ไม่อาจแตะต้องตระกูลอวิ๋น!
นี่คือความเห็นของผู้ฝึกยุทธ์ในเมืองกวนซาน ข่าวนี้ถูกถ่ายทอดไปทั่วเมืองกวนซาน คนเกือบทั้งหมดต่างรับรู้ว่าไม่เพียงแต่ช่างตีเหล็กฟางและโรงประมูลอินทรีเพลิงที่เสนอตัวปกป้องตระกูลอวิ๋น ยังมียอดฝีมือระดับท่องพันลี้ท่านหนึ่งคอยคุ้มครองตระกูลอวิ๋นนานสิบปี
“ยอดฝีมือระดับท่องพันลี้ อารักขาตระกูลอวิ๋นสิบปีเชียวนะ! ต่อให้เป็นขุมกำลังจากเมืองใหญ่เหล่านั้นก็คงไม่กล้าแตะต้องตระกูลอวิ๋นง่ายๆ” บางคนถึงกับ“ท่านแม่ ข้ริษยาตระกูลอวิ๋น
“ไม่รู้ว่าทำไมจึงโชคดีปานนั้น คนคุ้มครองพวกเขาไม่ใช่แค่ผู้ที่ออกหน้าเหล่านั้น ยังมียอดฝีมือผู้สูงส่งซึ่งอยู่ในที่ลับอีกด้วย” มีคนกล่าวอย่างกระซิบกระซาบ
“รู้จักตระกูลหวังใช่ไหม นั่นเป็นขุมกำลังชั้นนำของเมืองฉยงอวี่เชียวนะ หลายวันก่อนพวกเขาส่งคนมา คิดจะกลืนตระกูลอวิ๋น ผลปรากฏว่าต้องขาดทุนย่อยยับ ยอดฝีมือระดับก่อจิตขั้นกลางคนหนึ่ง ยังมีอัจฉริยะระดับเสริมกำลังอีกคนหนึ่งถูกฆ่าระหว่างเดินทางกลับ ยืนยันแล้วว่าไม่ใช่ฝีมือของระดับท่องพันลี้คนนั้น ทุกคนต่างคาดเดากันว่าเป็นฝีมือของยอดยุทธ์ที่คุ้มครองตระกูลอวิ๋นในเงามืด”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วย งั้นตระกูลหวังล่ะ พวกเขาไม่มีการเคลื่อนไหวใดหรือ”
“อืม ยอดฝีมือระดับก่อจิตที่ตายไปของตระกูลหวังถูกต่อยทะลุอกในหมัดเดียว ไม่มีโอกาสตอบโต้ มียอดฝีมือระดับนี้อยู่ ร่วมกับผู้แข็งแกร่งระดับท่องพันลี้แสนลึกลับท่านนั้น ตระกูลหวังจะทำอะไรได้ กดดันตระกูลอวิ๋นหรอ หาเรื่องตายกันน่ะสิ”
“ดูท่าต่อไปเมืองกวนซานคงกลายเป็นเมืองกวนซานของตระกูลอวิ๋นแล้ว”
“เพราะฉะนั้นพวกเราต้องรีบเลือกให้ดี ยิ่งสนิทกับตระกูลอวิ๋นได้เร็วเท่าไร ผลประโยชน์ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น”
บทสนทนาแบบนี้เกิดขึ้นทั่วทั้งเมืองกวนซาน คนที่ร้อนรนที่สุดย่อมต้องเป็นตระกูลฉิน ก่อนหน้านี้พวกเขาพึ่งพิงตระกูลหวัง คิดกดขี่ตระกูลอวิ๋นและตระกูลซาง แต่ตอนนี้ตระกูลหวังไม่กล้าข่มเหงตระกูลอวิ๋น ตระกูลฉินของพวกเขายิ่งไม่มีความสามารถเช่นนั้น เวลาผ่านมาก็หลายวันแล้ว ตระกูลหวังยังไร้ความเคลื่อนไหว เห็นได้ชัดว่าไม่เพียงไม่แก้แค้นตระกูลอวิ๋น ทั้งยังทอดทิ้งตระกูลฉินของพวกเขาด้วย
สำหรับตระกูลซางนั้นไม่แสดงท่าทีอะไร ราวกับไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองกวนซาน ไม่คิดร่วมการแย่งชิงอำนาจ
ในตระกูลฉิน กลุ่มผู้นำกำลังหารือกันอย่างจริงจัง
“หากปล่อยให้ตระกูลอวิ๋นเติบโตต่อไป ตระกูลฉินของเราต้องจบสิ้นแน่! เราต้องหาวิธีจัดการตระกูลอวิ๋น!”
“เหตุผลนี้ทุกคนต่างก็เข้าใจ แต่ว่าตอนนี้ตระกูลอวิ๋นดุจดั่งอาทิตย์กลางท้องฟ้า* ยอดฝีมือมากมายคุ้มครอง ตระกูลฉินของเราจะต้านทานพวกเขาได้อย่างไร”
“ในเมื่อไม่อาจต่อต้าน หากคิดจัดการตระกูลอวิ๋นก็ไม่จำเป็นต้องกวาดล้างพวกเขา บางครั้งพวกเราสามารถเปลี่ยนมุมมองเพื่อจัดการปัญหา”
“ความหมายของท่านเจ้าบ้านคือ?”
“ฮ่าๆ ตระกูลอวิ๋นเป็นศัตรูกับพวกเราก็เพราะผู้ปกครองของพวกเขาเป็นศัตรูกับพวกเรา ดังนั้น…”
…………………
“ท่านแม่ ข้าจะตรวจสุขภาพให้ท่านสักหน่อย”
ณ บ้านตระกูลอวิ๋น หลังจากอวิ๋นโม่จัดการปรับพื้นฐานร่างกายของตนจนดีเยี่ยมแล้วก็เตรียมแก้ไขปัญหาของมารดา หลีเยียนยื่นมือออกมาก่อนเอ่ยอย่างกังวล “โม่เอ๋อร์ ผ่านมาหลายปี อันที่จริงแม่ก็คุ้นชินจนไม่เห็นเรื่องนี้เป็นปัญหาแล้ว ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเพื่อแม่”
นางรู้ว่าอวิ๋นโม่ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เขาอยากตรวจสอบสภาพร่างกายของนางเพื่อจะทำอะไร หลีเยียนเข้าใจดี
“ไม่เป็นไร ท่านแม่! เรื่องที่ไม่มั่นใจ ข้าจะไม่ทำเด็ดขาด วางใจเถอะ” อวิ๋นโม่วางปลายนิ้วบนข้อมือของหลีเยียน จากนั้นใช้ญาณหยั่งรู้ตรวจสอบเส้นชีพจรและจุดตันเถียนของนาง ด้วยความสามารถทางการแพทย์ของเขา เพียงครู่เดียวก็เข้าใจสภาพร่างกายของหลีเยียนทั้งหมด สมุนไพรที่ต้องใช้ในการรักษาจัดเรียงอยู่ในสมองของเขาแล้ว
‘พรสวรรค์ในการฝึกฝนของท่านแม่ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย แม้แต่ในดินแดนที่รุ่งเรืองแห่งนั้นก็นับว่าเป็นระดับกลางแล้ว’ อวิ๋นโม่ยิ้มพลางพยักหน้ากับตนเอง หลีเยียนจึงเคยได้รับการขนานนามว่าเทพธิดาหลีเยียน ในอาณาจักรจั่วสุย พรสวรรค์ของนางถือเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยาก
‘ยังดีที่โอสถผสานคืนซึ่งท่านแม่จำเป็นต้องใช้นั้นหลอมได้ไม่ยาก สมุนไพรวิญญาณที่โอสถดึงวิญญาณและโอสถผสานคืนจำเป็นต้องมียังถือว่าหาได้ง่าย จะมีก็แต่ปราณชีวิตของสัตว์อสูรขั้นหนึ่งที่น่าจะหาได้ยากอยู่บ้าง’
ยามที่สัตว์อสูรขั้นหนึ่งถูกสังหาร ปราณชีวิตที่อยู่ภายในร่างกายสูญสลายไปได้ง่าย อวิ๋นโม่ในตอนนี้ยังเป็นแค่ระดับเสริมกำลัง ไม่สามารถใช้พลังปราณ จำเป็นต้องใช้โอสถดึงวิญญาณช่วย ต้องสะสมปราณชีวิตให้มากพอ ระดับความยากจึงนับว่าไม่น้อย
นอกจากต้องเก็บสะสมปราณชีวิตเพื่อหลีเยียนแล้ว อวิ๋นโม่ยังต้องเตรียมโอสถเพื่อขยายเส้นชีพจร
จำนวนเส้นชีพจรยุทธ์เป็นสิ่งที่มีมาแต่กำเนิด อวิ๋นโม่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง ในร่างของเขามีเส้นชีพจรยุทธ์เพียงสายเดียว จึงจำต้องใช้เส้นชีพจรยุทธ์เส้นนี้เท่านั้น ไม่อาจเพิ่มจำนวนได้ แต่เขามีหนทางทำให้เส้นชีพจรภายในร่างขยายออก เมื่อบรรลุถึงระดับเปลี่ยนชีพจร ภายในร่างกายจะสามารถสร้างพลังปราณขึ้นมา ซึ่งจะเหนือกว่าลมปราณจากเส้นชีพจรทั้งเก้าเส้นของพวกอัจฉริยะเสียอีก
ลั่วเทียนในตอนนั้น เพราะปรับพื้นฐานไว้อย่างดีเยี่ยม ตลอดเส้นทางการฝึกยุทธ์จึงสะดวกราบรื่น สลัดคนในรุ่นเดียวกันทิ้งไว้เบื้องหลัง สุดท้ายเข้าสู่ระดับเทพสวรรค์
โอสถที่ใช้ขยายเส้นชีพจร เรียกว่า โอสถเบิกสวรรค์ หมายความว่าเมื่อ ‘กิน’ ยาลูกกลอนนี้ลงไป ‘เส้นทางการฝึกยุทธ์เปิดสู่สวรรค์’
‘ในตอนนั้น โอสถเบิกสวรรค์ของลั่วเทียนเกือบจะเป็นโอสถเบิกสวรรค์ที่คุณภาพดีที่สุด หากข้าอยากทำได้เหนือกว่าเขา อย่างน้อยจะต้องได้รับผลึกอสูรจากสัตว์อสูรขั้นหนึ่งมาหนึ่งก้อน เพื่อเป็นตัวยาหลักของโอสถเบิกสวรรค์ แต่ว่าสัตว์อสูรขั้นหนึ่งแต่ละตัวไม่จำเป็นต้องมีผลึกอสูรเสมอไป ผลึกอสูรนี้จึงเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ ได้มาอย่างยากลำบาก อีกทั้งผลึกอสูรที่ลั่วเทียนได้มาในตอนนั้นเป็นผลึกอสูรของสัตว์อสูรขั้นหนึ่งระดับเกือบสูงสุดซึ่งยิ่งหายากกว่าปกติ’
อวิ๋นโม่ปวดศีรษะอยู่บ้าง ตอนนั้นเขาเตรียมทุกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลั่วเทียน จนทำให้ลั่วเทียนกลายเป็นสุดยอดจักรพรรดิสวรรค์ ตอนนี้จึงเอาชนะเขาได้ยากเหลือเกิน ก่อนหน้านี้บังเอิญเจอน้ำนมปฐพีเพราะโชคช่วย เรียกได้ว่าเป็นผลจากบุญกุศลที่สั่งสมมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ตอนนี้อวิ๋นโม่จะต้องหลอมโอสถเบิกสวรรค์ที่ดีกว่าโอสถที่ลั่วเทียนเคยใช้ในตอนนั้น โอสถเบิกสวรรค์ที่มีคุณสมบัติเหนือกว่าเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
‘ไม่ต้องคิดอีกแล้ว ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว อย่างแรกขึ้นไปบนเทือกเขาเหนือเมฆาดูก่อน ไม่แน่อาจโชคดีได้ผลึกอสูรมา อืม คงต้องบอกคนเหล่านั้นไว้ด้วย ให้พวกเขาช่วยข้าค้นหาผลึกอสูรของสัตว์อสูรขั้นที่หนึ่งสักหน่อย’
หลังจากอวิ๋นโม่แปลงโฉมแล้วก็ไปหาช่างตีเหล็กฟาง ผู้เฒ่ากัว และอู่ซานเหอ ให้พวกเขาหาข่าวผลึกอสูรของสัตว์อสูรขั้นที่หนึ่ง ไปถึงก็ถือโอกาสมอบโอสถที่หลอมเองให้สามคนนั้น แม้จะหลอมขึ้นมาอย่างง่ายๆ แต่คุณภาพยังเหนือกว่าโอสถที่แพทย์โอสถทั่วไปหลอมมาก ทำให้คนทั้งสามซาบซึ้งอย่างยิ่ง โดยเฉพาะผู้เฒ่ากัว โอสถระดับนี้สามารถทำกำไรให้โรงประมูลได้เป็นอย่างดี
“เอ๋ จะไปเทือกเขาเหนือเมฆาแล้วหรือ”
หลังกลับมาถึงตระกูลอวิ๋น อวิ๋นโม่ก็ได้ข่าวสารที่ยืนยันแล้วว่า อวิ๋นเลี่ยติดตามอวิ๋นหู่ขึ้นไปบนเทือกเขาเหนือเมฆา อวิ๋นหู่ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง ทรัพย์สมบัติในบ้านก็ถูกยึด ดังนั้นหากต้องการทรัพยากรเพื่อฝึกฝนก็ต้องติดตามกลุ่มล่าสัตว์ขึ้นไปบนเทือกเขาเหนือเมฆา ครั้งนี้อวิ๋นเลี่ยก็ติดตามอวิ๋นหู่ไปด้วย
อวิ๋นโม่คิดจะฆ่าอวิ๋นเลี่ยตั้งแต่แรก เพียงแต่มีธุระติดพันมากเกินไป ไม่มีเวลาลงมือ ทำให้อีกฝ่ายมีโอกาสหาเรื่องตนรอบแล้วรอบเล่า คราวนี้อวิ๋นโม่ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องฆ่าฝ่ายนั้นให้ได้ ตอนนี้อวิ๋นเลี่ยขึ้นไปบนเทือกเขาเหนือเมฆาพอดี อวิ๋นโม่ก็สามารถถือโอกาสกำจัดเขาเสีย
ขึ้นเขาครั้งนี้ อวิ๋นโม่ไม่คิดจะกระตุ้นความสนใจของคนอื่น จึงเปลี่ยนการแต่งกายมาสวมชุดเกราะและโพกผ้าคลุมศีรษะ ดูคล้ายผู้คุ้มกันของตระกูลทั่วไป เขาเดินลึกเข้าไปในเทือกเขาเหนือเมฆา เริ่มเสาะหาสัตว์อสูรขั้นหนึ่งที่ถูกใจ ครั้งนี้ภารกิจค้นหาสมุนไพรวิญญาณเป็นเรื่องรอง เพราะสมุนไพรเหล่านั้นหากไม่เจอบนภูเขาเหนือเมฆา ออกไปซื้อหาก็สิ้นเรื่อง
“ฟ่อ!”
ทันใดนั้นงูเหลือมยักษ์ตัวหนึ่งก็พุ่งออกมาฉกอวิ๋นโม่
ผลัวะ! อวิ๋นโม่สะบัดเท้า เตะงูเหลือมตัวนั้นลอยออกไป
“ไม่มีค่าอะไรสักนิด ไร้ประโยชน์” อวิ๋นโม่ส่ายศีรษะอย่างไร้ความสนใจ
“แคว้ก!”
เสียงร้องของนกอินทรีตัวหนึ่งดังขึ้น อวิ๋นโม่เงยหน้ามอง ที่แท้ก็เป็นนกอินทรีขนาดสองจั้งตัวหนึ่งถลาเข้ามาพร้อมกางกรงเล็บข้างหนึ่งจับงูเหลือม ส่วนอีกข้างตวัดมาทางอวิ๋นโม่ งูเหลือมตัวนั้นบิดตัวอย่างบ้าคลั่ง คิดจะหนีไปให้ได้ แต่นกอินทรีปราดเปรียว พริบตานั้นก็จับงูเหลือมได้มั่น กรงเล็บอีกข้างตวัดใส่อวิ๋นโม่ด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้า
นกอินทรีร่อนลงมา ก่อแรงลมพัดจนฝุ่นดินปลิวกระจาย กรงเล็บข้างนั้นทรงพลังน่าครั่นคร้ามอย่างยิ่ง
‘ปีกสองข้างทั้งกว้างและยาวเหนือกว่าอินทรีอสูรทั่วไป นกตัวนี้ต้องเป็นลูกหลานของคุนเผิงแน่ ปราณชีวิตภายในร่างบริสุทธิ์กว่าสัตว์อสูรขั้นหนึ่งตัวอื่นๆ ตรงกับความต้องการของข้า!’ อวิ๋นโม่ตื่นเต้นดีใจ หยิบคืนเหมันต์ออกจากถุงเฉียนคุนแล้วสะบัดออกไป
เพียะ!
ประกายแสงหนาวเย็นสาดออกมาจากคืนเหมันต์ เฉือนกรงเล็บข้างนั้นของอินทรีอสูร อินทรีอสูรเจ็บปวดจนทนไม่ไหวพลันปล่อยงูเหลือมแล้วรีบกระพือปีกหลบหนี งูเหลือมยักษ์บิดลำตัวที่บอบช้ำก่อนหนีไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
“ถูกข้าหมายตาแล้วยังคิดจะหลบหนีหรือ” อวิ๋นโม่กระทืบเท้าอย่างแรงครั้งหนึ่งแล้วพุ่งไปหาอินทรีอสูรด้วยความเร็วเหนือจินตนาการ
ฉัวะ!
เลือดข้นพุ่งออกมา คืนเหมันต์แทงหัวใจของอินทรีอสูรอย่างแม่นยำ สิ้นลมหายใจในทันที อินทรีตัวนี้เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นที่หนึ่ง ต่อให้เป็นอวิ๋นโม่ที่อยู่ระดับเสริมกำลังขั้นแปดชั้นฟ้าก็สามารถฆ่ามันได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เขาสะบัดง้าวเพียงครั้งเดียวก็ฆ่าอินทรีอสูรได้ อวิ๋นโม่รีบนำหินผลึกที่เคยบรรจุน้ำนมปฐพีออกมา มียาทรงกลมเม็ดหนึ่งวางอยู่ข้างใน นี่ก็คือโอสถดึงวิญญาณ
หลังจากอินทรีอสูรตายแล้ว วิญญาณเริ่มกระจัดกระจาย ส่วนหนึ่งสลายคืนสู่ฟ้าดิน อีกส่วนถูกอวิ๋นโม่เก็บเข้าไปในผลึกหิน ตอนนี้ภายในผลึกยังว่างเปล่า มีเพียงปราณชีวิตอ่อนบางสายหนึ่งห้อมล้อมโอสถดึงวิญญาณเอาไว้ นั่นก็คือปราณชีวิตของอินทรีอสูร
‘ความบริสุทธิ์ของปราณชีวิตนี้พอใช้ได้ แต่ปริมาณน้อยเกินไปแล้ว ยังห่างไกลจากปริมาณที่ท่านแม่ต้องการอีกมาก’ อวิ๋นโม่เก็บผลึกหินก่อนเดินลึกเข้าไป
“เอ๋” ทันใดนั้นสีหน้าของอวิ๋นโม่เปลี่ยนไป ฝีเท้าหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าร่างอินทรีอสูร แกล้งทำเป็นเก็บวัตถุดิบ
ภายในญาณหยั่งรู้ของอวิ๋นโม่ปรากฏผู้ฝึกยุทธ์สองคน สองคนนี้หลบอยู่หลังต้นไม้ แอบสังเกตเขาอยู่เงียบๆ
………………………………………
*如日中天 Rúrìzhōngtiān หมายถึง เจริญรุ่งเรือง