กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 19 ต่อไปข้าจะดูแลพวกท่าน

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        สมุนไพรที่เขาแบกเอาไว้บนหลังมีมูลค่ามากกว่าวัตถุดิบจากสัตว์อสูรพวกนี้ หากขายที่นี่คงขาดทุนหนัก อวิ๋นโม่ต้องการประมูลถุงเฉียนคุน ไม่อาจสิ้นเปลืองเงินมากเกินไป ส่วนที่ขาดทุนจากชิ้นส่วนสัตว์อสูรนั้นไม่กระทบต่อภาพรวม

        ขณะที่รอเจ้าของแผงผอมสูงรวบรวมเงิน อวิ๋นโม่ก็นำอาวุธวิญญาณที่เปื้อนเลือดของโจรภูเขาเหล่านั้นไปยังเบื้องหน้าเจ้าของแผงที่เคยต้องการซื้อง้าวคืนเหมันต์

        “ท่านมี… มีธุระอะไรหรือไม่” เมื่อเห็นอาวุธวิญญาณทั้งห้าชิ้น เจ้าของแผงก็ลอบตื่นตระหนก สามารถสังหารโจรภูเขาที่โหดเหี้ยมเหล่านั้นได้ พลังของอวิ๋นโม่ต้องไม่น้อยกว่าระดับเปลี่ยน​ชีพจรชั้นสูงแน่นอน ความสามารถเช่นนี้ ในเมืองกวนซานเจิ้นมีแต่พวกผู้อาวุโสระดับสูงของสามตระกูลใหญ่เท่านั้น บนร่างของอวิ๋นโม่ยังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ทำเอาเจ้าของแผงหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ 

        “ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการซื้อง้าวของข้าหรือ” อวิ๋นโม่ยิ้ม

        “ไม่… ไม่ต้องการแล้ว ไม่เอาแล้ว แหะๆ…” เจ้าของแผงยิ้มแหย ล้อเล่นน่า เจอกับผู้แข็งแกร่งระดับนี้ เขาไหนเลยจะกล้าปากเสียขอซื้ออาวุธจากอีกฝ่าย ต้องรู้ว่าสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่ขึ้นไปยังเทือกเขาเหนือเมฆา บางครั้งอาวุธก็มีค่าเท่ากับชีวิตของตนเอง หากเจ้าคิดจะซื้ออาวุธ นั่นมิเท่ากับว่าก่อความแค้นเอาชีวิตของผู้อื่นหรือ

        อวิ๋นโม่วางอาวุธของพวกโจรลงบนแผงของเจ้าของแผงลอย “ง้าวของข้า ข้าย่อมไม่ขาย แต่อาวุธเหล่านี้สามารถขายให้เจ้าได้”

        “นี่…” เจ้าของแผงมองอวิ๋นโม่ด้วยความลำบากใจ ทั้งไม่กล้าพูดว่าจะซื้อ และไม่กล้าบอกปัด

        “ทำไม หรือรังเกียจว่าอาวุธเหล่านี้แย่เกินไป”

        “ไม่ใช่! ไม่ใช่!” เจ้าของแผงรีบส่ายศีรษะ สุดท้ายก็รวบรวมความกล้าอธิบาย “นายท่านผู้นี้ อาวุธเหล่านี้เป็นสมบัติของโจรภูเขา หากข้ารับซื้อก็เท่ากับล่วงเกินพวกมัน ท่านต้องรู้ว่าแมงป่องพิษที่เป็นหัวหน้าโจรกลุ่มนี้เป็นยอดฝีมือระดับก่อจิต หากมันจะฆ่าข้าก็ไม่ต่างอะไรกับการบี้มดสักตัว ข้าเป็นเพียงพ่อค้าตัวเล็กๆ ไหนเลยจะรับมือพวกมันได้”

        อวิ๋นโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเจ้าของแผงจะหวาดกลัวพวกโจรถึงเพียงนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้หากเขาต้องการขายอาวุธพวกนี้เกรงว่าคงไม่ง่ายแล้ว

        ในตอนนั้นเอง ชายร่างอ้วนเหมือนลูกหนังผู้หนึ่งก็เคลื่อนกายมาอยู่ตรงหน้าอวิ๋นโม่ เขามองอาวุธเหล่านั้นด้วยรอยยิ้มหวาน “น้องชาย หากเป็นไปได้ ข้ายินดีรับซื้ออาวุธพวกนี้”

        เจ้าของแผงผู้​นั้นผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ เขากลัวจริงๆ​ว่าอวิ๋นโม่จะบังคับให้ตนซื้ออาวุธ​เหล่านั้น แม้มันเป็นของมีราคา แต่หากเขารับซื้อมาจริงๆ ก็คงไม่กล้าขายออกไป ทำได้เพียงมอบคืนให้ฝูง​โจรแต่โดยดี ในเมื่อมีคนยินดีซื้อ เขาก็สามารถ​ถอนตัวได้แล้ว

        “เอ๋ เจ้ายินดีจ่ายเท่าไร” อวิ๋นโม่ถาม

        ชายอ้วนผู้นั้นชูนิ้วที่เหมือนหัวไชเท้า​ขึ้นตรงหน้าอวิ๋นโม่พลางโบกไปมา “หนึ่งพันเหรียญทอง”

        “หนึ่ง​พัน” อวิ๋นโม่ขมวดคิ้ว “หากบอกว่าอาวุธ​สามชิ้นที่เหลือเป็น​อาวุธ​วิญญาณ​อาจฝืนเกินไป แต่หอกเหล็กและกรงเล็บ​คร่าวิญญาณต่างก็ไม่ใช่​อาวุธ​ธรรม​ดา เป็น​อาวุธ​วิญญาณ​แน่นอน หนึ่ง​พันเหรียญทอง​ แค่หอกเหล็กก็ยังไม่อาจซื้อ” 

        เดิมเขาคิดจะหาเงินจากอาวุธ​เหล่านี้สักก้อน​หนึ่ง​คิดไม่ถึง​ว่าอีกฝ่าย​จะกดราคา​ขนาด​นี้​

        “น้องชาย เจ้าต้องรู้ว่านี่เป็น​สมบัติเปื้อน​เลือดของพวกโจรภูเขา รับซื้อของพวกนี้ ข้าต้องเสี่ยงหนัก ทั่วทั้งเมืองกวนซานเจิ้นนอกจากข้าเกรงว่าไม่มีใครกล้าซื้อแล้ว หนึ่ง​พันเหรียญทอง​นับว่าไม่น้อยแล้ว” คนอ้วนส่ายศีรษะ​

        อวิ๋นโม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดเรื่องจริง ดูจากบุคลิก​ของเถ้าแก่ผู้นี้ก็รู้ได้ว่า ผู้​ที่กล้าซื้ออาวุธ​เหล่านี้ในเมืองกวนซานเจิ้นนั้นมีไม่มาก คิดแล้วอวิ๋นโม่ก็จัดเรียงอาวุธทีละชิ้น เอ่ยว่า “สองพันเหรียญทอง​ หากไม่สนใจ ข้าจะนำไปขายที่อื่น ชาวเมืองกวนซานเจิ้นไม่กล้าผิดใจกับพวกโจร​ภูเขาก็จริง แต่ข้าไม่เชื่อว่าคนเมืองอื่นจะกลัวพวกมันเช่นกัน”

        “ตกลง สองพันเหรียญ​ทองก็ได้!” ชายอ้วนโบกมือ เนื้อบนร่างกระเพื่อมไม่หยุด

        เพียงไม่นานอวิ๋นโม่ก็ได้รับตั๋ว​เงินสองพันเหรียญทอง​ชายอ้วนผู้​นั้นเรียกบ่าวไพร่มารับอาวุธ​ไปด้วยความยินดี ทั้งยังกล่าวกับอวิ๋นโม่ว่า “น้องชาย หากภายหน้ายังมีของดีเช่นนี้อีก อย่าลืมมาหาข้า”

        อวิ๋นโม่พยักหน้ารับสบายๆ ก่อนเดินกลับไปฝั่งแผงของชายผอมสูง คนอื่นๆ ได้ยินคำพูด​ของชายอ้วนผู้นั้นก็อดทำคอหดไม่ได้ เจ้าเด็กหนุ่มผู้ไม่​รู้ที่มาฆ่าโจรภูเขาไปหลายคน แมงป่อง​พิษจะต้องเดือดดาล​อย่างหนัก หากครั้งหน้ายังกล้าขึ้นเขาไปคนเดียวเกรงว่าคงไม่อาจมีชีวิตรอดกลับมาแล้ว ไหนเลยจะยังมีโอกาส​เก็บอาวุธ​มาขายอีก

        ครึ่งชั่วยามต่อมา เจ้าของแผงผอมสูงก็ให้คนรวบรวมเงินเสร็จเรียบร้อย วัตถุดิบ​ทั้งหมดถูกรับซื้อไปในราคาสี่พันกว่าเหรียญทอง​รวมกับสองพันเหรียญทอง​ก่อนหน้า บนตัวของอวิ๋นโม่ก็มีเงินหกพันกว่าเหรียญทอง​แล้ว เขาพลันรู้สึกว่าตนเองเป็นเศรษฐี​ขึ้นมา เพราะสำหรับคนตระกูล​อวิ๋น หกพันเหรียญทอง​นับว่าเป็น​เงินจำนวน​ไม่น้อย แต่เงินเพียงเท่านี้ หากคิดจะซื้อถุงเฉียนคุนนับว่ายังขาดอีกมาก ยังดีที่มีสมุนไพรวิญญาณ​อยู่​อีกห่อหนึ่ง มูลค่าของพวกมันสูงกว่าวัตถุดิบ​จากสัตว์​อสูร​มากนัก

        อวิ๋นโม่แบกสมุนไพรวิญญาณ​กลับไปยังเมืองกวนซานเจิ้น เขาเลือกไปยังร้านยาซวนหลิงที่ให้ราคาสมเหตุสมผล​พออวิ๋น​โม่วางสมุนไพรเหล่านั้นลงบนโต๊ะยา สายตาของอีกฝ่ายก็หรี่เป็น​เส้นตรง อวิ๋นโม่ถูกเชิญ​ขึ้นไปบนชั้นสองอย่างรวดเร็ว​ราวกับเป็น​ลูกค้ากิตติมศักดิ์​

        หลังจากต่อรองราคากันอยู่พักหนึ่ง สมุนไพร​​เหล่านั้นก็ถูกซื้อไปในราคาสองหมื่นกว่าเหรียญทอง​แม้แต่ร้านยาซวนหลิงที่ร่ำรวย​ยังต้องใช้เวลารวบรวมเงินอยู่​ครู่หนึ่ง​

        เมื่อรวมกับเงินหกพันเหรียญทอง​ก่อนหน้า อวิ๋นโม่ก็มีเงินเกือบสองหมื่นแปดพันเหรียญทอง​แล้ว เท่าที่เขาจำได้ ตระกูล​อวิ๋นนอกจาก​อสังหาริมทรัพย์ที่ไม่อาจโยกย้าย เงินทองที่สามารถใช้สอยก็ไม่ได้มากกว่านี้สักเท่าไร เงินจำนวนนี้ทำให้อวิ๋นโม่รู้สึกว่าตนพอจะเข้าร่วมประมูลถุงเฉียนคุนได้แล้ว

        ถึงอย่างนั้นหากต้องการมั่นใจว่าจะได้ถุงเฉียนคุนมาไว้ในมือเกรงว่ายังคงขาดอีกพอสมควร แต่อวิ๋นโม่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้แล้ว ตอนนี้เขาร้อนใจอยากหลอมโอสถเสริมวิญญาณ จะได้ฝึกจิตสร้างญาณหยั่งรู้ ส่วนเรื่องเงินทอง อีกหน่อยค่อยคิดหาหนทาง

        อวิ๋นโม่ไม่รีบร้อนไปถอนพิษให้อู่ซานเหอ อย่างไรเขาก็รอมานานแล้ว ให้รอต่อไปอีกสักหลายวันก็ไม่เลว อวิ๋นโม่ถอดเสื้อคลุม ปลดหน้ากาก อำพรางง้าวมิดชิดแล้วค่อยกลับบ้าน 

        “พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว!” 

        เมิ่งเอ๋อร์เห็นอวิ๋นโม่ก็ถลาเข้ามาหา ใบหน้าเปี่ยมด้วยความยินดี

        “พี่ใหญ่ ท่านไม่กลับมาตั้งหลายวัน ข้ากับท่านแม่กังวลใจแทบแย่แล้ว!” เมิ่งเอ๋อร์ทำปากคว่ำขณะแสร้งโกรธ

        อวิ๋นโม่ลูบศีรษะนางเบาๆ “องค์หญิงน้อยของพวกเรา อย่าโกรธเคืองไปเลย พี่ใหญ่นำของดีมาให้เจ้า”

        เมิ่งเอ๋อร์รับกล่องที่อวิ๋นโม่ส่งมาแล้วเปิดออกดู ด้านในมีปิ่นหงส์ชุดหนึ่ง

        “โอ้โห งดงามมาก!” เมิ่งเอ๋อร์อุทานด้วยความประหลาดใจ แต่แล้ว ความยินดีบนใบหน้าก็จางหายไป ก้มศีรษะเอ่ยคำ “นี่คงแพงมากกระมัง พี่ใหญ่ ไม่สมควรต้องเสียเงินจำนวนมากเพื่อเมิ่งเอ๋อร์”

        อวิ๋นโม่มองน้องสาวของตนเองด้วยความปวดใจ ก่อนหน้านี้บ้านของพวกเขายากจน ดังนั้นมารดาและเมิ่งเอ๋อร์จึงไม่เคยซื้อเครื่องประดับ ปิ่นหงส์ชิ้นนี้สมควรมีราคาสิบกว่าเหรียญทอง นับว่าไม่ถูกเลย ดังนั้นเมิ่งเอ๋อร์ผู้รู้ความจึงเก็บสีหน้าดีใจอย่างรวดเร็ว

        อวิ๋นโม่ลูบศีรษะน้องสาวอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เมิ่งเอ๋อร์ พี่ใหญ่หาเงินได้เยอะเลย ต่อไปพวกเราจะไม่ขาดแคลนเงินทอง! เมิ่งเอ๋อร์ชอบอะไรก็ซื้อได้เลย!”

        ว่าแล้วก็หยิบเหรียญทองจำนวนหนึ่งและตั๋วเงินหนึ่งร้อยเหรียญทองส่งให้เมิ่งเอ๋อร์

        “นี่มัน” เมิ่งเอ๋อร์เบิกตาโต มองอวิ๋นโม่อย่างไม่อยากเชื่อ เมื่อก่อนเงินแค่หนึ่งเหรียญทองสำหรับพวกเขาก็นับว่าเป็นเงินจำนวนไม่น้อยแล้ว ตอนนี้อวิ๋นโม่กลับหยิบเงินร้อยกว่าเหรียญทองออกมาวางตรงหน้าราวกับเป็นเรื่องธรรมดา ทำให้คนยากที่จะเชื่อ

        “พี่อวิ๋นโม่!” ในตอนนั้นเอง เสียงตะโกนเรียกของสาวน้อยผู้หนึ่งดังขึ้น

        “ปิงฮวา!” อวิ๋นโม่ยิ้มทักทาย อยู่ที่บ้านเมิ่งเอ๋อร์มีเพื่อนฝูงไม่มาก อวิ๋นปิงฮวาผู้นี้คือเพื่อนสนิทที่สุดของนาง อวิ๋นโม่หยิบกล่องไม้ใบหนึ่งจากในห่อผ้าส่งให้อวิ๋นปิงฮวาด้วยความรวดเร็ว ทำเอาเด็กสาวระงับความดีใจเอาไว้ไม่อยู่

        “ขอบคุณพี่อวิ๋นโม่!” อวิ๋นปิงฮวาคลี่ยิ้มเอ่ยขอบคุณ ก่อนหน้านี้ญาติผู้พี่ก็เคยให้ของขวัญนางบ่อยๆ แม้ราคาไม่สูงนักแต่เปี่ยมด้วยความจริงใจ ดังนั้นทุกครั้งที่เด็กหนุ่มมอบของขวัญให้นาง นางจึงรับเอาไว้ด้วยความยินดี

        “พวกเจ้าไปเล่นสนุกกันเถอะ ข้าจะกลับไปดูท่านแม่” อวิ๋นโม่ยิ้มตอบจากนั้นหันกายกลับเข้าบ้าน

        ‘บ้านพี่อวิ๋นโม่ก็ยากจนเหมือนบ้านข้า แต่กลับมอบของขวัญให้ข้าอยู่บ่อยๆ ต่อไปหากพวกเขาเจอเรื่องลำบาก ข้าก็สมควรช่วยเหลือพวกเขาบ้าง’ อวิ๋นปิงฮวาคิดเงียบๆ

        “เสี่ยวฮวา รีบเปิดดูเร็ว พี่ใหญ่ให้ของขวัญอะไร”

        อวิ๋นปิงฮวารู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง ครั้งนี้พี่อวิ๋นโม่จะให้ของขวัญอะไรกันนะ

        เมื่อเปิดกล่องไม้ออกแล้ว มือของอวิ๋นปิงฮวาก็สั่นจนเกือบทำกล่องตก ในกล่องไม้คือบงกชน้ำแข็งม่วงดอกหนึ่ง มันเป็นสมุนไพรวิญญาณบำรุงความงามที่ยอดเยี่ยมชนิดหนึ่ง เป็นที่ปรารถนาของสตรีทั้งหลาย หากมีเงินน้อยกว่าสิบเหรียญทองก็ไม่มีทางซื้อได้ เดิมทีอวิ๋นโม่เตรียมไว้สำหรับมารดา แต่เขาสามารถหลอมโอสถบำรุงความงามได้ด้วยตนเอง สรรพคุณดีกว่าบงกชน้ำแข็งม่วงมากนัก ดังนั้นเมื่อครู่พอเจอหน้าอวิ๋นปิงฮวา จึงถือเป็นโอกาสมอบแก่นาง

        “นี่… นี่มันแพงเกินไป ข้าไม่อาจรับไว้!” อวิ๋นปิงฮวาส่งกล่องไม้คืนให้เมิ่งเอ๋อร์ด้วยมือสั่นเทา

        “เสี่ยวฮวา นี่เป็นของขวัญที่พี่ใหญ่มอบให้เจ้า หากเห็นข้าเป็นสหาย เจ้าก็รับเอาไว้เถอะ!” เมิ่งเอ๋อร์ผลักกล่องนั้นคืนกลับไป นางรู้ว่าพี่ใหญ่ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เงินเพียงเท่านี้สำหรับพี่ใหญ่ไม่นับเป็นอันใด บนตัวนางมิใช่ว่ามีเงินอยู่ร้อยกว่าเหรียญทองหรือ

        สุดท้ายอวิ๋นปิงฮวาก็รับบงกชน้ำแข็งม่วงไว้ เอ่ยกับตนเองว่า ‘พี่อวิ๋นโม่มิใช่พี่อวิ๋นโม่ในกาลก่อนแล้วจริงๆ’

        …………………

        พออวิ๋นโม่เข้ามาในบ้านก็เห็นสีหน้าอ่อนล้าของหลีเยียน

        “โม่เอ๋อร์ หลายวันนี้เจ้าไปไหนมา ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” หลีเยียนเห็นอวิ๋นโม่กลับมา ตอนแรกรู้สึกยินดี ต่อมาก็ไต่ถามด้วยความกังวล

        อวิ๋นโม่ปวดใจขึ้นมา พวกผู้อาวุโสแปดควบคุมการค้าของตระกูลเอาไว้ เพื่อจะหาเงิน หลีเยียนจึงได้แต่ทำงานหยาบ เหนื่อยสายตัวแทบขาดแต่กลับได้เงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

        “ทั้งหมดนี้มันผ่านไปแล้ว!” อวิ๋นโม่กำหมัด มีเขาอยู่ คนในครอบครัวจะไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยอีก

        “ท่านแม่ ท่านดูสิว่าข้าเอาอะไรมาฝากท่าน” อวิ๋นโม่หยิบกล่องไม้ใบหนึ่งจากอกเสื้อ

        หลีเยียนเปิดกล่องไม้ สีหน้าพลันเปลี่ยนไป สองมือของนางหยิบขวดโปร่งแสงใบน้อยออกมา “เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมถึงซื้อของแพงเช่นนี้ รีบนำไปคืนเร็วเข้า!” ผู้เป็นแม่เอ่ยอย่างเข้มงวด รีบวางขวดใบน้อยกลับลงไปในกล่องไม้ นี่เป็นน้ำหอมที่แพงที่สุดในเมืองกวนซานเจิ้น ต่อให้นางทำงานหนักตลอดทั้งเดือนก็ยังไม่สามารถเก็บเงินซื้อแม้แต่ขวดเดียว

        อยู่ๆ อวิ๋นโม่ก็ซื้อน้ำหอมให้นาง เขาไปเอาเงินมาจากที่ไหน ไปทำเรื่องลำบากใดมาหรือไม่ หัวใจของคนเป็นแม่ร้อนรุ่มขึ้นมา นางไม่ต้องการให้อวิ๋นโม่ต้องลำบากหรือเสี่ยงอันตราย เรื่องที่สำคัญที่สุดของอวิ๋นโม่ในตอนนี้สมควรเป็นการฝึกฝน

        “ท่านแม่ ต่อไปพวกเราไม่ต้องใช้ชีวิตผ่านคืนวันอันยากลำบากเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ท่านไม่ต้องไปทำงานหยาบกร้านพวกนั้นอีก ท่านเลี้ยงดูข้าและเมิ่งเอ๋อร์มาสิบกว่าปี จากนี้ไป ก็ให้โม่เอ๋อร์ดูแลพวกท่านเถอะ!” อวิ๋นโม่เอ่ย จากนั้นหยิบตั๋วเงินหนึ่งร้อยเหรียญทองออกมาหลายใบส่งให้มารดา

        หลีเยียนมองเงินเหล่านั้นด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นก็ตาแดงขึ้นมา “โม่เอ๋อร์โตแล้ว!” นางถือตั๋วเงินพลางเอ่ยคำนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางไม่ได้ถามลูกชายว่าได้เงินนี้มาจากที่ใด เพราะรู้ว่าอวิ๋นโม่ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ในตัวเขามีความลับบางประการที่ทำให้คนต้องประหลาดใจ

        หลีเยียนเช็ดน้ำตา ยิ้มเอ่ยว่า “โม่เอ๋อร์ เจ้าเติบใหญ่แล้ว เพียงแต่แม่ไม่อาจฝึกยุทธ์ หากไม่หาอะไรทำเสียบ้างก็ไม่รู้ว่าสมควรทำอะไรดี”

        “เช่นนั้นต่อไปท่านก็อย่าทำงานหนักอีก!” 

        “ตกลง แม่ฟังเจ้า”

        อวิ๋นโม่กลับไปที่ห้องของตัวเอง ลูบคลำหินผลึกที่มีน้ำนมปฐพี พึมพำเสียงแผ่ว “ท่านแม่โปรดวางใจ อีกไม่นานข้าจะต้องรักษาท่านให้หาย!” 

        ………………………………………

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท