กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 41 ใส่ความ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        “ยิ่งกว่านั้นเขายังเอ่ยวาจาจาบจ้วงนายน้อยหวังของข้า ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ย่อมต้องจ่ายค่าตอบแทน” ยอดยุทธ์ระดับก่อจิตตระกูลหวังไม่เห็นแก่หน้าอวิ๋นเว่ยเซิง คิดลงมือกับอวิ๋นโม่ 

        อวิ๋นเว่ยเซิงศีรษะพองโต อวิ๋นโม่คือเด็กรุ่นหลังที่เขาให้ความสำคัญ ถึงเขาจะไม่ต้องการผิดใจกับตระกูลหวัง แต่ก็ไม่ต้องการให้ตระกูลหวังลงมือกับเด็กคนนี้ 

        “หวังลั่วเหิง เจ้าทำเช่นนี้เกินไปหรือไม่!” ทันใดนั้นเสียงคนผู้หนึ่งคัดค้านออกมา คนตระกูลอวิ๋นทั้งหมดเผยสีหน้าแปลกใจ นอกจากอวิ๋นโม่แล้ว ในตระกูลยังมีใครกล้าเผชิญหน้ากับตระกูลหวังอีก

        พอเห็นว่าผู้พูดคือใคร คนส่วนหนึ่งก็ตะลึงยิ่งกว่าเดิม ผู้นั้นก็คือหลีเยียน! แต่มีคนเข้าใจได้ หลีเยียนมีใจปกป้องลูกชายจึงใจกล้า ไม่กลัวตระกูลหวัง 

        “ท่านแม่” อวิ๋นโม่เดินเข้าไปยืนข้างกายหลีเยียน ให้นางได้เห็นว่าตนเองไม่เป็นอะไร

        หวังลั่วเหิงมองไปทางหลีเยียน สีหน้างุนงงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเผยรอยยิ้มอย่างนึกขึ้นได้ “ที่แท้ก็เป็นเทพธิดาหลีเยียน อ๋อ ไม่ถูกต้อง เจ้าในตอนนี้ร่วงสู่พื้นดิน ใช้สมญานามเทพธิดาไม่ได้แล้ว” หวังลั่วเหิงเอ่ยล้อเลียน

        ใบหน้าผู้คนทั้งหลายมีแววประหลาดใจด้วยความไม่รู้ “ผู้แข็งแกร่งตระกูลหวังทำไมถึงรู้จักมารดาอวิ๋นโม่ ทั้งยังเรียกนางว่าเทพธิดาหลีเยียน ร่วงสู่พื้นดิน นั่นหมายความว่าอะไร” ผู้ฝึกยุทธ์รุ่นเยาว์บางคนไม่เข้าใจจึงสอบถามผู้อาวุโส

        ในไม่ช้าคนที่รู้เรื่องก็บอกความจริงออกมา ถึงไม่ได้เล่ารายละเอียดเหตุการณ์ในตอนนั้น แต่ก็พูดถึงเรื่องที่หลีเยียนเคยได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ ต่อมาเพราะเหตุสุดวิสัยจึงสูญเสียพลังในการฝึกฝน

        “ข้าก็สงสัยว่าทำไมตระกูลอวิ๋นถึงได้มีตัวโง่งมที่ ‘ใฝ่สูง’ ที่แท้ก็เป็นบุตรชายของอดีตเทพธิดาหลีเยียนนี่เอง!” หวังลั่วเหิงเห็นเป็นเรื่องสนุก สีหน้าขบขัน “หลีเยียน บุตรชายของเจ้าพูดจาเสียมารยาทต่อนายน้อยหวัง เจ้าว่าสมควรสั่งสอนเขาเช่นไร” 

        ว่าแล้วหวังลั่วเหิงก็ผลักอวิ๋นเว่ยเซิงออกห่าง เดินเข้าหาอวิ๋นโม่อย่างต้องการมีเรื่อง

        แววตาอวิ๋นเว่ยเซิงทอประกายหนาวเย็น เขามีฐานะเป็นผู้นำตระกูลคนหนึ่ง แต่กลับถูกคนมองข้ามอย่างง่ายดาย ในใจย่อมไม่ยินดี แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้มีอำนาจอย่างตระกูลหวัง เขาก็ไม่กล้าระเบิดโทสะง่ายๆ ได้แต่กดความโกรธเอาไว้ 

        “หวังลั่วเหิง เจ้าบังอาจเกินไปแล้ว!” หลีเยียนตวาด เดินขึ้นหน้าไปอีกหนึ่งก้าว ปกป้องอวิ๋นโม่เอาไว้ด้านหลัง แม้จะเผชิญหน้ากับหวังลั่วเหิง สีหน้าของนางก็ปราศจากความกลัว แต่ขณะเดียวกัน ในดวงตาของนางก็ปรากฏความเสียดาย หากตอนนั้นนางไม่ได้เผชิญเคราะห์ใหญ่จะลงเอยด้วยการถูกคนลบหลู่เช่นนี้หรือ เพียงแต่สูญเสียพลังยุทธ์ไปหลายปี นางเคยชินกับเรื่องเช่นนี้นานแล้ว ดังนั้นแม้ในใจจะผิดหวังและไม่ยินยอม สีหน้าก็ยังคงสงบนิ่ง

        “ฮ่าๆ หลีเยียน เจ้าคิดว่าตัวเองยังเป็นเทพธิดาหลีเยียนในตอนนั้นหรือ กล้ากดข่มเอ่ยปากด่าข้าเหมือนกับในตอนนั้น หึๆ เจ้าสมควรตื่นได้แล้ว เทพธิดาหลีเยียนเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว เจ้าในตอนนี้ก็เป็นแค่คนธรรมดาที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น มีคุณสมบัติอะไรมาเจรจากับข้า” 

        หวังลั่วเหิงเดินเข้ามาทีละก้าวด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “ดูท่าเจ้าคงยังไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา ลูกชายที่สั่งสอนออกมา ความสามารถก็ไม่เท่าไร กลับกล้าโอหังอวดดี หลีเยียน ตื่นได้แล้ว อย่าได้วาดฝันว่าตัวเองเป็นเทพธิดาอีกเลย” เขาเอ่ยวาจาบีบคั้นผู้คน กรีดแผลเก่าของนางด้วยการยกเรื่องในตอนนั้นมาเยาะเย้ยหลีเยียนอย่างไร้น้ำใจ แม้หลีเยียนจะเคยชินกับคืนวันที่ถูกผู้คนเหยียดหยาม แต่การถูกคนกรีดซ้ำรอยแผล เรียกเลือดจากแผลเก่า ในใจของนางก็ไม่อาจรักษาความสงบนิ่งได้ 

        คนบางกลุ่มรู้สึกเห็นใจและสงสาร หลีเยียนที่เคยสูงส่งและเปี่ยมพรสวรรค์ในตอนนั้นไม่เคยเห็นคนอย่างหวังลั่วเหิงในสายตา ตอนนี้พอตกต่ำร่วงหล่นสู่พื้นดิน ถูกคนถากถางอย่างไร้น้ำใจ กรีดซ้ำแผลเก่า ช่างเป็นเรื่องน่าหดหู่ มีแต่คนอย่างอวิ๋นเลี่ยและอวิ๋นเสี่ยวกั่วที่มองด้วยสายตาเย็นชา ยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น

        แม้หลีเยียนจะไม่มีราศีเหมือนวันวาน แต่ก็เข้มแข็งมาโดยตลอด ทั้งยังปกป้องอวิ๋นโม่พี่น้องอย่างสุดกำลัง ในความทรงจำของอวิ๋นโม่ เนื่องจากตอนที่เขาบาดเจ็บสาหัส หลีเยียนถึงได้เผยด้านอ่อนแอออกมา ช่วงเวลาอื่นล้วนรักษาความเข้มแข็งเอาไว้ตลอด แต่วันนี้ร่างของนางสั่นสะท้านด้วยความอัดอั้น สายตาของอวิ๋นโม่เปลี่ยนเป็นน้ำแข็ง ในใจผุดความคิดฆ่าฟัน เขาตัดสินใจพิพากษาโทษตายให้คนชั่วหวังลั่วเหิงแล้ว

        ‘กล้าลบหลู่ท่านแม่ข้าก็ต้องตาย!’ อวิ๋นโม่สรุปในใจ เขาไม่ได้รีบลงมือ แต่เปลี่ยนเป็นมองออกไปนอกห้องโถง

        ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเปิดเผยความสามารถ หากเรื่องที่เขาเป็นระดับเสริมกำลังซึ่งสามารถเข้าถึงเคล็ดลับของระดับก่อจิตเปิดเผยออกมา ก็จะชักนำความยุ่งยากมหาศาล เขาเลือกออกหน้าคัดค้านตระกูลหวังในเวลานี้ เพราะคาดว่าอู่ซานเหอสมควรใกล้มาถึงแล้ว นั่นคือที่พึ่งพาในการต่อต้านตระกูลหวังของเขา แต่ว่าอู่ซานเหอดูเหมือนจะมาช้าไปสักหน่อย ว่ากันตามเหตุผลเขาสมควรมาถึงตั้งนานแล้ว หรือว่าคำสัญญาที่เจ้านั่นเคยให้ไว้ในตอนแรกไม่ได้จริงใจ อวิ๋นโม่กะพริบตา ความสามารถของเขาในตอนนี้ยังไม่พอที่จะปะทะกับยอดฝีมือระดับท่องพันลี้ แต่เขากล้าถอนพิษในร่างให้อู่ซานเหอ แล้วจะไม่ได้เตรียมอะไรป้องกันไว้บ้างหรือ หากคนแซ่อู่ลืมคำสัญญาของตน อวิ๋นโม่ก็ไม่ถือสาที่จะทำให้คนผู้นั้นอยู่ไม่สู้ตาย ‘อู่ซานเหอ เจ้ามัวทำอะไรอยู่’ อวิ๋นโม่เอ่ยเสียงเบา แววตามีความเย็นเยียบสายหนึ่ง

        “หลีเยียน เจ้าไม่ใช่ตัวเองในตอนนั้นแล้ว เป็นคนธรรมดาก็ต้องรับสภาพคนธรรมดา! เจ้าในตอนนี้ไม่มีคุณสมบัติมาด่าข้า! หึ หากข้าจะฆ่าลูกชายของเจ้าก็ไม่มีใครขวางได้!” หวังลั่วเหิงพูดเสียงเย็น ขณะเดียวกันก็หันไปคว้าตัวหลีเยียน “ไสหัวออกไปให้ข้าเสีย!”

        เผชิญหน้ากับการวางอำนาจของหวังลั่วเหิง หลีเยียนรู้สึกถูกลบหลู่อย่างรุนแรง แต่นางยังคงไม่ยอมถอย กางสองแขนออกปกป้องอยู่ด้านหน้าอวิ๋นโม่

        เห็นมารดาทุ่มเทกำลังทั้งหมดปกป้องตนเองอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว สองตาของอวิ๋นโม่ก็แดงขึ้นมา ในใจซาบซึ้งเต็มเปี่ยม ขณะเดียวกันสายตาของเขาก็ปรากฏชั้นน้ำแข็ง ชัดเจนว่าหวังลั่วเหิงผู้นี้เคยได้แต่แหงนหน้ามองท่านแม่ ริษยาในพรสวรรค์และตำแหน่งของท่านแม่อย่างลึกล้ำ วันนี้มันใช้ข้ออ้างที่อวิ๋นโม่เอ่ยวาจาไร้มารยาทมาสังหารเขา ก็เพราะคิดจะทำให้เทพธิดาหลีเยียนต้องอับอาย สนองความวิปริตในหัวใจของตนเอง หากสามารถเหยียดหยามผู้ที่เคยมองข้ามตนเอง ในใจของหวังลั่วเหิงย่อมพอใจอย่างที่สุด

        อวิ๋นโม่เดินออกมาจากด้านหลังมารดา เตรียมจะลงมือแล้ว หวังลั่วเหิงคิดข่มเหงท่านแม่ของตน เขาไม่อาจยอมได้! ต่อให้ต้องเปิดเผยบางอย่างออกมาจนชักนำความยุ่งยากไม่จบสิ้น อวิ๋นโม่ก็ไม่เสียดาย

        ผลัวะ!

        อวิ๋นเว่ยเซิงพุ่งออกไปในนาทีสำคัญ ปะทะกับหวังลั่วเหิงหนึ่งฝ่ามือ พลังปราณแข็งแกร่งพวยพุ่ง บังคับให้ผู้คนต้องล่าถอย พลังของทั้งสองใกล้เคียงกัน ต่างฝ่ายต่างถอยออกไปหลายก้าว

        “ประมุขตระกูลอวิ๋น เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” หวังลั่วเหิงสีหน้าเข้มขึ้นอย่างไม่พอใจในตัวอวิ๋นเว่ยเซิง แค่ผู้นำตระกูลเล็กๆ ตระกูลหนึ่งก็กล้าลงมือกับเขา เบื่อหน่ายชีวิตแล้วหรือ

        อวิ๋นโม่พยักหน้าเบาๆ การลงมือของอวิ๋นเว่ยเซิงทำให้เขารู้สึกว่า การตัดสินใจปกป้องตระกูลอวิ๋นนับว่ามีความหมาย

        อวิ๋นเว่ยเซิงถอนหายใจเอ่ย “ถึงอย่างไรอวิ๋นโม่ก็เป็นคนรุ่นหลังของตระกูลอวิ๋น เขาพูดจาผิดหูถือเป็นความผิดของผู้นำอย่างข้า ดังนั้น อย่าได้สร้างความลำบากให้เขา”

        ว่าแล้วในตาของอวิ๋นเว่ยเซิงก็เป็นประกายเจิดจ้า พลังปราณเพิ่มพูนเท่าทวี “คนตระกูลอวิ๋นแม้จะอ่อนแอ แต่ก็ยังมีความกล้าอยู่บ้าง หากตระกูลหวังบีบคั้นกันเกินไป ไม่แน่ว่าตระกูลอวิ๋นของข้าก็อาจทำเรื่องโง่เขลาออกมา”

        ถึงอย่างไร อวิ๋นโม่ก็คือลูกศิษย์ตระกูลอวิ๋นที่เขาให้ความสำคัญ ตระกูลหวังคิดสังหารอวิ๋นโม่ต่อหน้าเหล่าผู้นำตระกูลอวิ๋น นี่เท่ากับเหยียดหยามตระกูลอวิ๋นทั้งหมด! เผชิญหน้ากับแรงกดดันจากผู้แข็งแกร่ง พวกเขาอาจยอมถอยให้ แต่จะอย่างไรก็มีขีดจำกัด! 

        แม้อวิ๋นเว่ยเซิงทำเช่นนี้ แต่ในสายตาของคนบางคนกลับไม่เข้าใจ เพื่อตัวโง่งมที่ไม่สนใจภาพรวมคนหนึ่ง ประมุขตระกูลกลับนำตระกูลอวิ๋นทั้งหมดไปขัดแย้งกับตระกูลหวัง นี่บ้าบิ่นเกินไปแล้ว!  

        “เพื่อคนที่สร้างปัญหาโดยไม่สนใจกฎเกณฑ์ ไม่สนใจความปลอดภัยของตระกูลอวิ๋นทั้งหมด ท่านประมุขถึงกับงัดข้อกับตระกูลหวัง นี่เป็นเหตุผลอะไร” อวิ๋นเสี่ยวกั่วค้านเสียงเบา นางอยากเห็นอวิ๋นโม่ถูกจัดการ แต่ประมุขตะกูลกลับปกป้องอวิ๋นโม่ ทั้งยังทำให้คนในตระกูลตกอยู่ในอันตราย ถึงนางไม่พอใจท่านประมุข แต่ก็ยังไม่กล้าล่วงเกินมากไป จึงได้แต่ตำหนิเสียงเบา

        อวิ๋นเลี่ยเองก็ไม่พอใจมาก แววตาของเขาเย็นชา หากสามารถทำให้อวิ๋นโม่ตายไปเสีย นั่นจึงจะดีที่สุด ดวงตาของอวิ๋นเลี่ยกะพริบไหววูบ หัวเราะเสียงเย็นออกมา เขาลุกขึ้นยืน เอ่ยกับประมุขเสียงดัง “ท่านประมุข ทำไมถึงต้องปกป้องหัวขโมยผู้หนึ่งด้วย”  

        คำพูดนี้พอกล่าวออกไป ทั่วทั้งห้องโถงก็เงียบลง อวิ๋นเว่ยเซิงขมวดคิ้วร้องถาม “เจ้าหมายความว่าอะไร” 

        นัยน์ตาอวิ๋นโม่สาดประกายเย็นเยียบวูบหนึ่ง อวิ๋นเลี่ย ยิ่งผ่านไปยิ่งเดินเข้าหาความตายแล้ว 

        “ท่านประมุข คลังยาว่างเปล่า ท่านไม่ใช่ว่าจับคนทำผิดไม่ได้มาตลอดหรือ หึ คนที่อยู่เบื้องหน้าท่าน สมควรเป็นหัวขโมยคลังยาแล้ว” อวิ๋นเลี่ยบุ้ยปากใส่อวิ๋นโม่

        อันที่จริงมันก็ไม่แน่ใจ แต่โอกาสดีๆ ที่จะสาดโคลนเช่นนี้ จะปล่อยไปได้อย่างไร ต่อให้ไม่ใช่เรื่องจริง แต่ด้วยสถานการณ์ตรงหน้าก็จะมีคนยินยอมทำให้กลายเป็นเรื่องจริง ตอนนี้ในตระกูลอวิ๋นมีคนมากมายไม่ต้องการให้ประมุขตระกูลขัดแย้งกับตระกูลหวังเพื่ออวิ๋นโม่ ที่นี้เรื่องที่อวิ๋นโม่ขโมยยาก็จะกลายเป็นโคลนติดล้อที่ล้างไม่ออก ต่อให้ไม่เหม็นก็ต้องเหม็นแล้ว

        “พูดเหลวไหล! โม่เอ๋อร์จะขโมยของได้อย่างไร!” หลีเยียนตวาดอย่างร้อนรน ความโกรธเคืองยังมากกว่าตอนถูกหวังลั่วเหิงเย้ยหยันหลายเท่า 

        “เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้ ข้าเชื่อว่าอวิ๋นโม่ไม่ใช่คนแบบนั้น” อวิ๋นเสวียนเซิงส่ายหน้าเบาๆ ออกปากปกป้องอวิ๋นโม่ 

        “หึๆ น่าสนุกจริง นี่มีปัญหาภายในกันด้วยหรือ” หวังลั่วเหิงชมดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ไม่รีบร้อนลงมืออีก

        สีหน้าประมุขตระกูลเคร่งขรึมลง เขาพูดเสียงเข้ม “เรื่องนี้ไม่อาจพูดเหลวไหล เจ้ามีหลักฐานหรือไม่”  

        ………………………………………

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท