กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 38 ร่วมลงทุนหรือขูดรีด

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        สายตาของอวิ๋นโม่เย็นชาขึ้นมา เจ้าคนชั่วที่ไม่รู้จักตาย กอดขาหวังจิงอวิ๋นได้ก็มีความกล้าขึ้นมา มันไม่รู้หรือว่าในสายตาของอวิ๋นโม่ ขาของหวังจิงอวิ๋นเล็กมาก!

        เดิมทีอวิ๋นโม่ยังไม่คิดจัดการอวิ๋นเลี่ยในตอนนี้ คิดไม่ถึงว่าเจ้านั่นกลับกระโดดออกมา คิดยืมมือหวังจิงอวิ๋นเพื่อจัดการตน คิดง่ายเหลือเกิน คงบอกได้แค่ว่ามันรีบร้อนอยากตาย!

        “อวิ๋นเลี่ย เจ้าหมายความว่าอย่างไร” อวิ๋นโม่คิดไม่ถึงว่าตนยังไม่ทันกล่าวคำใด อวิ๋นเสวียนเซิงก็เอ่ยปากแล้ว “อวิ๋นโม่เอาชนะเจ้าได้ก็จริง แต่ตอนนั้นเจ้าอยู่ในระดับเสริมกำลังขั้นแปดชั้นฟ้าเท่านั้น อวิ๋นซั่งหลงเป็นตัวแทนสุดยอดฝีมือรุ่นเยาว์ของตระกูลอวิ๋นเรา อวิ๋นโม่ย่อมแข็งแกร่งสู้อวิ๋นซั่งหลงไม่ได้ เจ้าคิดจะหลอกใช้นายน้อยหวังเป็นอาวุธแก้แค้นให้เจ้าหรือ!”

        “เหอะๆ เจ้าอย่าใส่ร้ายข้า นายน้อยหวังเป็นคนระดับใด ข้าจะกล้าทำอะไรได้ ทุกคนก็รู้ว่าตอนแรกอวิ๋นโม่อยู่แค่ระดับเสริมกำลังขั้นห้าชั้นฟ้าเท่านั้น แต่เพียงหนึ่งเดือนให้หลังก็สามารถเอาชนะข้าที่อยู่ในระดับเสริมกำลังขั้นแปดชั้นฟ้าได้แล้ว ผ่านมาตั้งนานขนาดนี้ ใครจะรู้ว่าความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นถึงเพียงไหน”

        “เอ๋” หวังจิงอวิ๋นรู้สึกสนใจขึ้นมา แม้แต่ยอดฝีมือระดับก่อจิตของตระกูลหวังก็ยังเผยสีหน้าสงสัย

        คราวนี้คนที่อยู่รอบตัวอวิ๋นโม่พากันถอยออกไป เหลือแต่อวิ๋นเสวียนเซิงรั้งอยู่ข้างกายเขา ดังนั้นอวิ๋นซั่งหลงก็มองเห็นอวิ๋นโม่เช่นกัน 

        “เจ้าก็คืออวิ๋นโม่หรือ ขึ้นมาประลองกับข้าสักรอบแล้วกัน” หวังจิงอวิ๋นที่อยู่บนเวทีมองเห็นอวิ๋นโม่แล้วก็พูดราวกับออกคำสั่ง

        อวิ๋นโม่เหลือบมองอวิ๋นเลี่ยด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง เขาเคยคิดจะให้คนเช่นนี้ตายแต่แรกแล้ว ในเมื่ออวิ๋นเลี่ยรีบร้อนอยากตาย อย่างนั้นอวิ๋นโม่ก็จะสนองให้เร็วขึ้น แต่ว่าไม่จำเป็นต้องลงมือที่นี่ การจะฆ่าใครสักคนนั้นมีวิธีมากมาย ไม่ต้องลงมือในตระกูลให้เกิดเรื่องยุ่งยากตามมา

        อวิ๋นเลี่ยที่ฟื้นฟูความมั่นใจกลับมา พอเห็นอวิ๋นโม่มองมาก็ไม่ได้หลบ แต่ส่งยิ้มเย็นชากลับไป

        “ความสามารถของข้าต่ำต้อย เทียบกับอวิ๋นซั่งหลงแล้วยังห่างชั้นอีกมาก ไม่จำเป็นต้องขึ้นไปแล้ว” อวิ๋นโม่เอ่ยเรียบๆ ในสายตาของเขา หวังจิงอวิ๋นก็เป็นแค่เด็กน้อย ทั้งยังไม่มีผลตอบแทน เขาจะขึ้นไปประลองกับเด็กคนหนึ่งเพื่ออะไร 

        ตอนนี้เขาอยู่ในขอบเขตสูงสุดของระดับเสริมกำลังแล้ว ชาติก่อนตอนที่อยู่ในระดับนี้ เขาก็เหนือกว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตชั้นต้นแล้ว ชาตินี้ใช้น้ำนมปฐพีเสริมกำลัง พละกำลังยิ่งแข็งแกร่งกว่าเดิม ถึงจะไม่รู้ว่าแข็งแกร่งระดับไหน แต่หากปะทะกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตชั้นกลางหรือชั้นสูง สมควรไม่มีปัญหา

        ด้วยความสามารถเช่นนี้ ประลองกับหวังจิงอวิ๋นที่มีพลังระดับเสริมกำลังจะไปสนุกอะไร หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตตระกูลหวังคนนั้นก็ยังพอว่า แต่แน่นอนว่าตอนนี้อวิ๋นโม่ไม่คิดจะเปิดเผยความสามารถ ย่อมไม่อยากประลองกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตของตระกูลหวัง

        “ฮ่าๆ!” หวังจิงอวิ๋นยิ้มแฉ่ง ในสายตาของเขา การที่อวิ๋นโม่ไม่เต็มใจประลองก็เท่ากับว่ากลัว ต่อให้อวิ๋นโม่แข็งแกร่งจริงๆ ก็คงต้องแพ้ไปก่อนแล้ว พลังใจถือเป็นส่วนสำคัญในการประลอง หากใจฝ่อไปก่อนแล้วจะเอาชนะเขาได้อย่างไร

        เมื่อครู่หวังจิงอวิ๋นยังคิดว่าอวิ๋นโม่มีฝีมือไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้ไม่เห็นอวิ๋นโม่อยู่ในสายตาแล้ว

        “ไม่เป็นไร แค่จะทดสอบฝีมือของเจ้าเท่านั้น หากอ่อนแอมาก ข้าก็จะให้คำชี้แนะเจ้า” หวังจิงอวิ๋นเอ่ยด้วยรอยยิ้มราวผู้อาวุโสเมตตาผู้เยาว์

        อวิ๋นโม่หัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ ไอ้หนุ่มนี่ คิดว่าตนเองเก่งอยู่คนเดียว

        “ไม่ต้องแล้ว พรสวรรค์ของข้าธรรมดา หัวก็ช้ามาก เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้ดี นายน้อยหวังไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงกับข้า ยังคงชี้แนะผู้อื่นดีกว่า” อวิ๋นโม่ปฏิเสธอีกครั้ง

        หวังจิงอวิ๋นสีหน้าเข้มขึ้น เขาคือนายน้อยผู้สูงส่ง แค่ผู้ฝึกยุทธ์ตัวเล็กๆ ของตระกูลอวิ๋นคนหนึ่งกลับกล้าปฏิเสธเขา ถึงอวิ๋นโม่จะถ่อมตน ปฏิเสธอย่างมีมารยาท แต่ในสายตาของเขาก็คือการขัดคำสั่งอยู่ดี!

        หวังจิงอวิ๋นก็เป็นเช่นนี้ สูงส่งจนเคยชิน ไม่ยอมให้ใครขัดความต้องการของตนเอง

        “อวิ๋นโม่ นายน้อยหวังมีน้ำใจให้คำชี้แนะเจ้า แต่เจ้ากลับปฏิเสธถึงสองครั้ง ทำไม กล้าดูถูกนายน้อยหวังหรือ” อวิ๋นเลี่ยขัดขึ้นมาอย่างได้จังหวะ ใบหน้ายังมีรอยยิ้มละไม มันคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะจัดการอวิ๋นโม่

        อวิ๋นโม่ยิ้มเย็นไม่พูดอะไร ดูท่าอวิ๋นเลี่ยคงรีบร้อนอยากตายจริงๆ!

        “อวิ๋นโม่ เจ้าก็ขึ้นไปเถอะ อย่าทำลายความสนุกของนายน้อยหวัง สามารถได้รับคำชี้แนะจากนายน้อย ถือเป็นประโยชน์ต่อเจ้าแล้ว พวกเราทุกคนต่างก็ปรารถนาดีกับเจ้า” อวิ๋นเสี่ยวกั่วเอ่ยปากเช่นกัน นางยังคงขุ่นเคืองเพราะเสียหน้าจากวันที่อยู่บนถนนขายอาวุธ จึงอยากเห็นอวิ๋นโม่ถูกเล่นงานจนหมดสภาพ ในความคิดของนาง ต่อให้อวิ๋นโม่เก่งสักแค่ไหนก็ไม่มีทางเทียบกับผู้มีพรสวรรค์ตระกูลหวังได้ ไม่เห็นหรือว่าคนเก่งขนาดอวิ๋นซั่งหลงยังรับได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่า

        “ขึ้นไปเถอะ อย่าให้นายน้อยหวังต้องรอนาน” หลายคนต่างออกปากให้อวิ๋นโม่ขึ้นไปบนเวทีประลอง

        “พวกรักตัวกลัวตายช่างมีมากนัก” อวิ๋นโม่ส่ายหน้า คิดไม่ถึงว่ามีคนอยากประจบหวังจิงอวิ๋นมากขนาดนี้ ถึงขนาดเลือกทำร้ายศิษย์ในตระกูลเดียวกัน

        “ขึ้นมา!” หวังจิงอวิ๋นสั่งเสียงเย็นอย่างไม่พอใจ

        ในลานประลองมีแค่อวิ๋นเสวียนเซิงที่ยังปกป้องอวิ๋นโม่ เขาเอ่ยเสียงดัง “อวิ๋นโม่ไม่เต็มใจประลอง พวกเจ้าก็จะบังคับเขาขึ้นไป นี่มันวางอำนาจมากเกินไปแล้วกระมัง”

        หวังจิงอวิ๋นมองอวิ๋นเสวียนเซิงด้วยสายตาเย็นชา ในตระกูลอวิ๋นยังมีคนกล้าแข็งข้อกับเขาอีกหรือ

        อวิ๋นโม่เห็นสายตาของหวังจิงอวิ๋นก็รู้ว่าอวิ๋นเสวียนเซิงถูกอีกฝ่ายหมายหัว สีหน้าจึงเย็นชาขึ้นมา อวิ๋นโม่ถือว่าอวิ๋นเสวียนเซิงคือสหาย หากหวังจิงอวิ๋นกล้าแตะต้องอวิ๋นเสวียนเซิง ตนก็ไม่ถือสาที่จะสั่งสอนวิธีเป็นผู้เป็นคนให้เขา!

        ขณะที่บรรยากาศเย็นเยือกแผ่ซ่านไปทั่วลานประลอง กลุ่มของประมุขตระกูลอวิ๋นเว่ยเซิงก็มาถึง

        “นายน้อยตระกูลหวังให้เกียรติมาเยือนตระกูลอวิ๋นของเรา ข้าไม่ได้รีบมาต้อนรับ ต้องขออภัยด้วย!” อวิ๋นเว่ยเซิงและพวกผู้นำตระกูลอวิ๋นมาถึงแล้วก็ประสานหมัดทักทายหวังจิงอวิ๋นและยอดยุทธ์ระดับก่อจิตตระกูลหวัง

        ใบหน้าของหวังจิงอวิ๋นกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง เลิกสนใจอวิ๋นโม่ชั่วคราว กระโดดลงจากเวทีแล้วเดินไปทางกลุ่มผู้นำตระกูลอวิ๋น ในสายตาของเขา พวกอวิ๋นโม่ไม่มีความสำคัญ ที่เมื่อครู่ขัดแย้งกันก็แค่ความข้องใจเท่านั้น เป้าหมายที่ตระกูลหวังให้เขามายังเมืองกวนซานเจิ้นต่างหากจึงจะเป็นเรื่องสำคัญ

        “ท่านประมุขตระกูลอวิ๋น จะกล่าวเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าเป็นเพียงผู้เยาว์ของตระกูลหวังเท่านั้น ไม่บังอาจรบกวนท่านประมุข” หวังจิงอวิ๋นถือโอกาสประสานหมัดคารวะตอบ แม้จะได้พบอวิ๋นเว่ยเซิงที่อยู่ระดับก่อจิต เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีให้ความเคารพสักเท่าไร

        แม้เขาจะกล่าวอย่างถ่อมตน แต่พวกผู้นำของตระกูลอวิ๋นไม่รู้สึกเช่นที่เขาออกตัว หวังจิงอวิ๋นเป็นผู้เยาว์ในตระกูลหวัง ตอนนี้ยังอายุน้อยไปบ้าง แต่เมื่อมาถึงตระกูลอวิ๋นก็แสดงตัวเป็นตัวแทนของตระกูลหวังทั้งหมด ดังนั้นเหล่าผู้นำในตระกูลอวิ๋นจึงไม่กล้าวางท่ามากไป และไม่กล้าปล่อยตัวตามสบายเช่นกัน

        “นายน้อยหวัง เชิญ!”

        นายน้อยตระกูลหวังมาเยือนย่อมไม่อาจปล่อยให้พวกเขายืนอยู่ในลานประลอง กลุ่มผู้นำตระกูลอวิ๋นนำเขาไปยังหอประชุม หวังจิงอวิ๋นและยอดยุทธ์ระดับก่อจิตตระกูลหวังถูกจัดให้นั่งที่ตำแหน่วแขกคนสำคัญ อวิ๋นเว่ยเซิงไม่ได้นั่งอยู่ตรงตำแหน่งประมุข แต่นั่งฝั่งตรงข้ามหวังจิงอวิ๋นเพื่อแสดงความเคารพต่อตระกูลหวัง ผู้ที่นั่งอยู่ในหอประชุมล้วนเป็นผู้นำของตระกูลอวิ๋น เหล่าผู้เยาว์ไม่มีใครนั่ง ยกเว้นศิษย์สำนักศึกษาราชวงศ์จั่วสุยไม่กี่คนอย่างอวิ๋นโหรวเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์นั่งได้ 

        ตอนนี้แม้แต่ฉินเหอหลินก็ยังนั่งอยู่ข้างกายหวังจิงอวิ๋น เพราะว่า เขาเป็นนายน้อยตระกูลฉิน จึงถือเป็นตัวแทนตระกูลฉิน

        พวกผู้เยาว์ตระกูลอวิ๋นทั้งหมดล้วนยืนอยู่ใกล้ปากประตูทางเข้าเพื่อมองเข้ามาด้านใน อวิ๋นโม่อยากดูว่าตระกูลหวังคิดจะทำอะไร จึงไม่ได้จากไป ยืนปะปนอยู่ท่ามกลางผู้คน แม้หอประชุมมีขนาดใหญ่มาก แต่ผู้เยาว์ในตระกูลอวิ๋นก็มีจำนวนมากมาย เมื่อรวมตัวกันที่นี่จึงออกจะคับแคบไปบ้าง

        “อวิ๋นเสี่ยวกั่วกับอวิ๋นเลี่ยล้วนเป็นคนไม่เลว ให้พวกเขาเข้ามานั่งในนี้ด้วยเถอะ” หวังจิงอวิ๋นเอ่ยปากพร้อมชี้ที่นั่งด้านข้าง

        ที่นั่งในหอประชุมแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งมีพวกผู้นำตระกูลอวิ๋นนั่งอยู่ อีกส่วนเป็นที่นั่งของแขก แม้จะมีคนตระกูลหวังสองคนและคนจากตระกูลฉินหลายคนนั่งอยู่ก็ยังมีที่ว่างอีกหลายที่

        อวิ๋นเว่ยเซิงได้ยินก็หันไปพยักหน้าให้อวิ๋นเสี่ยวกั่วและอวิ๋นเลี่ย

        อวิ๋นเสี่ยวกั่วและอวิ๋นเลี่ยยิ้มกว้างอย่างยินดี นางหันกลับไปมองอวิ๋นโม่แวบหนึ่งแล้วบิดเอวเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ หวังจิงอวิ๋น ทั้งสองคนคำนับหวังจิงอวิ๋นเพื่อแสดงความขอบคุณ

        “ไม่ทราบว่านายน้อยหวังมาตระกูลอวิ๋นเราด้วยเรื่องอันใด” อวิ๋นเว่ยเซิงเอ่ยปากถาม ให้เกียรติหวังจิงอวิ๋นเหมือนคนระดับเดียวกัน ส่วนฉินเหอหลิน แม้จะเป็นผู้สืบทอดตระกูลฉิน แต่ก็ยังไม่เหมาะจะพูดคุยกับผู้นำตระกูลอวิ๋น

        เผชิญหน้ากับอวิ๋นเว่ยเซิงที่อยู่ระดับก่อจิต หวังจิงอวิ๋นไม่มีความหวั่นเกรงแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามยังมีความถือดีอยู่บ้าง เขานั่งอย่างเกียจคร้าน ประสานหมัดให้อวิ๋นเว่ยเซิงอย่างผ่อนคลาย “ข้ามายังเมืองกวนซานเจิ้นเพราะคิดจะหาขุมกำลังที่สามารถร่วมมือกับตระกูลหวัง ตระกูลอวิ๋นเข้าเกณฑ์ตามข้อกำหนดของพวกเราพอดี”

        “สามารถร่วมมือกับขุมกำลังอย่างตระกูลหวังถือเป็นเกียรติของพวกเราตระกูลอวิ๋น ไม่ทราบว่าตระกูลหวังต้องการให้ตระกูลอวิ๋นร่วมมืออย่างไร” ผู้อาวุโสใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงยกย่องให้เกียรติ

        เหล่าผู้นำตระกูลในที่นี้ต่างมองไปที่หวังจิงอวิ๋น พวกเขาร้อนใจอยากรู้ว่าตระกูลหวังต้องการร่วมมือหรือคิดจะขูดรีดตระกูลอวิ๋นอย่างไร

        อวิ๋นโม่ก็สนใจประเด็นนี้เช่นกัน หากตระกูลหวังมาขอความร่วมมืออย่างจริงใจ เขาก็พร้อมจะผละออกไป ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องในที่นี้อีก แต่หากมาด้วยจุดประสงค์ร้าย เขาก็จำเป็นต้องยื่นมือเข้าแทรกแล้ว

        ………………………………………

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท