กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 11 ประลองกับอวิ๋นเลี่ย

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        อวิ๋นเลี่ยมองอวิ๋นโม่แล้วอดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นกระโดดขึ้นไปบนเวทีในลานฝึกยุทธ์โดยไม่ใส่ใจอวิ๋นโม่แม้แต่น้อย อวิ๋นเลี่ยยืนอยู่บนเวทีพลางโบกมือยิ้มให้พวกลูกศิษย์ในตระกูลอวิ๋น วาดแขนแสดงกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งของตนเองจนเกิดเสียงสูดลมหายใจโดยรอบ ฐานะของอวิ๋นเลี่ยในตระกูลอวิ๋นสูงส่ง เป็นที่ชื่นชมอย่างยิ่ง

 

        อวิ๋นโม่ผงกศรีษะให้หลีเยียนและเมิ่งเอ๋อร์ สื่อความหมายให้พวกนางวางใจ จากนั้นเดินขึ้นเวทีอย่างไม่รีบร้อน พวกลูกศิษย์ในตระกูลอวิ๋นต่างดูถูกอวิ๋นโม่ เขาคือเศษสวะนามกระฉ่อนที่แม้แต่บ่าวไพร่ในตระกูลยังสู้ไม่ได้ แล้วจะเป็นคู่ต่อสู้ของอวิ๋นเลี่ยได้อย่างไร

        ข้างกายหลีเยียนมีฮูหยินหลายคนเดินมาหา ฮูหยินอวบอ้วนผู้หนึ่งกังวลใจราวกับอวิ๋นโม่คือคนในครอบครัวตน นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจอย่างยิ่ง “ข้าว่านะหลีเยียน เด็กน้อยอย่างอวิ๋นโม่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำก็แล้วไปเถอะ แต่เจ้าไม่ควรเหลวไหลไปกับเขาด้วย ดูสิ เขามีพละกำลังน้อยเพียงเท่านี้ แล้วจะไปสู้กับอวิ๋นเลี่ยได้อย่างไร ข้าว่าเจ้ารีบไปนำพาอวิ๋นโม่ลงมาแล้วขอโทษอวิ๋นเลี่ย มอบส่วนแบ่งทรัพยากรในแต่ละเดือนให้ฝ่ายนั้นเสีย อย่างน้อยยังพอจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้”

        “ใช่แล้ว เด็กน้อยอวิ๋นโม่คนนี้ พวกเราต่างก็เห็นเขาเติบโตขึ้นมา แม้พรสวรรค์ด้านวรยุทธ์จะย่ำแย่จนใช้การไม่ได้ แต่หากมาตายบนเวทีประลอง จะทำให้ผู้คนรู้สึกเสียใจเพียงใด”

        เมิ่งเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างย่นจมูก กล่าวอย่างไม่พอใจ “เรื่องของครอบครัวเราไม่ต้องให้พวกท่านมายุ่ง! หึ พวกท่านแต่ละคนล้วนดูถูกพี่ใหญ่ข้า อีกครู่ก็เบิกตาดูให้ดีว่าพี่ใหญ่ของข้าเอาชนะอวิ๋นเลี่ยเช่นไร!”

        “เชอะ ยายเด็กนี่ พวกข้าหวังดีกับบ้านเจ้าหรอกนะ เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร” ฮูหยินอวบอ้วนเอ่ยอย่างไม่พอใจ

        ฮูหยินอีกผู้หนึ่งเอ่ยเสริม “หลีเยียน เจ้าไม่รู้จักอบรมลูกบ้างเลย เด็กในบ้านเจ้ากล้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้กล่าวกับพวกเรา นี่เป็นท่าทีที่ผู้เยาว์สมควรแสดงต่อผู้อาวุโสหรือ”

        หลีเยียนไม่รู้ถึงพละกำลังของอวิ๋นโม่ มากน้อยย่อมกังวลอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นท่าทีมั่นใจของลูกชาย นางก็พอจะเบาใจได้บ้าง เมื่อได้ยินคำพูดของพวกฮูหยินที่อยู่ข้างๆ จึงเอ่ยปาก “ขอบคุณ ‘ความห่วงใย’ ของทุกท่าน แต่ว่าเมิ่งเอ๋อร์พูดถูก นี่เป็นเรื่องของครอบครัวเรา มีข้าคอยกังวลใจก็พอ พวกท่านยังคงเป็นห่วงเรื่องของครอบครัวตัวเองเถอะ อีกอย่าง ผู้อาวุโสที่น่าเคารพจึงจะเป็นผู้อาวุโส เมิ่งเอ๋อร์ของครอบครัวข้าน่ารัก รู้ว่าควรให้ความเคารพผู้อาวุโสเช่นไร”

        “เจ้า!” ฮูหยินที่เอ่ยปากเหล่านั้นพากันขัดเคืองขึ้นมา

        “ไม่รู้จักดีชั่ว อีกเดี๋ยวพอเจ้าเด็กน้อยอวิ๋นโม่ตายอยู่บนเวทีก็ถึงเวลาที่เจ้าต้องร้องไห้แล้ว!”

        หลีเยียนขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “ระวังคำพูดของพวกเจ้าด้วย หากยังกล้าสาปแช่งโม่เอ๋อร์ของบ้านข้า ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

        พวกฮูหยินที่อยู่โดยรอบต่างคิดไม่ถึงว่าหลีเยียนในวันนี้จะเข้มแข็งขึ้นมา จึงถูกความดุดันในน้ำเสียงของนางทำเอาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ รอจนรู้สึกตัวคิดตอบโต้ เวลาก็ล่วงเลยไปแล้ว พูดไปก็ไม่เกิดผลใด ฮูหยินผู้นั้นกล้ำกลืนความอึดอัดลงไป หนึ่งในพวกนางส่งเสียงพึมพำ “หึ รอดูกันไปเถอะ!” 

        ยามที่อวิ๋นโม่ขึ้นไปบนเวที อวิ๋นเลี่ยทำเป็นมองไม่เห็นเขา ยังคงโอ้อวดกล้ามเนื้อของตนเองต่อไป

บนเวทีประลองมีอาวุธที่ยามปกติพวกศิษย์ในตระกูลอวิ๋นใช้สำหรับฝึกฝนอยู่ไม่น้อย ในบรรดาอุปกรณ์เหล่านั้นมีกลองขนาดใหญ่อยู่ใบหนึ่งซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบพละกำลัง เมื่อต่อยลงไปบนนั้นหนึ่งครั้ง เสียงที่ดังขึ้นมาก็คือหนึ่งพันชั่ง หากดังขึ้นสองครั้งก็คือสองพันชั่ง

        อวิ๋นเลี่ยหันมาทางอวิ๋นโม่ ก่อนเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม จากนั้นโคจรพลัง ต่อยลงไปยังจุดวัดพลังหนึ่งหมัด

        กลองใบนั้นเริ่มส่งเสียงดัง หนึ่งครั้ง สองครั้ง ไปจนถึงแปดครั้งอย่างไม่ขาดตอน แสดงว่าพละกำลังของอวิ๋นเลี่ยถึงระดับเสริมกำลังขั้นแปดชั้นฟ้าแล้ว ทุกคนต่างไม่ประหลาดใจด้วยก่อนหน้านี้อวิ๋นเลี่ยก็มีพละกำลังเช่นนี้อยู่แล้ว

        “ยังมีเสียงดังอีกหรือ” ทุกคนต่างตั้งใจฟัง

        จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นอีก ครั้งที่เก้า! อวิ๋นเลี่ยมีพละกำลังสูงถึงระดับเสริมกำลังขั้นเก้าชั้นฟ้า

        “เก้าพันชั่ง หรือว่าอวิ๋นเลี่ยบรรลุระดับเสริมกำลังขั้นเก้าชั้นฟ้า” บางคนตกตะลึง พละกำลังเช่นนี้พอที่จะเป็นแถวหน้าสุดของผู้เยาว์ในตระกูลอวิ๋นแล้ว

        จากนั้นเสียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง แม้เสียงจะไม่ดังเท่าไรแต่ก็แสดงให้เห็นว่า พละกำลังของอวิ๋นเลี่ยเกือบจะถึงระดับหมื่นชั่ง! 

        “โอ้!” ทุกคนอดหวั่นไหวไม่ได้ ก่อนหน้านี้อวิ๋นเลี่ยอยู่ที่ขอบเขตสูงสุดของระดับเสริมกำลังขั้นแปดชั้นฟ้า หากเลื่อนระดับก็คงเป็นขอบเขตเริ่มต้นของระดับเสริมกำลังขั้นเก้าชั้นฟ้า มีพละกำลังสูงถึงหมื่นชั่ง น่ากลัวเกินไปแล้ว แต่หากเขายังไม่บรรลุขั้นเก้าชั้นฟ้าละก็ นั่นจะน่ากลัวยิ่งกว่า ขั้นแปดชั้นฟ้าที่มีพละกำลังเกือบหมื่นชั่ง ถือว่าเหนือกว่ามาตรฐานทั่วไป แสดงให้เห็นว่าอวิ๋นเลี่ยเป็นผู้มีพรสวรรค์จริงๆ

        ข้างเวทีประลองมีเวทียกสูงที่มีเหล่าผู้อาวุโสนั่งอยู่ พวกผู้อาวุโสแปดต่างก็ปรากฏตัว มองอวิ๋นเลี่ยที่หนึ่งหมัดมีพละกำลังเกือบหมื่นชั่ง ผู้อาวุโสแปดพอใจมาก ผู้อาวุโสใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านข้างเอ่ยว่า “เจ้าแปด หลานอวิ๋นเลี่ยเพิ่งบรรลุระดับเสริมกำลังขั้นเก้าชั้นฟ้าหรือ”

        “พี่ใหญ่ ตอนนี้เลี่ยเอ๋อร์ยังอยู่ในระดับเสริมกำลังขั้นแปดชั้นฟ้า เขาบอกว่าต้องการปรับพื้นฐานให้มั่นคงจึงไม่รีบร้อนทะลวงระดับ” น้ำเสียงของผู้อาวุโสแปดแสนจะพึงพอใจ คำพูดของเขายังแฝงความหมายว่า หากอวิ๋นเลี่ยคิดจะทะลวงระดับเมื่อใดก็สามารถทำได้เมื่อนั้น

        “ฮ่าๆ เจ้าเด็กอวิ๋นเลี่ยคนนี้เป็นผู้มีพรสวรรค์จริงๆ ยังไม่ถึงระดับเสริมกำลังขั้นเก้าชั้นฟ้าก็มีพลังหมัดถึงหมื่นชั่งแล้ว” ผู้อาวุโสใหญ่หัวเราะ หางตาปราดไปยังผู้อาวุโสรองที่อยู่ด้านข้างคล้ายไม่ตั้งใจ ซ้ำยังจงใจส่งเสียงดังกว่าเดิม

        ผู้อาวุโสแปดและผู้อาวุโสใหญ่สนิทสนมกัน แต่ผู้อาวุโสรองและผู้อาวุโสใหญ่อยู่กันคนละฝั่ง อวิ๋นเลี่ยหลานชายของผู้อาวุโสแปดมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา ผู้อาวุโสใหญ่ย่อมพึงใจ จากที่เขารู้ ตอนที่ลูกชายของผู้อาวุโสรองอวิ๋นซั่งหลงอยู่ในระดับเสริมกำลังขั้นแปดชั้นฟ้ามีพลังหมัดเพียงเก้าพันชั่งเท่านั้น นี่ชัดเจนว่าพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ของอวิ๋นเลี่ยสูงกว่าอวิ๋นซั่งหลงเสียอีก

        ผู้อาวุโสรองเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ระดับเสริมกำลังเพียงแสดงความแข็งแกร่งทางร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น พรสวรรค์ที่แท้จริงเป็นเช่นไร รอให้ถึงระดับก่อจิตจึงจะรู้ คนบางคนดีใจเร็วเกินไปแล้ว”

        บนเวทีประลอง อวิ๋นเลี่ยเชิดหน้าขึ้น มองอวิ๋นโม่ด้วยความลำพอง มันกวักมือต้องการให้อวิ๋นโม่แสดงพละกำลังออกมา

        อวิ๋นโม่ยืนนิ่งไม่ขยับ การแสดงพลังเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ เขาไม่คิดจะแสดงเรื่องน่าเกลียดเช่นนี้

        “เหอะ ไม่กล้าแม้แต่จะแสดงพลัง แล้วยังจะท้าประลองกับอวิ๋นเลี่ยอีก” บางคนแค่นหัวเราะเสียงเย็น เห็นได้ชัดว่ากำลังดูถูก ‘ความอ่อนแอ’ ของอวิ๋นโม่

        “ใช่แล้ว หากข้ามีกำลังหมัดเพียงสามสี่พันชั่ง ข้าก็ไม่กล้าแสดงออกมาเช่นกัน”

        “ฮ่าๆ! พูดได้ดี!”

        อวิ๋นเลี่ยมองอวิ๋นโม่อย่างดูถูก เดิมทีคิดว่าที่อวิ๋นโม่เสี่ยงเดิมพันต่อสู้กับมันคงจะมีความกล้าอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าจะอ่อนปวกเปียกเช่นนี้

        บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งกระโดดขึ้นมาบนเวทีประลอง เขาโบกมือให้ผู้คนทั้งหลายสงบลง ผู้คนพากันเงียบเสียง จากนั้นเขาก็เอ่ยปาก “วันนี้อวิ๋นโม่และอวิ๋นเลี่ยจะประลองกัน เดิมพันคือทรัพยากรในแต่ละเดือน บนเวทีประลอง เป็นตายไม่อุทธรณ์ ตามกฎของบรรพชน หากฝ่ายใดมิได้ยอมแพ้หรือตกตายไปก่อน ผู้ใดก็ไม่อาจยื่นมือเข้าแทรก! และต้องปฏิบัติตามข้อเดิมพันอย่างเคร่งครัด! การประลองครั้งนี้ มีท่านประมุขตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสเป็นพยาน!”

        “การประลองเริ่มขึ้น ณ บัดนี้!”

        อวิ๋นเลี่ยยืนนิ่งไร้การเคลื่อนไหว มันมองอวิ๋นโม่อย่างเหยียดหยาม เห็นอวิ๋นโม่ไม่เคลื่อนไหวจึงเอ่ยปาก “เหอะๆ เจ้ายังมีความกล้าอยู่บ้าง ยังไม่ประกาศยอมแพ้”

        อวิ๋นโม่พลันยิ้มมุมปาก “หรือไม่เจ้าก็ยอมแพ้ก่อนสิ”

        อวิ๋นเลี่ยชะงัก สีหน้าเคร่งขรึมลง “นี่ไม่ใช่เรื่องตลก ในเมื่อเจ้าไม่ยอมแพ้ เช่นนั้นก็ไม่มีโอกาสนั้นแล้ว”

        “นายน้อยอวิ๋นเลี่ย ฆ่ามันเลย!” คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านล่างเวทีตะโกนอย่างตื่นเต้น คือหลิ่วมี่เจียงที่ถูกอวิ๋นโม่หักขานั่นเอง

        อวิ๋นเลี่ยหันไปผงกศีรษะให้หลิ่วมี่เจียง

        “หมัดเดียว!” อวิ๋นเลี่ยยกนิ้วชี้ขึ้นมา จากนั้นขยับลำคอ นิ้วมือ ข้อมือ จนเกิดเสียงกรอบแกรบ

        อวิ๋นโม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย มันคิดจะเอาชนะการประลองโดยใช้เพียงหมัดเดียว

        ตึง!

        อวิ๋นเลี่ยกระทืบพื้น กล้ามเนื้อขาส่งเสียงดังน่ากลัว พุ่งตัวเข้าหาอวิ๋นโม่ดุจลูกธนูพุ่งออกจากคันศร

        “เร็วมาก!” เสียงตกตะลึงดังขึ้นจากด้านล่างเวที

        อวิ๋นเลี่ยผุดยิ้มชั่วร้าย แววตาโหดเหี้ยม ควงหมัดใส่อวิ๋นโม่ พละกำลังหนึ่งหมื่นชั่งทะลักออกมา หากอวิ๋นโม่ยังคงเป็นอวิ๋นโม่ในกาลก่อน คงต้องตายใต้หมัดนี้แน่นอน

        “โม่เอ๋อร์!” หลีเยียนกุมมือเหนือหน้าอกด้วยความกังวล เมิ่งเอ๋อร์รู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง แม้นางจะรู้ถึงความแข็งแกร่งของพี่ใหญ่ดี แต่เมื่อรู้สึกถึงพลังหมัดอันรุนแรงของอวิ๋นเลี่ย ก็อดกังวลไม่ได้

        “หนึ่งหมื่นชั่งก็นับว่าเก่งกาจหรือ” อวิ๋นโม่โคลงศีรษะ แม้เขาจะไม่เคยทดสอบอย่างจริงจัง แต่ก็รู้ดีว่าพละกำลังของตนเองในตอนนี้มากกว่าหนึ่งหมื่นชั่ง ตอนที่อยู่ระดับเสริมกำลังขั้นหกชั้นฟ้า พลังหมัดของเขาก็เหนือกว่าหนึ่งหมื่นชั่งแล้ว

        อีกอย่างความเร็วของอวิ๋นเลี่ย ถึงในสายตาของลูกศิษย์ตระกูลอวิ๋นจะเร็วมาก แต่สำหรับอวิ๋นโม่แล้วกลับช้าจนน่าอนาถ อวิ๋นโม่คิดว่าหากตนเองใช้พละกำลังระดับเสริมกำลังขั้นห้าชั้นฟ้าปะทะกับอวิ๋นเลี่ยจะเป็นเช่นไร ความคิดนี้พอผุดขึ้นมา ก็ไม่มีอะไรมาขวางอีก

        อยากทำอย่างไรก็ทำตามนั้น ถึงอย่างไรกล้ามเนื้อของเขาในตอนนี้ก็เหนือกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับเสริมกำลังขั้นเก้าชั้นฟ้าก็ไม่มีใครที่ร่างกายแข็งแกร่งกว่าเขา ต่อให้พละกำลังระดับเสริมกำลังขั้นห้าชั้นฟ้าจะไม่อาจเอาชนะอวิ๋นเลี่ยได้ พลังหมัดของอวิ๋นเลี่ยก็ไม่ได้เหนือกว่าเขาสักเท่าไร

        เมื่อคิดเช่นนี้ อวิ๋นโม่ก็ยกหมัดขึ้น ส่งพลังระดับห้าชั้นฟ้าเข้าปะทะอวิ๋นเลี่ย

        “เจ้าบ้านั่นเสียสติไปแล้วหรือ”

        “มันไม่หลบ!” 

        “ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับเสริมกำลังขั้นเก้าชั้นฟ้า ก็ยากจะรับหมัดของอวิ๋นเลี่ย เจ้านั่นกลับใช้แข็งชนแข็ง บ้าไปแล้ว!” 

        “ข้าว่าแขนของเขาจะต้องหักแน่!” 

        “หาที่ตาย!” อวิ๋นเลี่ยเห็นอวิ๋นโม่ไม่หลบ ทั้งยังยกหมัดตอบโต้ ก็ผุดยิ้มเย็น เพิ่มพลังหมัดถึงขีดสุด

        “จบแล้ว” ผู้อาวุโสแปดยิ้มอย่างผ่อนคลาย 

        ………………………………………

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท