กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 28 การประมูลถุงเฉียนคุน

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        ถึงจะรู้ว่าถุงเฉียนคุนล้ำค่า แต่เมื่อราคาปรากฏออกมาก็ทำให้คนมากมายต้องสูดลมหายใจด้วยความหนาวเหน็บ เพิ่มราคาอีกห้าพันเหรียญทองในคราวเดียว คงมีแต่สามตระกูลใหญ่เท่านั้นที่มีความสามารถเช่นนี้ 

        “ตระกูลฉินลงมือแล้ว!” คนจากกลุ่มอำนาจระดับกลางรู้สึกมุมปากขมเฝื่อนขึ้นมา ความสามารถของพวกเขายังคงห่างไกลจากสามตระกูลใหญ่มากนัก

        “แล้วไปเถอะๆ ความสามารถของพวกเราย่อมไม่อาจเทียบกับสามตระกูลใหญ่ได้” กลุ่มอำนาจต่างๆ ถอดใจยอมแพ้ ถอนตัวจากการแข่งขัน

        “ต่อไปก็เป็นเวทีของสามตระกูลใหญ่แล้ว”  

        ผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางผงกศีรษะ เขาคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้ว มีสามตระกูลใหญ่แย่งชิงถุงเฉียนคุนก็นับว่าเพียงพอแล้ว คนอื่นๆ เพียงมาชมดูความครึกครื้นเท่านั้น

        “ ผู้ดูแลหลู่บอกว่ามีเด็กหนุ่มระดับเสริมกำลังผู้หนึ่งจะแข่งขันกับสามตระกูลใหญ่ ตอนแรกข้ายังไม่แน่ใจอยู่บ้าง ตอนนี้ดูท่าผู้ดูแลหลู่คงคิดมากเกินไปแล้ว” ผู้เฒ่ากัวคิดในใจ

        เด็กขายตั๋วที่อยู่ตรงมุมเล็กๆ มุมหนึ่งยังคงมีสีหน้าตื่นเต้น “ต่อให้เจ้าเด็กนั่นสามารถร่วมแข่งประมูล แต่ก็แค่เทียบเคียงขุมกำลังระดับกลางเท่านั้น ไม่สามารถแย่งชิงกับสามตระกูลใหญ่ได้ ตอนนี้ สามตระกูลใหญ่ต่างก็เริ่มเสนอราคา เจ้าเด็กนั่นแม้แต่โอกาสจะเสนอราคาสักครั้งก็คงไม่มีแล้ว!”  

        “ผู้ดูแลหลู่ สุดท้ายท่านก็ยังมองพลาดไปอยู่ดี!” เด็กขายตั๋วกอดอกราวกับว่าตนเองสามารถเอาชนะผู้ดูแลหลู่ได้ก็ไม่ปาน

        “เจ้าบ้านั่นก็แค่ทำเสียงหยิ่งผยองตอนซื้อตั๋วเท่านั้น ความจริงไม่ได้มีความสามารถที่จะลงแข่งเลยด้วยซ้ำ!” ฉินเหอหลินหัวเราะ มันคอยจับตาดูห้องหมายเลขสิบหกอยู่ตลอดเวลา จนตอนนี้ก็ยังไม่ได้ยินเสียงคนในนั้นเสนอราคา

        “ท่านพ่อ ท่านคิดว่าถุงเฉียนคุนใบนี้สุดท้ายแล้วจะปิดประมูลด้วยราคาเท่าใด”  

        อวิ๋นต้ามั่วคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “หากดูจากความสามารถของสามตระกูลใหญ่ สมควรอยู่ที่ประมาณสามหมื่นเหรียญทองกระมัง”  

        “ข้าเสนอสามหมื่นเหรียญทอง!” น้ำเสียงของบุรุษ​วัยยี่สิบถึงสามสิบผู้​หนึ่งดังขึ้นทั่วห้องโถง ทำให้ทั้งงานประมูล​พลันตกอยู่ในความเงียบ ฝูงชนอดมองไปทางผู้มาใหม่อย่างประหลาดใจ​ไม่ได้

        ผู้​เสนอราคา​ย่อมเป็น​อวิ๋นโม่ บนตัวเขามีเงินเพียงสามหมื่นกว่าเหรียญทอง​เท่านั้น หากปล่อยให้เสนอราคาแข่งกันต่อไปคงต้องจ่ายสูงกว่าราคานี้ เขาจึงคิดจะพนันดูสักครั้ง เพิ่มราคาอีกหนึ่งหมื่นในคราว​เดียว​เพื่อข่มขวัญ​ขุมอำนาจต่าง​ๆ ไม่แน่ว่าอาจพอมีโอกาส​อยู่​บ้าง​

        อวิ๋นโม่ดัดเสียง​เล็ก​น้อยจนฟัง​คล้ายคนหนุ่ม สำหรับ​อวิ๋นโม่ที่มีญาณหยั่งรู้​ไกลร้อยจั้ง นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็น​อะไร เพียงปล่อยญาณหยั่งรู้​ออกมาเล็กน้อยก็สามารถ​ทำได้แล้ว ทั้งไม่​ต้องใช้วิธีกดเสียง​เอาไว้เหมือนครั้งที่ขึ้นไปยังเทือกเขาเหนือ​เมฆ​า

        “ซี้ด คนผู้นี้​เป็น​คนของ​สามตระกูล​ใหญ่​หรือ​ไม่​ ช่างยอดเยี่ยม​ยิ่งนัก ​เพิ่มหมื่น​เหรียญทอง​ในครั้ง​เดียว ยังดุดัน​กว่าสาม​ตระกูล​ใหญ่​เสียอีก”

        “คนผู้​นี้เป็น​ใครกันแน่​ถึง​กับกล้าแย่ง​ชิงกับสามตระกูล​ใหญ่​”

        หลายคนต่างลอบสอบถาม​ความ​เป็น​มา​ของ​​ชายสวมหน้ากาก​ แต่กลับไม่ได้​อะไร

        “ไอ้ชั่วนั่น!” ฉินเหอหลินกำหมัด​แน่น ใบหน้า​เปลี่ยน​เป็น​ซีดขาว ผู้​ฝึก​ยุทธ์ระดับ​เสริมกำลัง​คนหนึ่งถึงกับมีทรัพย์สิน​เทียบ​เคียงสามตระกูล​ใหญ่ ​เกินกว่าที่เขาผู้เป็​นว่าที่เจ้าบ้านตระกูล​ฉินจะเทียบได้ ในใจฉินเหอ​หลินเต็มไปด้วยความริษยา​

        “นี่… จะเป็น​ไป​ได้​อย่าง​ไร เขาเป็น​แค่​ผู้​ฝึก​ยุทธ์ระดับเสริมกำลัง​ผู้หนึ่งเท่านั้น!” เด็ก​ขายตั๋วหน้า​ซีด สายตาของผู้ดูแลหลู่เฉียบคม​ยิ่ง ยังเหนือกว่าเขามากนัก ตอนนี้​คิดดูแล้วการแสดงออกที่ผ่านมาของเขาก็เป็นเพียงงิ้วฉากหนึ่ง​เท่านั้น อวิ๋นโม่เสนอราคาเพียงครั้งเดียวก็เหมือนตบหน้าเด็กขายตั๋วจนเจ็บปวดไปหมด

        ใบหน้าของผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตตระกูลฉินประดับด้วยรอยยิ้ม เขาตบบ่าฉินเหอหลินเบาๆ “ไม่จำเป็นต้องกังวลไป เจ้าสมควรยินดีจึงจะถูก ยิ่งคนผู้นี้มีเงิน โอกาสให้พวกเราเก็บเกี่ยวก็ยิ่งมาก สมบัติของมันสุดท้ายแล้วจะกลายเป็นของพวกเรา”  

        “ใช่แล้ว!” ดวงตาของฉินเหอหลินเป็นประกายขึ้นมาทันที เขาคลายสองมือ เริ่มยิ้มออก “ของของมันก็คือของพวกเรา หึๆ ขอให้มันประมูลถุงเฉียนคุนมาได้จะดีที่สุด!”

        “ท่านพ่อ คนผู้นั้นไม่ใช่คนของสามตระกูลใหญ่หรือ” อวิ๋นเสวียนเซิงมองไปทางอวิ๋นโม่ที่สวมหน้ากากด้วยความสงสัย

        อวิ๋นต้ามั่วส่ายหน้า ยิ้มหดหู่พลางเอ่ย “ดูท่าข้าคงประเมินคุณค่าของถุงเฉียนคุนต่ำเกินไป ในเมื่อมีคนเสนอราคาสามหมื่นเหรียญทองในครั้งเดียว เกรงว่าต่อให้เป็นสี่หมื่นเหรียญทองก็ยังไม่แน่ว่าจะประมูลถุงเฉียนคุนได้สำเร็จ”  

        หลังจากประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าบ้านตระกูลฉินก็หัวเราะ “คิดไม่ถึงว่านอกจากตระกูลอวิ๋นและตระกูลซางแล้วยังมีคนอื่นคิดแย่งชิงกับตระกูลฉินของเราอีก”  

        “หึๆ สามหมื่นเหรียญทอง เพิ่มราคาหนึ่งหมื่นเหรียญในครั้งเดียว ท่านช่างมีเงินมากมายจริงๆ หากไม่ได้พึ่งพาตระกูล แม้แต่ข้าก็ยังไม่อาจนำเงินออกมาได้มากขนาดนี้” เจ้าบ้านตระกูลซางหัวเราะเบาๆ

        “เพิ่มเงินหนึ่งหมื่นเหรียญทองในคราวเดียว สหายผู้นี้ทำให้ข้าต้องตกใจแล้ว แต่ว่าสามหมื่นเหรียญทองยังไม่นับว่ามาก ตระกูลอวิ๋นของข้าเสนอสามหมื่นหนึ่งพันเหรียญทอง!”

        “สามหมื่นสองพันเหรียญทอง!” ตระกูลซางเสนอราคา

        “เพิ่มกันทีละหนึ่งพันนับว่าน้อยเกินไปแล้ว สามหมื่นห้าพันเหรียญทอง!” เจ้าบ้านตระกูลฉินเสนอราคาออกไป แสดงความมั่งคั่งของตระกูลใหญ่

        อวิ๋นโม่หัวเราะเสียงขื่นคำหนึ่ง นึกอยู่แล้วว่าคงไม่สามารถสกัดสามตระกูลใหญ่ได้สำเร็จ แผนการของเขาล้มเหลวแล้ว 

        พอได้ยินเจ้าบ้านตระกูลฉินเสนอราคา อวิ๋นเว่ยเซิงและเจ้าบ้านตระกูลซางต่างก็ม่านตาหดลงวูบหนึ่ง แม้เจ้าบ้านตระกูลฉินจะเพิ่มเงินแค่สามพันเหรียญทอง แต่นั่นไม่เหมือนกับอวิ๋นโม่ ตอนที่อวิ๋นโม่เพิ่มเงินหนึ่งหมื่น ยังเป็นช่วงที่ราคาต่ำอยู่ ส่วนเจ้าบ้านตระกูลฉินเกทับในขณะที่ราคาสูงมากแล้ว อีกทั้งน้ำเสียงยังเปี่ยมความมั่นใจถึงสิบส่วน ราวกับแม้จะเป็นราคาสามหมื่นห้าพันเหรียญทอง ตระกูลฉินก็ไม่รู้สึกกดดันแต่อย่างไร

        “ตระกูลฉินได้ที่ดินผืนนั้นไปทำกำไรมหาศาล ย่อมมีความมั่นใจถึงสิบส่วน” อวิ๋นเว่ยเซิงเอ่ยเสียงต่ำ

        “พวกเราสมควรหยุดไว้ก่อน รอดูว่าตระกูลซางและคนผู้นั้นจะเคลื่อนไหวอย่างไร” ผู้อาวุโสสามแสดงความคิดเห็น

        เจ้าบ้านตระกูลซางก็ไม่ได้รีบร้อนเสนอราคา แต่มองมาทางตระกูลอวิ๋นและอวิ๋นโม่ ตระกูลอวิ๋นและตระกูลซางไม่ส่งเสียงอีก ทุกคนเข้าใจว่าพวกเขากำลังคิดอะไร จึงเบนสายตาไปทางอวิ๋นโม่

        พอรู้สึกถึงสายตาของผู้คนทั้งหลาย อวิ๋นโม่ก็หัวเราะเสียงหดหู่คำหนึ่ง บนตัวของเขามีเงินเพียงสามหมื่นเหรียญทอง ย่อมไม่สามารถเสนอราคาสูงไปกว่านี้

        ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ไม่เห็นอวิ๋นโม่พูดอะไร สีหน้าของเด็กขายตั๋วจึงดีขึ้นมาเล็กน้อย “ถึงจะเสนอราคาไปครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังไม่อาจเทียบกับสามตระกูลใหญ่ สำหรับโรงประมูลแล้ว การเสนอราคาเพียงครั้งเดียวไม่ถือว่ามีประโยชน์อะไร อีกอย่างเขาอาจรู้อยู่แล้วว่าสามตระกูลใหญ่จะเพิ่มราคาต่อไป จึงจงใจเสนอราคาสามหมื่นเหรียญทองออกมา สร้างความอัศจรรย์ใจต่อหน้าผู้คน ทั้งที่ความจริงแล้วไม่มีเงินสักเท่าใด!”

        “ยังมีสหายท่านใดจะเพิ่มราคาอีกหรือไม่ ถุงเฉียนคุนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มหาศาล พลาดไปแล้วครั้งหนึ่งก็ยากจะมีโอกาสได้พบเจออีก” ผู้เฒ่ากัวมองไปทางอวิ๋นโม่เป็นเชิงถาม เขาเคยมองพลาดไปแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นแม้จะไม่เห็นอวิ๋นโม่เพิ่มราคาต่อไปก็ยังไม่กล้าดูถูกอีกฝ่าย

        “หรือจะใช้วิธีนั้นดี” อวิ๋นโม่พูดกับตัวเอง เขาจำเป็นต้องเอาถุงเฉียนคุนมาให้ได้ แต่ว่าตอนนี้มีเงินไม่พอ หากคิดจะประมูลให้ได้คงต้องเสียสละบางสิ่งบ้างแล้ว

        ตอนนั้นเองอวิ๋นโม่ก็ตัดสินใจ เอ่ยปากถามว่า “บนตัวข้าไม่มีเงินมากขนาดนั้น จึงขอถามผู้เฒ่ากัวว่าสามารถใช้โอสถทดแทนได้หรือไม่”  

        “เอ๋ ไม่ทราบว่าเป็นโอสถชนิดใด” ผู้เฒ่ากัวไต่ถาม แต่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ

        อวิ๋นโม่เงียบไปครู่นึงค่อยเอ่ยว่า “โอสถระดับหนึ่งหรือระดับสอง ล้วนมีทั้งสิ้น”  

        ดวงตาของผู้เฒ่ากัวเป็นประกาย โอสถระดับหนึ่งมีประโยชน์ต่อผู้ฝึกยุทธ์ระดับเปลี่ยนชีพจรมาก ส่วนโอสถระดับสองเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตปรารถนาอย่างที่สุด ราคาล้วนไม่ธรรมดา โอสถที่มีอยู่ในเมืองกวนซานเจิ้นส่วนใหญ่เป็นเพียงยาลูกกลอนธรรมดา หากอวิ๋นโม่สามารถนำโอสถระดับหนึ่งหรือระดับสองออกมา รับรองว่าจะต้องดึงดูดความสนใจได้แน่นอน หากนำมาประมูลขายย่อมได้ราคางาม

        “ไม่ทราบว่าพอจะให้ข้าผู้เฒ่าตรวจดูได้หรือไม่” ผู้เฒ่ากัวถามต่อ

        “เอ่อ ตอนนี้ข้ายังไม่มี แต่หากสามารถใช้ทดแทนได้ ขอเพียงให้เวลาไม่นาน ข้าก็สามารถนำออกมาได้” อวิ๋นโม่เอ่ย บนตัวเขาไม่มีโอสถ แต่หากให้เวลาเขาละก็ โอสถใดๆ ล้วนไม่ใช่ปัญหา

        ทุกคนเผยสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นพากันหัวเราะยกใหญ่

        “ฮ่าๆๆ นี่คิดจะค้างบัญชีหรือไร”  

        “ขำแทบตายแล้ว เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนติดค้างบัญชีในงานประมูล”  

        “ตอนนี้ไม่มีแต่ต่อไปมีแน่งั้นหรือ เขาคิดว่าตนเองเป็นแพทย์โอสถหรือไร เหอๆ คนผู้นี้ช่างน่าขำเสียจริง”  

        เด็กขายตั๋วก็หัวเราะไม่ยอมหยุด “นึกว่าจะเป็นคนเก่งกาจสักแค่ไหน ที่แท้ก็เป็นเพียงไอ้โง่คนหนึ่งที่แม้แต่กฎเกณฑ์พื้นฐานก็ยังไม่เข้าใจ โรงประมูลย่อมไม่ใช่โรงทาน ไหนเลยจะมีเรื่องติดค้างชำระเงินได้”  

        “ก่อนหน้านี้ข้าเคยอิจฉาเจ้าโง่คนนี้ได้อย่างไร” ฉินเหอหลินส่ายศีรษะขณะแสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา

        ผู้เฒ่ากัวสีหน้าเย็นชา เอ่ยเสียงทุ้ม “ท่านผู้นี้กำลังเย้าข้าเล่นใช่หรือไม่”  

        “หากไม่ได้ก็แล้วไปเถอะ ข้าแค่ถามดูเท่านั้น ไม่ได้คิดเสนอราคา ในเมื่อทำไม่ได้ พวกท่านก็เชิญประมูลต่อได้เลย ไม่ต้องสนใจข้า”  

        สีหน้าของผู้เฒ่ากัวเปลี่ยนเป็นปั้นยาก อวิ๋นโม่ทำเช่นนี้ สำหรับผู้เฒ่ากัวก็เหมือนกับว่าตบหน้ากัน 

        “สามหมื่นห้าพันเหรียญทอง ยังมีคนต้องการเพิ่มราคาอีกหรือไม่” สุดท้ายแล้วผู้เฒ่ากัวก็ไม่ได้เอาความเรื่องเมื่อครู่ เพียงแต่สอบถามต่อไป

        “สามหมื่นหกพันเหรียญทอง!”

        สามตระกูลใหญ่แข่งขันเสนอราคาอีกครั้ง ไม่นานราคาก็พุ่งไปถึงสี่หมื่นเหรียญทอง ทำเอาคนพูดไม่ออก

        ส่วนอวิ๋นโม่ก็ยิ่งจมอยู่กับความคิด

        “จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรือไม่” อวิ๋นโม่พูดกับตนเอง “หากนำสิ่งนั้นออกมา สมควรไม่มีปัญหาแล้ว แต่ว่าถุงเฉียนคุนมีคุณค่า หรือสิ่งนั้นมีคุณค่ามากกว่ากันแน่”  

        อวิ๋นโม่กำลังลำบากใจ

        ………………………………………

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท