ลากอวิ๋นโม่เดินไปยังสถานที่รับลูกกลอนเสริมกำลัง หากอวิ๋นโม่คิดจะเพิ่มความแข็งแกร่งภายในหนึ่งเดือน เช่นนั้นก็ต้องใช้ลูกกลอนเสริมกำลังเข้าช่วย
คนทั้งสองมาถึงสถานที่เบิกลูกกลอนเสริมกำลัง ผู้รับผิดชอบแจกจ่ายลูกกลอนเป็นชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง ยามที่เขาเห็นอวิ๋นโม่ก็เริ่มขมวดคิ้ว
“อวิ๋นโม่ เจ้าขยะนี่มิใช่ว่าถูกอวิ๋นเลี่ยทำร้ายหรือ ทำไมจึงหายดีแล้ว เขามาที่นี่คงคิดจะมารับลูกกลอนเสริมกำลัง” บุรุษฉกรรจ์ผู้นั้นไม่พอใจอยู่บ้าง ตัวสวะเช่นนี้ช่างไม่รู้จักประมาณตน ยังมีหน้ามาขอแบ่งทรัพยากรอีก
“สวัสดี ข้ากับพี่ชายมารับทรัพยากรของเดือนนี้” เมิ่งเอ๋อร์ไปที่โต๊ะเอ่ยอย่างกระตือรือร้น ลูกกลอนเสริมกำลังเหล่านี้คือความหวังของพวกนาง
บุรุษฉกรรจ์ผู้นั้นชายตามองอวิ๋นโม่ปราดหนึ่ง จากนั้นรั้งรอ ไม่ยอมเคลื่อนไหว
อวิ๋นโม่ขมวดคิ้ว ดูท่าบุรุษผู้มีหน้าที่แจกจ่ายทรัพยากรคนนี้คงไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
“นี่ ข้ามารับลูกกลอนเสริมกำลัง!” เมิ่งเอ๋อร์เคาะโต๊ะ เอ่ยเสียงดัง
บุรุษหนุ่มไม่สนใจเมิ่งเอ๋อร์ แต่เอ่ยกับอวิ๋นโม่ “คนบางคนควรรู้จักควรไม่ควรเอาไว้บ้าง ตระกูลอวิ๋นไม่ใช่ตระกูลใหญ่ ทรัพยากรมีจำกัด หากสิ้นเปลืองทรัพยากรไปกับร่างกายขยะ ตระกูลอวิ๋นของข้าก็คงไม่อาจยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้”
เมิ่งเอ๋อร์ถลึงตาใส่คนผู้นั้นด้วยความโกรธพร้อมเอ่ยเสียงดัง “ลูกหลานของคนในตระกูล ขอเพียงมีอายุตั้งแต่สิบปีขึ้นไปและไม่เกินสิบหกปี จะได้รับทรัพยากรจากตระกูล นี่เป็นกฎที่บรรพชนกล่าวไว้ ในเมื่อเป็นกฎของตระกูล พวกเราก็มีคุณสมบัติจะได้รับทรัพยากร หรือว่าเจ้าคิดจะคัดค้าน”
อวิ๋นโม่มองเมิ่งเอ๋อร์ด้วยความซึ้งใจ ในตระกูลอวิ๋นที่ใหญ่โตนี้ เกรงว่าคงมีแต่ท่านแม่และน้องสาวที่ปกป้องตนเองแล้ว เขาเดินหน้าอีกหนึ่งก้าว เอ่ยว่า “ข้าจะเป็นขยะหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องตัดสิน ทรัพยากรในแต่ละเดือนเป็นสิ่งที่ข้าสมควรได้รับ แล้วทำไมข้าต้องปฏิเสธด้วย รีบส่งลูกกลอนเสริมกำลังให้พวกเราเถอะ หากเจ้าต้องการละเมิดกฎ ก็อย่าถือโทษหากข้าแจ้งผู้อาวุโสในตระกูล”
สีหน้าของบุรุษฉกรรจ์ผู้นั้นเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู เด็กน้อยที่ไม่มีทางเอาดีได้กลับกล้าพูดกับตนเช่นนี้ ทั้งยังกล้าข่มขู่ตน สมควรเจอดี! แต่ว่ากฎระเบียบของตระกูลก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง ไม่อาจยึดทรัพยากรส่วนของอวิ๋นโม่เอาไว้
“เด็กน้อย ตอนนี้เจ้ายังได้รับการปกป้องจากตระกูลอยู่ หวังว่าเมื่อเจ้าอายุสิบหกปีแล้วจะยังกล้าอวดดีเช่นนี้!” บุรุษฉกรรจ์ผู้นั้นเอ่ยอย่างประสงค์ร้าย เมื่อเติบโตเต็มวัย คนที่มีระดับฝีมือต่ำก็จะสูญเสียการคุ้มครองจากตระกูล ฐานะย่อมตกต่ำลง ถึงตอนนั้นหากตนคิดจัดการอวิ๋นโม่ ก็จะไม่มีคนใดในตระกูลขัดขวาง
บุรุษผู้นั้นหยิบถุงบรรจุลูกกลอนเสริมกำลังออกมาสองใบอย่างไม่เต็มใจ แล้วโยนมันลงบนพื้น
“ได้รับแล้วก็ไสหัวไป!” ในเมื่อเขาไม่ชอบอวิ๋นโม่ จึงหันไปข่มเมิ่งเอ๋อร์ด้วยเช่นกัน
“เจ้า!” เด็กสาวมีโทสะขึ้นมา คนพวกนี้ทำเกินไปแล้ว
อวิ๋นโม่ปรายตามองคนผู้นั้นอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง เขาเข้าใจดี หากไร้ซึ่งพลังก็ต้องทนรองรับอารมณ์ของผู้อื่นเช่นนี้ แต่อีกไม่นาน เขาจะทำให้คนพวกนี้ต้องเสียใจ หลังจากก้มเอวลงไปหยิบถุงขึ้นมาก็ลากเมิ่งเอ๋อร์ที่อารมณ์ยังไม่สงบดีเดินจากไป “เมิ่งเอ๋อร์พวกเราไป ไม่จำเป็นต้องเสวนากับคนจำพวกนี้”
…………………
มุมหนึ่งของตระกูลอวิ๋นมีเรือนน้อยสวยงามหลังหนึ่ง ทั่วทุกด้านล้วนได้รับการสลักเสลา บรรยากาศโอ่อ่า กลางเรือนยังมีสระน้ำขนาดไม่เล็กอยู่บ่อหนึ่ง ที่นี่คือที่อยู่ของอวิ๋นเลี่ย เรือนน้อยหลังนี้ย่อมหรูหรางดงามกว่าบ้านของพวกอวิ๋นโม่นัก นี่คือข้อดีของการมีตำแหน่งฐานะ ท่านปู่ของอวิ๋นเลี่ยคือผู้อาวุโสแปด ดังนั้นครอบครัวของเขาย่อมได้อาศัยในเรือนที่หรูหราสง่างาม
“ขออภัยด้วยขอรับ นายน้อยอวิ๋นเลี่ย! ต้องโทษที่ข้าอ่อนแอเกินไป สู้ไม่ได้แม้แต่เจ้าสวะอวิ๋นโม่ หากครั้งก่อนข้าสังหารเจ้านั่นละก็ ไยจะต้องลำบากกันเช่นนี้” ขาของหลิ่วมี่เจียงใส่เฝือกอยู่แต่ก็ยังคุกเข่าขออภัยอยู่ข้างกายอวิ๋นเลี่ย
อวิ๋นเลี่ยพยุงหลิ่วมี่เจียงลุกขึ้น พาเขาไปนั่งบนเก้าอี้ด้านข้าง ทำเอาหลิ่วมี่เจียงตื่นตะลึงและปลาบปลื้ม
“ต้องโทษข้า หากข้าดูออกตั้งแต่แรกว่าพลังของเจ้านั่นแข็งแกร่งขึ้น เจ้าก็ไม่ต้องได้รับความลำบากเช่นนี้” อวิ๋นเลี่ยถอนหายใจเอ่ย “เจ้าเองก็ไม่ต้องเสียดายไป ถ้าก่อนหน้านี้ฆ่ามันทิ้งไป คงต้องยุ่งยากไม่น้อย เป็นเช่นนี้ก็ดี ขณะประลอง ข้าก็สามารถฆ่ามันได้อย่างเปิดเผย หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าเอง!”
ท่าทีของอวิ๋นเลี่ยทำให้หลิ่วมี่เจียงซาบซึ้ง มันร้องรับคำหนึ่งก็คุกเข่าลงไปอีก แม้แต่ความเจ็บปวดที่ขาก็ไม่สนใจแล้ว
“นายน้อยอวิ๋นเลี่ยมีบุญคุณต่อข้าดุจขุนเขา ข้าหลิ่วมี่เจียงขอสาบาน ชาตินี้จะติดตามนายน้อยอวิ๋นเลี่ยตลอดไป ต่อให้ต้องบุกภูเขาดาบทะเลเพลิงก็ไม่เกี่ยง!”
มุมปากของอวิ๋นเลี่ยยกโค้งขึ้น วิธีซื้อใจคนเช่นนี้ เขาย่อมรู้จักใช้อยู่บ้าง แค่คำพูดดีๆ ไม่กี่คำ หลิ่วมี่เจียงผู้นี้ก็ซาบซึ้งในบุญคุณของเขาสุดหัวใจแล้ว
………………
“ได้ยินแล้วหรือยัง เจ้าอวิ๋นโม่นั่นจะเดิมพันต่อสู้กับอวิ๋นเลี่ย เด็กนั่นคงจะเสียสติไปแล้ว!”
“ต้องได้ยินอยู่แล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เกรงว่าทุกคนในตระกูลต่างก็รู้กันหมด”
“เจ้าเด็กนั่นหาทุกข์ใส่ตัวแท้ๆ ด้วยความสามารถของเขา จะสู้กับอวิ๋นเลี่ยได้อย่างไร ข้าคิดว่าครั้งนี้เขาต้องตายแน่นอน!”
“ตายเสียได้ก็ดี ถือเป็นการกำจัดเภทภัยให้ตระกูล!”
“ข้าได้ยินมาว่าระดับความสามารถของเขาสูงขึ้น ก่อนหน้านี้ถึงกับล้มหลิ่วมี่เจียงได้”
“ชนะบ่าวคนหนึ่งได้เท่านั้น มีอะไรน่าประหลาดใจกัน พลังที่แข็งแกร่งของอวิ๋นเลี่ยไม่ใช่สิ่งที่หลิ่วมี่เจียงจะเทียบได้ ต่อให้อวิ๋นโม่ก้าวหน้า ตอนนี้ก็ยังแค่ระดับเสริมกำลังขั้นสี่ชั้นฟ้าเท่านั้น หรือเขาจะสามารถบรรลุถึงขั้นแปดชั้นฟ้าได้ภายในหนึ่งเดือน”
“นั่นสินะ”
ข่าวที่อวิ๋นโม่และอวิ๋นเลี่ยจะประลองกันแพร่กระจายไปทั่วตระกูลอวิ๋นอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างถกเถียงกัน ล้วนมีความเห็นว่าอวิ๋นโม่รนหาที่ตายแท้ๆ
ในเรือนหลักของตระกูลอวิ๋น ผู้อาวุโสท่านหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ หัวคิ้วขมวดมุ่น แม้เขาจะอยู่ในโถงหลัก แต่ก็ยังได้ยินเสียงถกเถียงของผู้คนด้านนอกลอยเข้ามา
“อวิ๋นโม่เดิมพันต่อสู้กับอวิ๋นเลี่ย” ผู้อาวุโสบนเก้าอี้ลุกขึ้น ตะโกนออกไปด้านนอก “ใครอยู่ข้างนอก!”
คนผู้หนึ่งเดินเข้ามาโค้งคำนับผู้อาวุโส
“ไปเรียกอวิ๋นโม่มา”
“ขอรับ ประมุขตระกูล!”
………………………………………