กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ – ตอนที่ 47 หยุดรถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

        คลังยาถูกขโมย ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสแปดเฝ้าเองขโมยเอง คนตระกูลอวิ๋นทั้งหมดต้องตกตะลึง อวิ๋นเว่ยเซิงผิดหวังในตัวผู้อาวุโสแปดรุนแรง ถึงเขาจะไม่พอใจพฤติกรรมของผู้อาวุโสแปดอยู่บ้าง แต่ก็ชื่นชมในความสามารถมาตลอด เขาเชื่อมั่นในตัวอวิ๋นหู่ แต่อวิ๋นหู่กลับทำเรื่องที่ทำให้ผู้คนต้องปวดใจ

        “ท่านประมุข​ตระกูล ผู้อาวุโสแปดกระทำเรื่องเช่นนี้ ข้าขอเสนอให้ถอดถอนตำแหน่งผู้อาวุโสของเขา มีแต่ลงโทษสถานหนักจึงจะดับความโกรธแค้นของทุกคนได้!” ผู้อาวุโสรองยินดีกับเหตุการณ์นี้ที่สุด รีบเอ่ยปากตัดทางรอดของอวิ๋นหู่ ผู้อาวุโสแปดอวิ๋นหู่คือผู้ช่วยคนสำคัญของผู้อาวุโสใหญ่ที่เป็นคู่ปรับกับเขา เมื่อสามารถถอดถอนตำแหน่งของอวิ๋นหู่ก็จะสร้างความเสียหายหนักแก่ผู้อาวุโสใหญ่

        ผู้อาวุโสใหญ่มุมปากกระตุกเล็กน้อย สายตาที่มองอวิ๋นหู่ แสดงความไม่พอใจเต็มเปี่ยม เขาไม่สนใจเรื่องที่อวิ๋นหู่ก่อปัญหาให้ตัวเอง แต่สนใจเรื่องที่ต่อไปอีกฝ่ายจะไม่สามารถเป็นกำลังให้ตนได้อีกแล้ว ตอนนี้เขาเองก็ไม่คิดจะช่วยขอความเมตตาแทนอวิ๋นหู่ เพราะหากทำเช่นนั้นเท่ากับหาเรื่องตาย

        “จะเป็นไปได้อย่างไร ท่านปู่ นี่ไม่ใช่เรื่องจริง! ยาสมุนไพรของตระกูลจะเป็นท่านขโมยได้อย่างไร” อวิ๋นเลี่ยกล่าวเสียงแหบแห้ง ยามนี้เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มลงมาแล้ว อวิ๋นหู่คือเสาหลักของครอบครัว หากต้องล้มลงก็แสดงว่าคืนวันอันสุขสบายของเขาจบสิ้นแล้ว จากนี้ไม่อาจวางอำนาจต่อหน้าลูกศิษย์คนอื่นๆ ในตระกูลอวิ๋นได้อีก

        “เป็นอวิ๋นโม่ มันใส่ร้ายท่านปู่ของข้า ใช่! จะต้องเป็นอย่างนั้นแน่!” อวิ๋นเลี่ยสองตาแดงก่ำ คำรามเสียงดัง แต่ไม่มีใครสนใจเขา เพราะแม้แต่อวิ๋นหู่เองก็ยอมรับแล้ว ยังจะผิดตัวไปได้อีกหรือ

        “เด็กคนนี้ช่างไม่ธรรมดา!” สายตาของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ในตระกูลอวิ๋นที่มีต่ออวิ๋นโม่เปลี่ยนไปแล้ว

        ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าอวิ๋นโม่คือตัวขยะไร้พลัง หลังจากเอาชนะอวิ๋นเลี่ยได้ อย่างมากก็แค่เด็กที่พอจะมีพรสวรรค์อยู่บ้างเท่านั้น แต่ตอนนี้อวิ๋นโม่สามารถโค่นผู้อาวุโสแปดอวิ๋นหู่ ทำให้คนมากมายต้องประหลาดใจ ขณะเดียวกันก็เกิดความอิจฉาขึ้นมา

        “รวบรวมหลักฐานทั้งหมดโดยไม่กระโตกกระตาก พอถึงเวลาก็เด็ดชีวิตอีกฝ่ายในครั้งเดียว นี่คือหมาป่าที่รู้จักอดทนที่สุด” มีคนออกความเห็น

        “ตอนนี้เขามีที่พึ่งพิงแล้ว ต่อให้อวิ๋นหู่คิดล้างแค้นเกรงว่าคงไม่มีความสามารถพอ” 

        “ใช่แล้ว อวิ๋นหู่จบสิ้นแล้ว ต่อไปคงไม่มีปากเสียงในตระกูลอีก ข้าต้องอยู่ให้ห่างจากเขาสักหน่อย ตอนนี้ในตระกูลอวิ๋น หลีเยียน อวิ๋นเมิ่งเอ๋อร์ และอวิ๋นโม่จึงจะเป็นคนสำคัญที่สุด! หากผิดใจกับพวกเขาเพราะสนิทสนมกับอวิ๋นหู่ เช่นนั้นคงไม่ดีแล้ว” 

        คนมากมายมองครอบครัวของอวิ๋นหู่ด้วยสายตาเปลี่ยนไป ที่ผ่านมามีคนไม่น้อยอยากประจบครอบครัวนี้ ตอนนี้เกรงว่าผู้ฝึกยุทธ์ในตระกูลอวิ๋นคงมองพวกเขาเป็นสัตว์มีพิษไปแล้ว

        พอเห็นสายตาของคนอื่นๆ อวิ๋นเลี่ยก็รู้สึกว่าตัวเองตกลงไปในคุกน้ำแข็ง รู้ว่าฐานะในตระกูล​ของครอบครัวร่วงสู่พื้นดินแล้ว แม้แต่สายตาที่ผู้อาวุโสใหญ่มองมาก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน เขารับรู้ได้ว่าผู้อาวุโสใหญ่ละทิ้งพวกตนแล้ว

        อวิ๋นโม่สีหน้าเรียบเฉยราวกับเพิ่งทำเรื่องเล็กๆ ที่ไม่สำคัญอะไร ความจริงแล้วเขาคิดเช่นนั้นจริงๆ ในสายตาของเขา คนอย่างอวิ๋นหู่ก็เป็นแค่ตัวตลกที่กระโดดไปมาเท่านั้น เพราะหากพูดถึงแค่เรื่องพละกำลัง อวิ๋นหู่ในตอนนี้ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกแล้ว

        “อวิ๋นหู่ จากวันนี้ไปเจ้าไม่ใช่ผู้อาวุโสอีก ทรัพยากรที่เคยได้รับ จะถูกส่งมอบให้ผู้อื่น เพื่อเป็นการลงโทษ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดของครอบครัวเจ้าจะถูกยึด! นับจากวันนี้เจ้าต้องติดตามกลุ่มล่าสัตว์ขึ้นไปบนเทือกเขาเหนือเมฆาเพื่อเก็บเกี่ยวทรัพยากร” อวิ๋นเว่ยเซิงกำหนดบทลงโทษอวิ๋นหู่ต่อหน้าผู้คนทั้งหมด แน่นอนว่าจุดสำคัญก็เพื่อให้อวิ๋นโม่เห็น เขามองไปทางเด็กหนุ่มอย่างระมัดระวัง กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจหรือคิดว่าบทลงโทษเช่นนี้เบาเกินไป

        อวิ๋นโม่ไม่ได้พูดอะไร จะลงโทษอย่างไรก็เป็นเรื่องของผู้นำตระกูล เขาไม่สนใจสักนิด อวิ๋นโม่ยักไหล่แล้วพาเมิ่งเอ๋อร์เดินจากไป พวกอู่ซานเหอก็ตามหลังเขาไปยังบ้านน้อยที่อยู่ไกลออกไปด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า 

