กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 13 ประมุขตระกูลเชื้อเชิญ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาของประมุขตระกูล ผู้อาวุโสแปดก็ไม่กล้ากล่าวอะไรอีก รีบพาอวิ๋นเลี่ยที่สองตาเลื่อนลอยลงไปจากเวที ผู้อาวุโสใหญ่ก็ถอยออกไปอย่างเก้อเขิน

        อวิ๋นเว่ยเซิงกวาดตามองผู้คนในตระกูลอวิ๋น เอ่ยย้ำว่า “ก่อนหน้านี้ข้ากักตนฝึกวิชาจึงไม่ได้ดูแลเรื่องภายในตระกูล นี่เป็นความละเลยของข้า ต่อไปจะไม่ปล่อยให้เรื่องสกปรกในตระกูลเหล่านั้นเกิดขึ้นอีก ยังมีพวกคนที่ก่อนหน้านี้เคยดูถูกอวิ๋นโม่อย่างอยุติธรรม ข้าจะไม่เอาความ แต่หากหลังจากวันนี้ยังมีใครกล้ารังแกคนในตระกูลเดียวกันอย่างเหิมเกริม ข้าจะลงโทษตามกฎของตระกูล!”

        ผู้คนที่อยู่ล่างเวทีไม่มีใครกล้ากล่าวอะไร อวิ๋นโม่ในวันนี้เอาชนะได้แม้แต่อวิ๋นเลี่ย ยังจะมีใครกล้ารังแกเขาอีก ต่อให้เป็นพวกอวิ๋นซั่งหลงก็อาจไม่ได้แข็งแกร่งกว่าอวิ๋นโม่ ฝูงชนต่างประหลาดใจว่าทำไมอวิ๋นโม่ถึงเปลี่ยนเป็น แข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้

        คนทั้งหลายแยกย้ายจากไปอย่างรวดเร็ว แต่ความรู้สึกที่อวิ๋นโม่ทิ้งไว้กับฝูงชนยังคงไม่จางหายไป ในบรรดาคนเหล่านั้น หลิ่วมี่เจียงคือคนที่หวาดกลัวที่สุด แม้แต่อวิ๋นเลี่ยก็พ่ายแพ้ แล้วมันจะมีโอกาสพลิกฟื้นได้อย่างไร หลิ่วมี่เจียงตัดสินใจว่าจากนี้ต่อไปจะไม่แตะต้องอวิ๋นโม่อีก ส่วนพวกที่เคยรวมหัวกันรังแกอวิ๋นโม่ต่างก็หวั่นเกรงกันไปหมด ถึงท่านประมุขตระกูลจะกล่าวว่าใครก็ไม่อาจรังแกคนในตระกูลเดียวกันโดยง่าย แต่หากอวิ๋นโม่ต้องการคิดบัญชี เขาจะยังใส่ใจหรือ ถึงจะใส่ใจ แต่คงเป็นการตำหนิที่ไม่เจ็บไม่คันไม่กี่ประโยคเท่านั้น เทียบกันแล้วพวกอวิ๋นเลี่ยหากทำผิดคงมิใช่เช่นนี้กระมัง

        ดังนั้นคนมากมายจึงคิดว่า ควรสรรหาสิ่งใดไปชดเชยเพื่อดับไฟโทสะของอวิ๋นโม่ดี

        อวิ๋นเสี่ยวกั่วที่อยู่ในสนามมองเงาหลังของอวิ๋นโม่จากไป ในดวงตามีประกายแสงบางอย่าง

        ตกเย็นหลีเยียนลงมือทำอาหารมื้อใหญ่เพื่อฉลองชัยชนะของอวิ๋นโม่ ยามนี้นางดีใจจนถึงขั้นน้ำตาซึมไปแล้วหลายรอบ ทั้งยังรู้สึกว่าลูกชายเติบโตแล้ว ส่วนเมิ่งเอ๋อร์ก็ตื่นเต้นยินดี กระโดดไปมาราวกับผีเสื้อขยับปีกเริงระบำ

        หลังจากพวกเขากินอาหารเสร็จแล้ว ปรากฏว่ามีคนมากมายมาเยี่ยมเยือน บางคนเป็นพวกที่เคยรังแกครอบครัวของอวิ๋นโม่ ครั้งนี้พวกเขาพากันมาคำนับขออภัย แน่นอนว่าหลีเยียนยอมรับการคารวะนี้ เพราะเดิมก็เป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรกระทำอยู่แล้ว ไม่มีอะไรต้องเกรงใจ แต่กับคนพวกนี้นางย่อมไม่มีสีหน้าดีๆ ให้อีก

        คนอีกพวกหนึ่งคือคนที่คิดจะผูกสัมพันธ์กับครอบครัวอวิ๋นโม่ เด็กหนุ่มเอาชนะอวิ๋นเลี่ยได้ คิดดูแล้วต่อไปจะต้องมีสถานะไม่ต่ำต้อย สมควรผูกมิตรให้มาก กับคนพวกนี้หลีเยียนไม่ได้เฉยชาแต่ก็ไม่กระตือรือร้น เพียงตอบรับอย่างเหมาะสมเท่านั้น

        จากนั้นอีกพักใหญ่ ผู้ติดตามของประมุขตระกูลก็มาถึง แจ้งว่าท่านประมุขตระกูลต้องการพบอวิ๋นโม่

        “เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน จัดการธุระให้เรียบร้อยก็ยังไม่สาย ยามนี้ท่านประมุขตระกูลกำลังรับประทานอาหาร” ผู้ติดตามเอ่ยก่อนที่จะจากไป

        อวิ๋นโม่ได้ยินแล้วจึงไม่ได้ตามไปในทันที วันนี้คนที่มาเยี่ยมเยียนมีจำนวนไม่น้อย บางคนก่อนหน้านี้ไม่เคยติดต่อกับพวกเขา วันนี้กลับเป็นฝ่ายกระตือรือร้นมาด้วยตนเอง เขาก็ไม่อาจละเลย เพราะอย่างไรจากนี้ไปพวกเขายังต้องอาศัยอยู่ในตระกูลอวิ๋น การพบปะคนพวกนี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ในเมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่ควรต้องผิดใจกันอย่างไร้สาเหตุ

        หลังจากผู้คนจากไปหมดแล้ว อวิ๋นโม่จึงบอกกับหลีเยียนและเมิ่งเอ๋อร์ว่าตนจะไปพบท่านประมุขตระกูล

        “ใคร” ระหว่างทางอวิ๋นโม่เห็นเงาร่างคนผู้หนึ่งหลบอยู่ จึงร้องออกไปทันที

        อาศัยแสงสว่างจากโคมไฟข้างทาง อวิ๋นโม่ก็เห็นคนที่อยู่เบื้องหน้าได้อย่างชัดเจน เงาร่างนั้นคืออวิ๋นเสี่ยวกั่ว บนหน้าของนางยังผัดแป้งหนาเตอะชั้นหนึ่ง ทำให้สาวน้อยอย่างนางเปลี่ยนเป็นสาวสะพรั่งเกินวัย อวิ๋นโม่เห็นแล้วต้องขมวดคิ้ว เขาคิดมาตลอดว่าคนอยู่ในวัยใดก็สมควรทำตนให้เหมาะสมกับวัยนั้น ตัวอย่างเช่นอวิ๋นเสี่ยวกั่ว ทั้งที่ยังไม่ถึงวัยเติบใหญ่ เพียงอยู่ในวัยแรกแย้มเท่านั้น แต่กลับแต่งเติมเสียจนเกินวัย พาให้คนไม่ชื่นชม

        “พี่อวิ๋นโม่!” อวิ๋นเสี่ยวกั่วแสดงท่าทีเอียงอาย น้ำเสียงอ่อนโยน

        อวิ๋นโม่รู้ว่าอวิ๋นเสี่ยวกั่วเป็นคนเช่นไร ย่อมรู้สึกว่าน้ำเสียงนี้ไม่น่าฟัง พลันรู้สึกรังเกียจ

        “มีธุระหรือ หากไม่มีเรื่องอะไรก็หลีกไปเสีย” อวิ๋นโม่เอ่ยกับเด็กสาวด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อนางแม้แต่น้อย 

        อวิ๋นเสี่ยวกั่วชะงัก การแสดงออกเช่นนี้เห็นชัดว่าไม่ได้แสร้งทำ นางคิดว่าในใจของอวิ๋นโม่ยังคงคิดถึงตนอยู่ตลอด แต่ตอนนี้ท่าทีของอวิ๋นโม่ไม่เหมือนที่เคยคิด นางนึกว่าเพียงเผยความอ่อนโยนออกมาเล็กน้อย เด็กหนุ่มก็ต้องคุกเข่าลงตรงหน้า

        เพียงครู่เดียวอวิ๋นเสี่ยวกั่วก็กระหยิ่มอยู่ในใจยิ่งกว่าเดิม นางเชื่อว่าอวิ๋นโม่จงใจทำ แกล้งทำเป็นเล่นตัว สำหรับนางแล้ววิธีนี้อ่อนหัดนัก

        อวิ๋นเสี่ยวกั่วหลั่งน้ำตา “พี่อวิ๋นโม่ ข้ารู้ว่าท่านยังโกรธข้า เกลียดที่ข้าเคยลบหลู่ท่าน เกลียดที่ช่วงที่ผ่านมานี้ข้าไม่สนใจท่าน แต่ท่านรู้ไหมว่าที่ข้าทำไปทั้งหมดก็เพื่อตัวท่านเอง!”

        “อ๋อ เจ้าทำทั้งหมดนี้เพื่อข้างั้นหรือ” อวิ๋นโม่ย่อมไม่มีวันเชื่อถือสตรีเช่นนี้ หากนางทำเพื่อตนจริงย่อมเป็นผีหลอกแล้ว แต่อวิ๋นโม่อยากดูว่าสตรีเช่นนี้จะยังมีลูกไม้อะไรอีก

        “หากไม่ใช่เพื่อพี่อวิ๋นโม่ ข้าจะยอมทนลำบากเช่นนี้ทำไม” อวิ๋นเสี่ยวกั่วสีหน้าอ่อนโยน “ข้าทำเป็นตีจาก เพราะต้องการได้รับความไว้ใจจากอวิ๋นเลี่ย จะได้แอบให้ความช่วยเหลือท่าน ตอนนั้นอวิ๋นเลี่ยรังแกท่าน หากข้าไม่เกลี้ยกล่อมเขา พี่ท่านอาจถูกตีจนตายไปแล้ว พี่อวิ๋นโม่ ท่านไม่รู้หรอกว่าอยู่ข้างกายอวิ๋นเลี่ยทุกวัน ข้าต้องทนทรมานเพียงใด ข้าอยากจะกลับมาอยู่ข้างกายท่านตลอดเวลา”

        หลังพูดจบแล้วอวิ๋นเสี่ยวกั่วก็ร้องไห้เสียงแผ่ว

        อวิ๋นโม่หัวเราะเสียงเย็นในใจ สตรีผู้นี้รู้จักเล่นละครนัก เขามั่นใจว่า หากเป็นอวิ๋นโม่คนก่อนอาจถูกหลอกไปแล้ว แต่เขาคือใครกัน เขาคือคนที่อยู่มานานถึงสามพันปีแล้ว สายตากระจ่างแจ้ง เห็นคนเล่นละครมาแล้วไม่รู้เท่าไร อวิ๋นเสี่ยวกั่วยังหลอกเขาไม่ได้

        เมื่อครู่ตอนเห็นอวิ๋นเสี่ยวกั่ว เขาก็รู้จุดประสงค์ของนางแล้ว วันนี้เขาเอาชนะอวิ๋นเลี่ยด้วยพละกำลังที่เหนือกว่า ทั้งยังได้รับความเมตตาจากท่านประมุขตระกูล สถานะในตระกูลของเขาสูงขึ้น นางจึงกลับมาหาเพื่อขอเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

        “ฮ่าๆๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ลำบากเจ้าแล้ว”

        ดวงตาของอวิ๋นเสี่ยวกั่วเป็นประกาย ได้ผล! นางว่า “พี่อวิ๋นโม่ พรุ่งนี้พวกเราไปเดินเล่นกันดีหรือไม่”

        อวิ๋นโม่หัวเราะเสียงเย็น “ไม่จำเป็น ข้ายุ่งมาก ไม่มีเวลา เจ้าอยากไปหาใครก็ไปเถอะ อีกอย่าง ต่อไปเจ้าไม่ต้องมาหาข้าอีกแล้ว เห็นเจ้าแล้วรู้สึกรำคาญ!”

        ว่าแล้วอวิ๋นโม่ก็เดินอ้อมเด็กสาวไป เขาไม่ต้องการเสียเวลาอีก 

        อวิ๋นเสี่ยวกั่วมองอวิ๋นโม่ เห็นเงาหลังของอีกฝ่ายหายลับไปจึงเพิ่งรู้สึกตัว อวิ๋นโม่ไม่หลงกล!

        “ก็แค่สวะคนหนึ่ง มีอะไรให้น่าลำพองกัน!”

        อวิ๋นเสี่ยวกั่วกำหมัด ดวงหน้าซีดขาว แม้แต่เครื่องสำอางที่พอกหนาก็ปิดไว้ไม่อยู่

        อวิ๋นโม่มาถึงสถานที่พำนักของประมุขตระกูลก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังรอตนอยู่ที่ประตู

        “ท่านผู้นำตระกูล ท่านมารออยู่หน้าประตูเช่นนี้ได้อย่างไร!” อวิ๋นโม่รีบกล่าว หากไม่ใช่เพราะอวิ๋นเว่ยเซิง เกรงว่าเขาอาจถูกพวกผู้อาวุโสแปดฆ่าทิ้งแล้ว จึงยังคงให้ความเคารพชายคนนี้

        “ฮ่าๆ! ไม่เป็นไร อย่างไรเสียข้าก็ไม่มีอะไรทำ ในเมื่อเพิ่งทะลวงระดับได้ หักโหมฝึกฝนไปก็ไม่เกิดประโยชน์” เห็นชัดว่าประมุขตระกูลแสดงท่าทีดีต่ออวิ๋นโม่มากกว่าเมื่อก่อนอยู่หลายส่วน “อวิ๋นโม่ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเก่งกาจเช่นนี้ แม้แต่อวิ๋นเลี่ยก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า ตอนที่เจ้าท้าประลอง คิดว่าคงมีความมั่นใจที่จะเอาชนะอวิ๋นเลี่ยอยู่แล้วกระมัง ข้ากลับต้องกังวลแทนเจ้าอยู่เกือบเดือน ที่ไหนได้ เป็นข้าที่คิดมากเกินไป”

        “อวิ๋นโม่ไม่ได้ตั้งใจปิดบัง ยังต้องขอให้ท่านประมุขโปรดอภัย” อวิ๋นโม่ย่อมไม่สามารถเล่าเรื่องวิชาแพทย์และหมัดทลายภูผาแก่อวิ๋นเว่ยเซิง

        “ไม่เป็นไร ใครบ้างจะไม่มีความลับเล็กๆ น้อยๆ นี่เป็นเรื่องดี” อวิ๋นเว่ยเซิงเอ่ยด้วยความยินดี จากนั้นนำอวิ๋นโม่เข้าไปในห้อง

        อวิ๋นเว่ยเซิงมองอวิ๋นโม่ ในดวงตามีความพึงพอใจ “ไม่เสียทีที่เป็นบุตรของซั่งเฟิงกับหลีเยียน ช่างโดดเด่นเหมือนพวกเขาจริงๆ!”

        หัวใจของอวิ๋นโม่กระตุกขึ้นมา เขาแปลกใจมาตลอด ในความทรงจำที่มีอยู่ เขาจำไม่ได้เลยว่าบิดาเสียชีวิตไปแล้ว เช่นนี้อวิ๋นซั่งเฟิงบิดาของตนไปอยู่ที่ใดกัน เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็รีบถามข่าวคราวของบิดา สิ่งที่เขาจำได้คือ อวิ๋นซั่งเฟิงอยู่ๆ ก็หายตัวไป ไร้วี่แววทั้งข่าวการตายและรอดชีวิต

        หลังจากได้ยินคำพูดของอวิ๋นโม่ สีหน้าของอวิ๋นเว่ยเซิงก็เปลี่ยนไป “อวิ๋นโม่ เรื่องของบิดาเจ้า ยามนี้ยังบอกกับเจ้าไม่ได้ เจ้าก็อย่าได้ไต่ถามให้มาก หากถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าย่อมต้องเล่าให้เจ้าฟัง”

        อวิ๋นโม่ได้ฟังในใจก็หนักอึ้ง จากคำพูดของอวิ๋นเว่ยเซิง เรื่องของอวิ๋นซั่งเฟิงจะต้องเป็นเรื่องซับซ้อน ไม่แน่ว่าอาจเกี่ยวพันไปถึงขั้วอำนาจใหญ่ ตอนนี้ความสามารถของเขามีเพียงน้อยนิด ดังนั้นอวิ๋นเว่ยเซิงจึงไม่ยินดีเล่าเรื่องของอวิ๋นซั่งเฟิงแก่เขา 

        “ขอท่านบอกด้วยว่า บิดาของข้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”

        หลังเงียบไปนาน อวิ๋นเว่ยเซิงถึงได้เอ่ยปาก “เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ว่าตอนนี้ข้ายังบอกเรื่องของเขากับเจ้าไม่ได้”

        อวิ๋นโม่ทำความเคารพอวิ๋นเว่ยเซิง เพียงรู้ว่าอวิ๋นซั่งเฟิงยังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว ภายหน้าเขาจะต้องตามหาคนผู้นี้ให้เจอ ในเมื่อตนเองให้สัญญากับอวิ๋นโม่ที่ตายไปแล้วว่าจะมีชีวิตอยู่แทนเขา เช่นนั้นอวิ๋นซั่งเฟิงก็คือบิดาของตนเองในชาตินี้ ในเมื่ออวิ๋นซั่งเฟิงยังมีชีวิตอยู่ สำหรับอวิ๋นโม่แล้วนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ด้วยความสามารถทางการแพทย์ของเขา ต่อให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาก็มีวิธีรักษาให้หายได้

        “ท่านประมุขตระกูล ฟังจากคำพูดของท่าน เหมือนว่าพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ของท่านแม่ข้าจะไม่เลว แต่ว่าทำไม” อวิ๋นโม่ดูไม่ผิด พละกำลังของหลีเยียนอยู่ในระดับเสริมกำลังขั้นเก้าชั้นฟ้า แต่ว่าทำไมจึงดูเหมือนไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์

        อวิ๋นเว่ยเซิงถอนหายใจก่อนกล่าว “เรื่องการแบ่งระดับของผู้ฝึกยุทธ์ เจ้าสมควรมีความรู้อยู่บ้างกระมัง”

        “อืม!” อวิ๋นโม่พยักหน้า เขาสั่งสอนลั่วเทียนจนกลายเป็นเทพจักรพรรดิ แน่นอนว่าต้องรู้จักระดับที่ต่ำกว่าเทพสวรรค์ทั้งหมดอย่างดี

        ถัดขึ้นไปจากระดับเสริมกำลังคือระดับเปลี่ยนชีพจร ค่อยเข้าสู่ระดับก่อจิต ระดับท่องพันลี้ ระดับคงเขตแดน และอื่นๆ หากเป็นผู้ที่มีชีพจรยุทธ์ก็สามารถฝึกฝนได้ ระดับเปลี่ยนชีพจรสามารถแปลงชีพจรยุทธ์เป็นลมปราณ สะสมและบ่มเพาะในเส้นชีพจรและจุดตันเถียนจนถึงระดับที่สามารถสัมผัสปราณธรรมชาติในโลก ระดับก่อจิตดูดซับจิตวิญญาณแห่งฟ้าดินมาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายและใช้จิตวิญญาณโจมตี ระดับท่องพันลี้หลุดพ้นจากพื้นดินทะยานไปบนท้องนภาอย่างอิสระ ระดับคงเขตแดนเข้าใจวิถีแห่งฟ้าดิน สร้างเขตแดนโจมตีและป้องกัน

        อวิ๋นเว่ยเซิงกล่าวต่อ “ตอนนั้นมารดาของเจ้าฝึกฝนจนถึงระดับเปลี่ยนชีพจรขั้นเก้าชั้นฟ้า สามารถแปลงชีพจรยุทธ์ทั้งหมดเป็นลมปราณแล้ว ขาดอีกเพียงก้าวเดียวก็จะเป็นยอดฝีมือระดับก่อจิต เจ้าควรรู้ดีว่าพลังปราณในร่างของผู้ฝึกยุทธ์ยามอยู่ระดับเปลี่ยนชีพจรเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่อาจถ่ายเทออกนอกร่างกาย ไม่เช่นนั้นจะไม่อาจก้าวสู่ระดับก่อจิต”

        “ท่านหมายความว่า” อวิ๋นโม่ตกตะลึง เขารู้ว่าลมปราณในร่างของผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจรเกิดจากภายในร่างกายผู้ฝึกเอง สะสมบ่มเพาะในเส้นชีพจรและจุดตันเถียน ทันทีที่ลมปราณทั้งหมดในร่างของผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจรสูญสลายไป ก็จะไม่อาจบรรลุถึงระดับก่อจิตได้แล้ว หลังจากนั้นพลังยุทธ์จะเสื่อมลง อาจถดถอยไปถึงระดับเสริมกำลัง

        “ตอนนั้นเพราะเรื่องราวบางประการ มารดาเจ้าจึงจำเป็นต้องถ่ายเทลมปราณของตนเอง จากนั้นระดับยุทธ์ก็เสื่อมถอยจนเหลือเพียงระดับเสริมกำลัง”

        อวิ๋นโม่ตกอยู่ในความเงียบ เขาคาดเดาได้ว่าสาเหตุที่ระดับพลังของมารดาเสื่อมถอยน่าจะเกี่ยวพันกับบิดา ไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด อวิ๋นโม่ในวันนี้ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ จึงไม่ถามอะไรมาก การรักษาผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจรที่สูญเสียลมปราณในร่างไปอาจยากสำหรับผู้อื่น แต่หากเป็นอวิ๋นโม่แล้วนับว่าง่ายดาย ในชาติก่อนเขาเคยรักษาคนมาไม่รู้ตั้งเท่าไร อีกทั้งผู้ที่รู้วิธีรักษาก็ไม่ได้มีแต่เขาคนเดียว

        ถึงตอนนี้อวิ๋นโม่ก็กำหนดขั้นตอนการรักษาให้มารดาได้แล้ว

        “เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว วันนี้ที่ข้าเรียกเจ้ามาเพราะมีเรื่องหนึ่งต้องการพูดกับเจ้า”

        “เชิญท่านกล่าว” อวิ๋นโม่ดึงความสนใจกลับมา

        “หากข้าดูไม่ผิด ตอนนี้เจ้าคงถึงระดับเสริมกำลังขั้นเจ็ดชั้นฟ้าแล้วกระมัง”

        “เป็นระดับเสริมกำลังขั้นเจ็ดชั้นฟ้าจริงๆ” การฝึกฝนของตนไม่จำเป็นต้องปิดบังประมุขตระกูล

        “อืม” อวิ๋นเว่ยเซิงผงกศีรษะ “ภายในหนึ่งเดือน เจ้าก็สามารถฝึกฝนจากระดับเสริมกำลังขั้นสี่ชั้นฟ้าเป็นขั้นเจ็ดชั้นฟ้า ถึงจะเป็นเพราะได้รับโอกาส แต่ก็ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึงแล้ว เจ้าคงเคยได้ยินมาบ้างว่าสำนักศึกษาราชวงศ์จั่วสุยประกาศรับนักเรียนทุกๆ สามปี อีกเพียงครึ่งปีก็จะถึงกำหนดเวลารับนักเรียนใหม่แล้ว การเข้าสำนักศึกษาราชวงศ์จั่วสุย ก่อนอื่นต้องมีพลังระดับเสริมกำลังขั้นเก้าชั้นฟ้าหรือสูงกว่า ข้าคิดว่าระยะเวลาครึ่งปี เจ้าสมควรบรรลุถึงระดับเสริมกำลังขั้นเก้าชั้นฟ้าแล้ว”

        ระยะเวลาครึ่งปีหรือ อวิ๋นโม่ไม่ได้พูดอะไร ในเมื่อตอนนี้เขามีน้ำนมปฐพี ระยะเวลาแค่หนึ่งเดือนก็พอแล้ว

        สำนักศึกษาราชวงศ์จั่วสุย คือสถาบันหลักในอาณาจักรจั่วสุยที่แม้แต่พวกหัวกะทิในเมืองหลวงยังคิดหาวิธีเข้าไปจนหัวแทบแตก สำหรับอวิ๋นโม่แล้วนับเป็นข้อดี ชาติก่อนเขาไม่มีโอกาสฝึกวรยุทธ์ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนร่างกายหรือวิชาต่อสู้ล้วนไม่เป็นสักอย่าง วิชาของตระกูลอวิ๋นนับว่าดี แต่หากต้องการเรียนรู้การต่อสู้ที่ดีกว่าก็ต้องไปสำนักศึกษาราชวงศ์จั่วสุยเท่านั้น

        ………………………………………

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท