อวิ๋นเลี่ยเป็นหลานชายของผู้อาวุโสแปด ทรัพย์สมบัติเหนือกว่าอวิ๋นโม่จนเทียบกันไม่ได้ หากเขาต้องการแย่งซื้อน้ำนมปฐพี อวิ๋นโม่ก็ไม่มีหนทางสู้
“ไม่ถูก!” อวิ๋นโม่สงบใจอย่างรวดเร็ว อวิ๋นเลี่ยไม่มีทางรู้จักน้ำนมปฐพี สาเหตุที่อีกฝ่ายคิดจะซื้อก็เพราะเห็นตนอยากได้เท่านั้น หากยิ่งแสดงออกว่าต้องการหินผลึกก้อนนี้เท่าไร อวิ๋นเลี่ยก็ยิ่งยืนกรานจะซื้อให้ได้ ในทางกลับกัน หากอวิ๋นโม่ไม่ใส่ใจ อวิ๋นเลี่ยก็อาจจะไม่ซื้อ สิ่งนี้เป็นแค่ “หินธรรมดา” ก้อนหนึ่งเท่านั้น ใครจะอยากเสียเงินไปกับมัน
เมื่อคิดได้แล้วอวิ๋นโม่ก็ตัดสินใจว่า ต่อให้อวิ๋นเลี่ยซื้อไปจริงๆ เขาก็จะหาทางนำมันมาจากอีกฝ่ายให้ได้ ถึงอย่างไรเขาก็คิดจะฆ่าอวิ๋นเลี่ยอยู่แล้ว ลงมือเร็วขึ้นสักหน่อย ก็ไม่เสียหาย
“หินก้อนนี้ ข้าจะให้สิบเหรียญเงิน” อวิ๋นเลี่ยพูดซ้ำอีกครั้ง เอ่ยแล้วก็จงใจมองไปทางอวิ๋นโม่
อวิ๋นโม่เดาไม่ผิด อวิ๋นเลี่ยคิดจะทำให้เขาอับอาย หากเขาคิดจะซื้อหินผลึกจริงๆ ก็จะเสนอราคาเพิ่ม แล้วอวิ๋นเลี่ยก็จะหยุดและปล่อยให้อวิ๋นโม่ต้องเสียห้าเหรียญเงินไปโดยเปล่าประโยชน์
“พี่ชายท่านนี้ให้สิบเหรียญเงิน เจ้าว่า…” เจ้าของแผงเก็บความยินดีเอาไว้ไม่อยู่ มองอวิ๋นโม่ตาเป็นประกาย หวังให้เขาเพิ่มราคา
อวิ๋นโม่แสดงสีหน้าไร้อารมณ์ราวกับหมดความสนใจ เขาหันกลับไปมองอวิ๋นเลี่ย เห็นว่าข้างกายฝ่ายนั้นยังมีสาวน้อยอีกนางหนึ่ง
“น้องเสี่ยวกั่ว ข้าจะซื้อหินก้อนนี้ให้เจ้าเป็นอย่างไร” อวิ๋นเลี่ยหันไปเอ่ยกับเด็กสาว
อวิ๋นโม่มองเด็กสาวผู้นั้น สีหน้าเยือกเย็นลง นางมีนามว่าอวิ๋นเสี่ยวกั่ว เป็นลูกหลานตระกูลอวิ๋นเช่นกัน ฐานะครอบครัวของอวิ๋นเสี่ยวกั่วกับอวิ๋นโม่ไม่ต่างกันสักเท่าไร ตั้งแต่เล็กถูกคนรังแก ดังนั้นยามเป็นเด็ก อวิ๋นโม่และอวิ๋นเสี่ยวกั่วจึงสนิทสนมกันมาก เรียกว่าเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก แต่พอย่างเข้าวัยหนุ่มสาว อวิ๋นเลี่ยผู้น่าตายคนนั้นก็แสดงออกว่าสนใจอวิ๋นเสี่ยวกั่ว ตระกูลอวิ๋นเป็นครอบครัวใหญ่ คนที่เป็นญาติสกุลเดียวกันนั้นไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าไรกันแน่ ลูกศิษย์ในตระกูลอวิ๋นที่แต่งงานกันเองก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่
เพียงแต่เมื่ออายุครบสิบปี พวกเขาก็ต้องเข้ารับการฝึกฝน ผลการฝึกของอวิ๋นโม่ค่อนข้างย่ำแย่ สถานะในตระกูลอวิ๋นตกต่ำลงเรื่อยๆ ส่วนอวิ๋นเสี่ยวกั่วแม้ต่อหน้าจะดีกับอวิ๋นโม่ แต่ที่จริงในใจคิดเป็นอื่นนานแล้ว นางเป็นสตรีเจ้าความคิด วันหนึ่งเมื่ออวิ๋นโม่เก็บความรู้สึกไม่ไหวจนแสดงออกมา อวิ๋นเสี่ยวกั่วก็ทอดทิ้งเขาอย่างโหดร้าย ในตอนนั้นพวกคนหนุ่มสาวในตระกูลอวิ๋นต่างก็เห็นกันทั่ว เป็นผลให้อวิ๋นเสี่ยวกั่วได้รับความชื่นชมจากอวิ๋นเลี่ย นางจึงโผเข้าไปในอ้อมอกของเขา สถานะในตระกูลก็สูงขึ้น
สตรีที่มีอุบายในหัวใจผู้นี้ อวิ๋นโม่ย่อมไม่ชอบ เขาไม่ใช่อวิ๋นโม่คนก่อน จึงไม่หลงเหลือความรู้สึกรักใคร่ต่ออวิ๋นเสี่ยวกั่วแม้แต่นิดเดียว
อวิ๋นโม่ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าชอบ เช่นนั้นก็ยกให้เจ้าแล้วกัน อย่างไรก็แค่หินธรรมดาก้อนหนึ่ง”
อวิ๋นโม่เอ่ยกับอวิ๋นเลี่ย แต่อวิ๋นเสี่ยวกั่วคิดว่าเขากล่าวกับตน จึงขมวดคิ้วเผยสีหน้ารังเกียจ
หรือว่าสวะผู้นี้ยังมีความคิดเกินเลยในใจอยู่ อวิ๋นเสี่ยวกั่วอดไม่ได้ที่จะถอยหลังก้าวหนึ่ง ขยับกายให้ห่างจากอวิ๋นโม่
“อวิ๋นโม่ ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าไม่ได้ชอบเจ้า ขอเตือนเจ้านะว่าอย่าได้คิดเกินเลยอีก ต่อให้เจ้ามอบหินผลึกให้ ข้าก็ไม่รู้สึกยินดี” อวิ๋นเสี่ยวกั่วเอ่ย
อวิ๋นโม่ชะงักไป แล้วพลันเข้าใจ อวิ๋นเสี่ยวกั่วนึกว่าเขามีความรู้สึกดีๆ ต่อนาง อวิ๋นโม่ส่ายศีรษะไม่ได้อธิบาย กับสตรีที่คิดถึงแต่ตนเอง เขายังจะมีสิ่งใดต้องอธิบาย ไม่แน่ว่ายิ่งอธิบาย อวิ๋นเสี่ยวกั่วจะยิ่งคิดว่าเขามีความคิดเป็นอื่น
อวิ๋นเสี่ยวกั่วหันมาออดอ้อนอวิ๋นเลี่ย “พี่อวิ๋นเลี่ย นี่เป็นแค่หินธรรมดาเท่านั้น แม้พวกเราจะมีเงินก็ไม่ควรใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ในเมื่อคนโง่บางคนเต็มใจเสียห้าเหรียญเงินเพื่อซื้อก้อนหิน พี่อวิ๋นเลี่ยก็ไม่ควรเอาอย่างคนโง่ผู้นั้น”
“ฮ่าๆ!” อวิ๋นเลี่ยหัวเราะ เดิมทีเขาคิดจะให้อวิ๋นโม่เสียเงินมากขึ้นสักหน่อย ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้สนใจหินก้อนนั้น แล้วเขาจะต้องสิ้นเปลืองเงินซื้อมันมาทำไม “หินก้อนนั้น ข้าไม่ซื้อแล้ว ทิ้งไว้ให้เจ้าโง่ที่ยินดีจะซื้อก็แล้วกัน”
“พี่ชาย นี่ไม่ใช่ก้อนหินธรรมดานะ!” เจ้าของแผงลอยเห็นอวิ๋นเลี่ยไม่ต้องการซื้อก็ร้อนรนขึ้นมา
อวิ๋นเลี่ยเบ้ปาก คว้ามืออวิ๋นเสี่ยวกั่ว เอ่ยว่า “น้องเสี่ยวกั่ว พวกเราไปเถอะ พี่จะซื้อสร้อยข้อมือที่ดีที่สุดให้เจ้าเอง”
อวิ๋นเสี่ยวกั่วดวงตาเป็นประกาย ตอบรับว่า “ขอบคุณพี่อวิ๋นเลี่ย!”
“หึๆ คนบางคน เป็นคางคกริอ่านกินเนื้อหงส์” อวิ๋นเลี่ยมองอวิ๋นโม่อย่างลำพอง จากนั้นพาอวิ๋นเสี่ยวกั่วจากไป ด้านเด็กสาวก็ไม่หันกลับมามองอวิ๋นโม่แม้แต่แวบเดียว
อวิ๋นโม่ส่ายศีรษะ สองคนนี้ช่างเหมาะสมกันจริงๆ นี่เป็นหินธรรมดาที่ไหนกัน ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นไอ้โง่
เมื่อทำได้แต่ดูอวิ๋นเลี่ยเดินจากไป เจ้าของแผงลอยก็ต้องผิดหวัง จากนั้นค่อยคลี่ยิ้มเอ่ยกับอวิ๋นโม่ “พี่ชาย ยังคงเป็นราคาเดิม สามสิบเหรียญเงิน หญ้าคลายปวดห้าต้นกับหินผลึกหนึ่งก้อน”
อวิ๋นโม่ทำสีหน้าเย็นชาราวกับไม่พอใจอย่างยิ่ง “เจ้าของร้าน เมื่อครู่พวกเราตกลงราคากันเรียบร้อยแล้ว พอเขาให้ราคาสูงกว่า เจ้ากลับเสียดาย ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกต้องนะ”
“เอ่อ นี่ก็…” เจ้าของร้านละอายใจ ว่ากันตามเหตุผล ในเมื่อตกลงราคากันแล้วก็ถือว่าการค้าสำเร็จ แต่ว่าเมื่อมีคนให้ราคาสูงกว่าจะไม่ให้เขาหวั่นไหวได้อย่างไร
อวิ๋นโม่ไม่พอใจเอ่ยว่า “หินผุๆ ก้อนนี้ อย่างมากข้าให้แค่สามเหรียญเงินเท่านั้น เจ้าขายหรือไม่ขาย!” พูดแล้วก็ลุกขึ้นทำทีจะเดินจากไป ราวกับหากเจ้าของร้านไม่ขาย แม้แต่หญ้าสายน้ำเขาก็ไม่ต้องการซื้อแล้ว
เจ้าของแผงร้อนรน ยากนักกว่าจะมีการค้ามาถึงที่สักครั้ง เขาไม่อยากพลาดโอกาสดี
“เดี๋ยวก่อนพี่ชาย! สามเหรียญเงินก็สามเหรียญเงินเถอะ!” เจ้าของแผงตอบรับอย่างไร้ทางเลือก ยามนี้เขานึกเสียใจแล้ว หากเมื่อครู่ไม่สนใจอวิ๋นเลี่ย คงไม่ต้องเสียเงินสองเหรียญไปเปล่าๆ
อวิ๋นโม่จ่ายออกไปยี่สิบแปดเหรียญเงินแล้วนำหญ้าสายน้ำห้าต้นและน้ำนมปฐพีจากไปด้วยความยินดี หลังจากเดินวนบนถนนยาเถื่อนอีกรอบหนึ่งก็ซื้อตัวยาอื่นๆ อีกเล็กน้อย สุดท้ายใช้เงินที่เหลือซื้อหนังสือเกี่ยวกับยากลับบ้านไป
“พี่ใหญ่กลับมาแล้ว!” เมิ่งเอ๋อร์เห็นอวิ๋นโม่มาแต่ไกลก็โผเข้ามาราวกับบินได้
อวิ๋นโม่ส่งสมุนไพรให้เมิ่งเอ๋อร์ บอกให้นางเก็บรักษาให้ดี หม้อที่จะใช้เคี่ยวยาน้ำเสริมกำลังไม่ต้องสร้างใหม่ หม้อที่ใช้คราวก่อนสามารถนำมาใช้อีกได้ สิ่งที่อวิ๋นโม่ต้องการทำในตอนนี้ก็คือ เสริมรากฐาน ถึงก่อนหน้านี้เขาจะกระหายการฝึกฝนมากเพียงใด แต่ในเมื่อพละกำลังไม่พอก็ไม่สามารถทำตามที่ต้องการ
เขาคิดจะสร้างรากฐานให้แข็งแกร่ง จากนั้นค่อยเลื่อนระดับ ลูกศิษย์ที่ฝึกฝนอยู่ในตระกูลอวิ๋นโดยมากล้วนไปที่สนามฝึกวรยุทธ์ ที่นั่นมีอาวุธแบบต่างๆ ให้เลือกใช้ ทั้งยังสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างเหล่าลูกศิษย์ด้วยกัน แต่นั่นไม่เหมาะกับอวิ๋นโม่ ประการแรก เขาไม่ต้องการเปิดเผยความสามารถ ประการที่สอง สถานที่ฝึกฝนเช่นนั้นไม่เหมาะสมกับเขา
อวิ๋นโม่เลือกสถานที่ฝึกฝนที่ดีกว่าเอาไว้แล้ว นั่นก็คือภูเขาด้านหลังตระกูลอวิ๋น ที่นั่นเป็นป่าทึบ ทั้งยังมีผาหินมากมาย ที่สำคัญที่สุดคือมีน้ำตกอยู่สายหนึ่ง
“พี่ใหญ่ ท่านจะไปฝึกฝนที่ภูเขาด้านหลังอีกแล้วหรือ เมิ่งเอ๋อร์ก็จะไปกับท่านด้วย” เมิ่งเอ๋อร์รู้เรื่องที่อวิ๋นโม่จะไปภูเขาด้านหลังจึงวิ่งเข้ามากอดแขนพี่ชาย
อวิ๋นโม่ตริตรองครู่หนึ่งก็เห็นด้วย เมิ่งเอ๋อร์ไม่ชอบไปฝึกฝนที่สนามฝึกยุทธ์ อวิ๋นโม่จะได้ชี้แนะนางสัก สองสามอย่าง
หลีเยียนยิ้มพลางมองสองพี่น้องจากไป นางรู้ว่าอวิ๋นโม่เปลี่ยนแปลงไปมาก ถึงจะไม่รู้ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร แต่ก็รู้ว่านี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี
แม้ในชาติก่อนอวิ๋นโม่จะไม่สามารถฝึกพลังยุทธ์ แต่ก็ไปถึงขั้นสูงสุดของระดับเสริมกำลัง หลังจากลั่วเทียนกลายเป็นเทพจักรพรรดิแล้วได้เสาะหาวิชาที่เหมาะสมกับพื้นฐานร่างกายให้เขา ในบรรดาสิ่งที่อวิ๋นโม่เคยฝึกฝนมา มีวิชาหมัดทลายภูผา วิชาหมัดมวยนี้เกรงว่าจะเป็นหมัดมวยที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาวิชาทั่วไป ชาติก่อนอวิ๋นโม่ฝึกฝนจนถึงระดับสูงสุด เพียงหมัดเดียวก็กระแทกหินขนาดใหญ่กลายเป็นผุยผง
เหนือระดับเสริมกำลังขึ้นไปก็คือระดับเปลี่ยนชีพจรซึ่งเป็นขั้นต้นของการฝึกฝนพลังยุทธ์ หลังจากระดับเปลี่ยนชีพจรก็คือระดับก่อจิต อวิ๋นโม่ที่ฝึกหมัดทลายภูผาจนถึงจุดสูงสุด แม้แต่ยอดยุทธ์ระดับก่อจิตทั่วไปก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
วิชาหมัดทลายภูผาให้ผลลัพธ์อันยอดเยี่ยม อวิ๋นโม่ฝึกฝนต่อเนื่องติดต่อกันทั้งวันก็ได้ผลลัพธ์ที่เหนือกว่าคนจำนวนมาก คนในที่นี้ย่อมไม่ได้หมายถึงคนในเมืองกวนซานเจิ้น หากหมายถึงคนทั้งใต้หล้า ยามนี้อวิ๋นโม่ยังอยู่เพียงระดับเสริมกำลังขั้นสี่ชั้นฟ้า แต่เขาไม่จำเป็นต้องกลัวผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปที่อยู่ในระดับเสริมกำลังขั้นเจ็ดชั้นฟ้าอีกแล้ว
เมิ่งเอ๋อร์ก็ฝึกฝนเช่นกัน อวิ๋นโม่เลือกสอนวิชาที่เหมาะกับสตรีวิชาหนึ่งให้นาง มีชื่อว่าเพลงกระบี่เทพธิดา เป็นรองหมัดทลายภูผาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น การฝึกฝนหมัดทลายภูผาต้องทนความเจ็บปวดรุนแรง อวิ๋นโม่ไม่ต้องการให้เมิ่งเอ๋อร์ลำบาก อีกทั้งวิชาหมัดก็ไม่เหมาะกับสตรี
“พี่ใหญ่ เพลงกระบี่เทพธิดาช่างร้ายกาจ ข้ารู้สึกว่าความสามารถของข้าแข็งแกร่งขึ้นมาก!” เมิ่งเอ๋อร์เอ่ยอย่างยินดี นางใช้กิ่งไม้แทนกระบี่ แสดงเพลงกระบี่เทพธิดาออกมา แม้ความเร็วจะสู้อวิ๋นโม่ไม่ได้ แต่ก็นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว อวิ๋นโม่มั่นใจว่า ทั่วทั้งเมืองกวนซานเจิ้นนอกจากเขาแล้ว คนที่อยู่ในระดับเดียวกันเกรงว่าจะไม่มีผู้ใดสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเมิ่งเอ๋อร์
อวิ๋นโม่พยักหน้า ความสามารถของน้องสาวเพิ่มขึ้น เขาก็ดีใจ
วันรุ่งขึ้นอวิ๋นโม่หยุดฝึกหมัดทลายภูผา หักโหมฝึกติดต่อกันก็ไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีสักเท่าไร เขาต้องใช้สิ่งอื่นเกื้อหนุน สายตาของเขาหันไปทางน้ำตกสูงที่อยู่ด้านข้าง นี่จึงจะเป็นสิ่งที่เขาให้ความสำคัญที่สุด อาศัยกำลังรุนแรงของน้ำตกช่วยเหลือ การฝึกฝนหมัดทลายภูผาก็เหมือนมีแรงเสริมเพิ่มมาอีกครึ่งหนึ่ง
ใต้น้ำตกมีศิลาก้อนหนึ่ง ศิลาก้อนนี้ถูกกระแสน้ำตกกระแทกจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ แสดงให้เห็นว่าพลังของน้ำตกน่ากลัวเพียงใด เห็นอวิ๋นโม่เข้าไปอยู่ใต้น้ำตก เมิ่งเอ๋อร์ก็ร้องเสียงหลงคำหนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เป็นอะไรจึงเบาใจหันไปฝึกฝนเพลงกระบี่เทพธิดาต่อไป
ระยะแรกอวิ๋นโม่ยากจะยืนหยัดอยู่ใต้น้ำตก หลังจากผ่านไปหลายชั่วยามเขาถึงสามารถออกหมัดอยู่ใต้น้ำตกได้ง่ายขึ้น หมัดทลายภูผามีท่าร่างหลากหลายพิสดาร เมื่อต้องออกหมัดภายใต้พลังกดดันของน้ำตก อวิ๋นโม่จึงสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
หลังผ่านไปหนึ่งวัน อวิ๋นโม่ที่อยู่ใต้น้ำตกก็ไม่รู้สึกลำบากสักเท่าไรแล้ว เห็นได้ชัดถึงความยอดเยี่ยมของหมัดทลายภูผา อวิ๋นโม่ยกคิ้วขึ้น ชาติก่อนเขาเคยใช้พลังของน้ำตกแต่ก็ไม่สามารถขึ้นไปถึงระดับสูงสุด ตอนนี้เขากลับห่างจากระดับในชาติก่อนอีกไม่มากแล้ว แต่หากเปรียบเทียบกับระดับเสริมกำลังของลั่วเทียน นับว่ายังต่างชั้นอยู่เล็กน้อย เขารู้เหตุผลแล้ว เป็นเพราะน้ำตกสูงไม่พอ แรงน้ำที่กระแทกลงมาไม่เพียงพอต่อความต้องการ
“สมควรทำเช่นไรดี” หากไม่ใช้กำลังของน้ำตกช่วยเหลือ ในระยะเวลาสั้นๆ เขาก็ยังคิดหาทางที่ดีกว่าไม่ออก
ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกาย รีบกลับบ้านไปหาตะกร้าสานขนาดใหญ่ใบหนึ่ง
“พี่ใหญ่ ท่านเอาตะกร้ามาทำอะไร” เมิ่งเอ๋อร์ไม่เข้าใจ
“เมิ่งเอ๋อร์ รีบช่วยพี่ใหญ่เก็บก้อนกรวดเล็กๆ ขึ้นมา” อวิ๋นโม่ไม่อธิบาย แต่เก็บก้อนกรวดที่อยู่ในลำธาร
เมิ่งเอ๋อร์แม้จะไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ถามต่อ หันไปช่วยอวิ๋นโม่เก็บก้อนกรวด
หลังจากเก็บก้อนกรวดจนเต็มตะกร้า อวิ๋นโม่ก็หิ้วตระกร้าขึ้นเขา เมิ่งเอ๋อร์มองจนอ้าปากกว้าง พี่ใหญ่เปลี่ยนเป็นมีพละกำลังมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด
ก้อนกรวดในตะกร้านั่น อย่างน้อยก็ต้องหนักสักสามพันชั่ง* อวิ๋นโม่กลับแบกเหมือนมันไม่ใช่ก้อนหินแต่เป็นดอกไม้ตะกร้าหนึ่ง ยังดีที่ตะกร้าสานจากเถาวัลย์อย่างแน่นหนา ไม่เช่นนั้นเกรงว่าคงจะขาดไปแล้ว
………………………………………
*斤 jīn หน่วยระบุน้ำหนักของจีน 1 ชั่ง เท่ากับ ครึ่งกิโลกรัมหรือ 500 กรัม