        คนที่เหลือมองไปทางครอบครัวอวิ๋นโม่ด้วยความอิจฉา พวกเขารู้ว่าสถานที่ที่อยู่ห่างไกลออกไปแห่งนั้น จากนี้ไปจะกลายเป็นศูนย์กลางของตระกูลอวิ๋น 

        บนเส้นทางสายหนึ่งที่เชื่อมระหว่างเมืองกวนซานเจิ้นและเมืองฉยงอวี่ รถม้าคันหนึ่งเดินทางด้วยความรวดเร็วราวกับโผบิน ม้าที่ลากรถล้วนไม่ธรรมดา ฝีเท้าล้ำเลิศกว่าม้าทั่วไป คนสายตาดีย่อมรู้ว่าขุมกำลังในเมืองกวนซานเจิ้นไม่มีม้าเช่นนี้ 

        บนรถม้าคือผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลหวังที่กำลังเดินทางกลับเมืองฉยงอวี่ สองคนในรถม้าอยู่ในความเคร่งขรึม สีหน้าดำคล้ำอย่างไม่ยินยอม โดยเฉพาะหวังลั่วเหิงที่เหมือนสูญเสียวิญญาณ ท่าทางเหมือนแม่ทัพพ่ายศึก

        “ท่านลุง อู่ซานเหอผู้นั้นแม้จะแข็งแกร่ง แต่ก็เป็นแค่ระดับท่องพันลี้ ตระกูลหวังเราก็มีต้นกล้าระดับท่องพันลี้อยู่สามคน อีกทั้งในภายหน้าจะต้องสามารถทะลวงถึงระดับท่องพันลี้ได้แน่ ทำไมพวกเราต้องกลัวเขาด้วย” หวังจิงอวิ๋นไม่ยอมแพ้ ยิ่งในเมืองฉยงอวี่ ตระกูลหวังของเขาก็มีอำนาจระดับหนึ่ง เขาที่เป็นผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลหวังไม่เคยต้องพ่ายแพ้หมดสภาพเหมือนวันนี้มาก่อน

        “หุบปาก! เจ้าจะเข้าใจอะไร!” หวังลั่วเหิงถลึงตา “นั่นคือยอดยุทธ์ระดับท่องพันลี้ที่มีชื่อเสียงมานาน พละกำลังลึกล้ำไม่อาจคาดเดา เกินกว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับท่องพันลี้ทั่วไปจะเทียบได้ ไม่เช่นนั้นเขาจะมีคุณสมบัติเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาราชวงศ์จั่วสุยได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าเขาถูกพิษรุนแรงมากชนิดหนึ่ง พลังยุทธ์ถดถอยจนหมดสิ้น คิดไม่ถึงว่าจะฟื้นฟูกลับมาแล้ว เกรงว่าเขาในตอนนี้พละกำลังคงเหนือกว่าระดับท่องพันลี้ขึ้นไปอีก!” 

        “ระดับคงเขตแดน!” หวังจิงอวิ๋นร้องอย่างตกใจ สามารถมียอดฝีมือระดับท่องพันลี้ก็ถือว่าสุดความสามารถของเมืองฉยงอวี่แล้ว บุคคลระดับคงเขตแดนนั้นถือเป็นคนในตำนาน

        “หึ! เจ้าคิดว่าเด็กที่เป็นว่าที่ระดับท่องพันลี้กับยอดฝีมือระดับท่องพันลี้ที่เป็นว่าที่ระดับคงเขตแดนสามารถเปรียบเทียบกันได้หรือ” หวังลั่วเหิงสีหน้าเย็นชา สั่งสอนเด็กรุ่นหลังที่ทั้งตระกูลคิดว่าโดดเด่น แต่ความจริงกลับไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ

        “ไม่อาจแตะต้องตระกูลอวิ๋นได้แล้ว หากพวกเราคิดจะขยับขยายคงต้องหาทางอื่น” 

        หวังจิงอวิ๋นสีหน้าเปลี่ยน “ท่านลุง ก่อนหน้านี้ท่านเคยพูดว่าตระกูลอวิ๋นเคยล่วงเกินขุมอำนาจขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง พวกเราใช่ว่าสามารถ…” 

        “ข้าขอเตือนเจ้าให้หยุดความคิดนั้นเสีย!” หวังลั่วเหิงเอ่ยเสียงเย็น สีหน้าย่ำแย่กว่าเก่า “บุคคลเหล่านั้นไม่ใช่อย่างที่เจ้าเข้าใจ คิดจะอาศัยมือของพวกเขาทำร้ายศัตรู ไม่แน่ว่าตนเองอาจถูกแผดเผาไปก่อน! อีกอย่างอู่ซานเหอก็เคยเป็นถึงอาจารย์ของสำนักศึกษาราชวงศ์จั่วสุย สถานที่แห่งนั้นใช่ว่าจะแตะต้องได้ง่ายๆ” 

        “สายตาของเจ้ายังคับแคบเกินไป ครั้งนี้กลับไปเจ้าไม่ต้องเคลื่อนไหวอีกแล้ว ตั้งใจเตรียมตัวแย่งชิงตำแหน่งศิษย์ในของสำนักศึกษาราชวงศ์จั่วสุยเถอะ”  

        ทันใดนั้นฝูงม้าก็ส่งเสียงร้องขึ้นมา รถม้าหยุดลงกะทันหัน คนทั้งสองที่อยู่ในรถไม่ทันระวังจนเกือบร่วงลงมา

        “เกิดอะไรขึ้น” หวังลั่วเหิงที่หงุดหงิดมาตลอดตะโกนด่าคนด้านนอก

        “นะ… นายท่าน มีคนขวางทาง” คนขับรถร้องออกมา

        “ข้ามาหาคนตระกูลหวัง ผู้ไม่เกี่ยวข้องรีบถอยออกไป!” เสียงทุ้มเสียงหนึ่งดังอยู่นอกรถ

        คนขับไม่รอให้หวังลั่วเหิงส่งเสียงออกมาก็รีบกระโดดลงจากรถม้าหนีไป คนที่กล้าขวางรถม้าตระกูลหวังจะต้องไม่ธรรมดาแน่ คนขับรถม้าคันนี้ทำงานรับใช้ตระกูลหวัง แต่ไม่คิดจะสละชีวิตเพื่อพวกเขา

        “ช่างบังอาจนัก!” หวังลั่วเหิงออกจากรถม้า คำรามเสียงต่ำกลับไป จงใจพูดกับคนที่ขวางรถม้าเอาไว้ ทั้งพูดกับคนขับรถม้าคนนั้นด้วย 

        อู่ซานเหอทำให้มันต้องกินดินก็แล้วไปเถอะ ตอนนี้กลับยังมีอีกหนึ่งคนที่กล้าขวางหน้ารถม้าตระกูลหวัง ยังมีคนขับรถม้าที่รู้ว่าเขาเสียท่าคนอื่นในเมืองกวนซานเจิ้น พอตกใจขึ้นมาก็รีบกระโดดหนี ช่างน่าโมโหนัก

        “บนร่างไม่มีพลังปราณเคลื่อนไหว หึ ก็แค่ระดับเสริมกำลังคนหนึ่ง ถึงกับกล้าขวางรถม้าตระกูลหวังเรา หาเรื่องตายจริงๆ! ท่านลุง ให้ข้าไปฆ่ามันเถอะ!” หวังจิงอวิ๋นเป็นผู้มีพรสวรรค์ของตระกูลหวังจึงมั่นใจว่าระดับเสริมกำลังของตนไม่มีทางด้อยกว่าผู้อื่น

        แม้หวังลั่วเหิงจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีความสามารถอะไร แต่ก็พอรู้เหมาะควรอยู่บ้าง รู้ว่าไม่สมควรให้หวังจิงอวิ๋นออกไปรับหน้า

        คนที่ขวางรถย่อมต้องเป็นอวิ๋นโม่ที่ปิดบังฐานะตัวเองเอาไว้ นับตั้งแต่หวังลั่วเหิงเอ่ยปากลบหลู่หลีเยียน เขาก็ตัดสินโทษตายให้คนเหล่านี้แล้ว หลังจากคำนวณเวลา อวิ๋นโม่ก็อาศัยข้ออ้างว่าต้องฝึกฝนปลีกตัวออกมา อาศัยทางลัดมาดักหน้ารถม้าตระกูลหวัง

        ครั้งนี้เขาไม่เพียงต้องการระบายโทสะแทนมารดา แต่ยังถือโอกาสทดสอบความสามารถของตนเองว่าอยู่ระดับใดแล้ว เขาในชาติก่อนอย่างมากที่สุดก็เพียงต่อสู้ทัดเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตชั้นกลาง แต่ในชาตินี้มีโอกาสใช้น้ำนมปฐพีเสริมกำลัง พื้นฐาน​เหนือกว่าชาติก่อน เขาเชื่อว่าอาศัยฝีมือของตนเองก็พอจะสังหารยอดฝีมือระดับก่อจิตชั้นกลางได้

        “ดูท่าตระกูลหวังของข้าคงเก็บงำ​ประกายนานเกินไป แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับเสริมกำลังตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็กล้าท้าทายตระกูลหวังแล้ว” หวังลั่วเหิงเอ่ยเสียงต่ำก่อนลงจากรถม้าอย่างสบายๆ เดินไปหาฝ่ายตรงข้ามช้าๆ

        “ท่านลุง อย่าให้มันตายเร็วเกินไป ทางที่ดีต้องทรมานมันนานๆ จะได้สั่งสอนให้คนรู้ว่าตระกูลหวังของข้าไม่อาจระรานได้ง่ายๆ!” หวังจิงอวิ๋นตะโกนตามไป ตอนอยู่ตระกูลอวิ๋นเขาเสียเปรียบอย่างหนัก ตอนนี้จึงต้องการระบายแค้นอย่างเร่งด่วน

        “ได้ยินแล้วหรือไม่ นั่นคือจุดจบของเจ้า!” หวังลั่วเหิงแววตาเย็นเยียบ มองอวิ๋นโม่ราวกับเทพแห่งความตายที่กำลังตัดสินโทษ

        “พูดไร้สาระมากไปแล้ว!” อวิ๋นโม่โบกมือ นำคืนเหมันต์ออกมาจากถุงเฉียนคุนแล้วโจมตีออกไป พุ่งใส่หวังลั่วเหิง

        ตึง! 

        หวังลั่วเหิงปฏิกิริยาว่องไว หลบพ้นคมง้าวคืนเหมันต์ ซัดฝ่ามือลงบนด้ามง้าว ผลลัพธ์กลายเป็นพละกำลังสายหนึ่งสะท้อนกลับมา ดีดหวังลั่วเหิงลอยออกไปในแนวขวาง

        “ท่านลุง!” หวังจิงอวิ๋นตื่นตกใจ คิดไม่ถึงว่าแค่ประมือกันครั้งแรก หวังลั่วเหิงก็ถูกซัดจนลอยออกมา

        “ข้าไม่เป็นไร!” หวังลั่วเหิงกระโดดลุกจากพื้น ปัดฝุ่นบนร่างกาย “คิดไม่ถึงว่าระดับเสริมกำลังตัวเล็กๆ จะมีพละกำลังแข็งแกร่งขนาดนี้” 

        หวังจิงอวิ๋นเห็นแล้วก็ผ่อนลมหายใจ หวังลั่วเหิงไม่ได้บาดเจ็บหนัก เมื่อครู่เขาคงระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว

        “ระดับเสริมกำลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้พบเจอได้น้อยมาก แต่ว่า ความแตกต่างระหว่างระดับเสริมกำลังและระดับก่อจิตไม่ใช่สิ่งที่อาศัยแค่พละกำลังก็จะสามารถเติมเต็มได้!” หวังลั่วเหิงกางสองแขนออก บรรยากาศที่ทำให้คนใจสั่นกระจายออกมา พริบตานั้นหวังลั่วเหิงที่เมื่อครู่ดูเหมือนปกติก็เหมือนมีเทพแห่งแสงผู้แข็งแกร่งสถิตร่าง

        เปรี้ยง! 

        หวังลั่วเหิงซัดฝ่ามือออกไปอีกครั้ง พลังปราณเคลื่อนไหว แสงสาดกระจายออกไปทุกทิศทาง

        ติง! 

        คืนเหมันต์ตกเป็นรอง ถูกแสงสว่างสายหนึ่งขวางไว้ ไม่สามารถทำให้หวังลั่วเหิงบาดเจ็บ

        “เห็นแล้วหรือไม่ นี่ก็คือพลังของระดับก่อจิต!” หวังลั่วเหิงมุมปากโค้งขึ้น จากนั้นต่อยหนึ่งหมัดออกไป พลังหมัดอันปั่นป่วนพุ่งใส่อวิ๋นโม่

        ม่านตาอวิ๋นโม่หดลง รีบยกง้าวขึ้นขวาง

        ตึง! 

        เสียงกึกก้องดังขึ้น อวิ๋นโม่ลอยออกไปกระแทกพื้นอย่างรุนแรง ทั้งยังไถลไปกับพื้นจนเป็นรอยลึก

        พรวด! 

        เลือดสดๆ ถูกพ่นออกมา ย้อมพื้นจนเป็นสีแดงฉาน

        “ความแตกต่างระหว่างระดับเสริมกำลังกับระดับก่อจิตไม่มีทางก้าวข้ามได้!” หวังลั่วเหิงกล่าว มองอวิ๋นโม่ราวกับเทพแห่งแสงมองมดปลวก

        ………………………………………

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

กำเนิดใหม่ : ปรมาจารย์เทพโอสถ

Status: Ongoing
ถูกศิษย์รักทรยศ! แพทย์โอสถอันดับหนึ่งในใต้หล้าไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกหักหลัง! ทั้งเคี่ยวเข็ญ ผลักดัน คอยหลอมสมุนไพรเพิ่มพูนกำลังตลอดหลายร้อยปี บัดนี้.. เด็กไร้ค่านั่นได้ใช้นาม “จักรพรรดิลั่วเทียน” ผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขากลับกลายเป็นเพียงเสี้ยนหนามที่ต้องถูกกำจัด! ฉับพลัน การจุติครั้งใหม่จึงอุบัติขึ้น.. ในร่าง “อวิ๋นโม่” จุดด่างพร้อยของตระกูลที่ถูกทารุณอย่างโหดร้ายจนตายอย่างไร้ทางสู้ แม้เป็นร่างใหม่ ภพชาติเปลี่ยนไป แต่ไฟบรรลัยกัลป์แห่งความเจ็บแค้นนั้นยังคุกรุ่น ครานี้หรือ.. จักยอมให้เหยียบย่ำ ทั้งโอสถตำรา.. คาถา.. สมุนไพร.. หม้อหลอมยา.. และพละกำลัง จากคนธรรมดาจึงทะยานขึ้นเหนือใต้หล้า.. ในฐานะปรมาจารย์เทพโอสถ! “ข้าทุ่มเทชีวิตจิตใจ ดูแลดั่งลูกในไส้ เจ้ากลับสังหารอาจารย์ จักทุ่มเทฝึกฝนสุดกำลัง ให้ไอ้ศิษย์ทรยศนั่นต้องจ่ายค่าตอบแทน”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท