ปราสาทย่อยอันติกัว ประตูหลัง
ทหารนายหนึ่งที่กำลังดูพื้นที่รอบ ๆ แล้วกวักมือเรียกเพื่อนที่ซ่อนตัวอยู่
นายทวารผู้ซึ่งอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ได้ให้สัญญาณโดยการสะบัดหัวเบา ๆ ก่อนควักกุญแจออกมา
นั่นไม่ใช่กุญแจสำหรับประตูปราสาท แต่เป็นสำหรับประตูเหล็กเล็ก ๆ แต่ทนทานที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ
ประตูเล็ก ๆ นั่นถูกห้ามไม่ให้เปิดยกเว้นตอนเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น ตอนนี้ประตูดังกล่าวถูกเปิดออกโดยทหารที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้าประตูนั่น และถูกเปิดให้ทหารที่กำลังหนี
นายทวารคนนี้ได้แอบติดต่อกับกองกำลังปลดแอกอย่างลับ ๆ และถูกมอบหมายให้คอยลดทอนกำลังใจกับช่วยเหลือในการหนีทัพ ภาพที่เห็นนี้เกิดขึ้นมานับหลายต่อหลายครั้งแล้ว การเฝ้ายามในปราสาทค่อนข้างหละหลวม และพวกหนีทัพก็ถูกส่งออกไปข้างนอกเหมือนเช่นทุกที
“……ตอนไปก็ก้มตัวลงไม่ให้โดนเขาเห็น ลึกเข้าไปในป่าทางตอนเหนือจะมีบ้านเก่า ๆ อยู่หลังนึง ในนั้นจะมีคนคอยรับช่วงต่อประจำการอยู่ นี่แผนที่สำหรับไปที่นั่น ถ้าไม่ต้องใช้แล้วก็อย่าลืมฉีกกับกำจัดทิ้งด้วยล่ะ”
เมื่อนายทวารยื่นแผนที่ไป ชายคนนั้นก็รับไว้แล้วมองดู
“……โทษทีนะ ช่วยไว้ได้มากเลยล่ะ”
“แล้วก็ เอาเอกสารนี่ให้คนที่อยู่ประจำการด้วย”
สายเอาซองที่เก็บเอกสารไว้ออกมา
“อา เข้าใจแล้ว”
“ถึงการเผ้ายามจะไม่ดีแต่ก็ระวังเอา―”
“ตรงนั้นน่ะ ทำอะไรกันอยู่เหรอ?”
“―!”
ขณะที่กำลังมอบเอกสารให้ ก็มีเสียงที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้เรียกหาพวกเขา ทั้งนายทวารและผู้หนีทัพต่างก็หันไปมองทิศทางนั้น หัวใจแทบจะหยุดเต้น
“ถ้าจำไม่ผิด จะเป็นคนจากหมวดทหารราบที่ 11 สินะ ถือสัมภาระคือจะไปที่ไหนสักที่เหรอ? หรือว่าจะออกไปเดินดูดาว”
“เธอมัน….หมวดทหารราบที่ 13….”
“―เฮ้ย เดี๋ยว ถ้าเป็นแม่นี่ไม่เป็นไรหรอก”
ชายหนุ่มที่พร้อมจะชักดาบออกมาได้ทุกเมื่อ พอเห็นเชอร่าก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาโล่งอกเพราะคิดว่าตนจะรอดออกไปได้
นายทวารยังคงจ้องเธอเขม็งอยู่ ถ้าเธอส่งเสียงดังออกมาแม้แต่นิดเดียว เขาก็ตั้งใจจะฆ่าทิ้งทันที ขืนหล่อนโวยวายออกมาทุกอย่างจบเห่แน่
“ร้อยตรีชั่วคราวเชอร่าเอง”
“อ้อ ยัยเด็กที่ถูกจับให้อยู่ตำแหน่งน่ารำคาญนั่นนี่เอง คำว่าชั่วคราวนี่ฟังแล้วน่าร้องไห้จริง ๆ ว่าไหม”
“หมวดอื่นก็พูดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน เรื่องที่จะอยู่รอดได้ถึงตอนไหนกันน่ะนะ เห็นว่าโดนเอาไปพนันกันด้วยนี่”
“―ที่สำคัญกว่านั้นนะ ทำอะไรกันอยู่เหรอ?”
เชอร่าถามออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม โดยที่ถือเคียวยักษ์พาดไหล่ไว้
“ดูก็รู้แล้วไม่ใช่รึไง เราจะหนีจากกองทหารระยำนี่ ใครก็ต้องอยากอยู่กับม้าตัวที่ชนะอยู่แล้วไม่ใช่รึไง? มีข่าวลือมาว่าพวกจักรวรรดิเองก็จะเข้าร่วมสงครามด้วย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อพวกเรามีแต่ได้ตายเหมือนหมาแน่”
“พวกฉันจะเข้าร่วมกับกองกำลังปลดแอกนครหลวง ได้ยินว่าหาเงินได้เยอะได้ด้วย โทษทีนะ แต่ฉันไม่คิดจะตายเพื่ออาณาจักรนี้หรอก”
“ทุกคนตกลงกันแล้ว อาวุธดี ๆ กับอาหารก็เตรียมเป็นไปเป็นของแลกเปลี่ยนด้วย คงไม่โดนปฏิบัติด้วยแย่นัก”
ชายที่ดูเหมือนจะเป็นผู้บังคับหมวดวางมือลงถุงที่แบกไว้บนหลังดังฟุบ หลังได้ยินคำตอบ เชอร่าก็พยักหน้าให้หลายครั้งเพื่อสื่อว่ารับทราบแล้ว จากนั้นก็ใส่แรงลงไปในเคียวที่ตนกำอยู่
“อย่างงั้นเหรอ ถ้างั้นก็ ลากันตรงนี้นะ”
“…..เธอจะไปด้วยไหมล่ะ? ถ้าอยู่ต่อได้ตายแน่”
“ฮะ เฮ้ย”
หนึ่งในผู้หนีทัพพูดตอบกลับมาโดยทันที เพราะมีแต่จะเพิ่มภาระเปล่า ๆ
“จะปล่อยไว้แบบนี้ก็ไม่ได้ เราโดนเจอตัวแล้วนี่ เอาน่า เพิ่มอีกสักคนคงไม่มีปัญหาหรอก?”
เมื่อผู้บังคับหมวดถามนายทวารไป เขาก็ขมวดคิ้ว แต่เนื่องจากไม่มีทางอื่นแล้วจึงต้องพยักหน้าไป
“ถึงจะอยู่นอกแผนแต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ฉันเองก็ไม่อยากฆ่าผู้หญิงหรือเด็กเหมือนกัน แต่ว่าให้ได้แค่แม่นี่คนเดียว ตอนนี้จะเรียกคนอื่นในหมวดมาไม่ได้แล้ว”
“―ก็นั่นล่ะ จะมาด้วยใช่รึเปล่า? ทหารเล็ก ๆ อย่างเราไม่ได้ติดหนี้บุญคุณอะไรที่นี่นี่นา”
“…..นั่นสินะ ถ้างั้นฉันไปด้วยแล้วกัน ถึงจะแค่แปปเดียวแต่ก็ฝากตัวด้วยนะ”
เชอร่าตอบรับด้วยรอยยิ้ม ชายคนนั้นพยักหน้ารับแล้วแอบหนีออกจากประตูไปเงียบ ๆ
―การหนีทัพถือเป็นความผิดร้ายแรง หากอิงตามกฎยุทธวินัยแล้ว ต้องถูกประหารอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
เหล่าผู้หนีทัพกลั้นลมหายใจไว้แล้ววิ่งไปยังพื้นที่ป่าโดยซ่อนตัวอยู่ในหญ้า เนื่องจากถือสัมภาระใหญ่ไว้จึงเคลื่อนที่ได้ลำบาก แต่ว่าจะไปที่นั่นมือเปล่าก็ไม่ได้
เชอร่าเองก็มีเคียวยักษ์ ไม่ต่างจากพวกคนอื่นเท่าไหร่นัก
“นี่ คุณร้อยตรีชั่วคราวเชอร่า ไอ้เคียวใหญ่น่ากลัวนั่น ทำไมไม่ทิ้ง ๆ มันไปล่ะ ดูยังไงก็ลำบากเปล่า ๆ”
“ถ้าไม่มีก็สู้ไม่ได้น่ะสิ”
เชอร่าลูบด้ามจับเคียวอย่างอ่อนโยน ชายคนนั้นพึมพำออกมาด้วยความตกตะลึง
“ให้ตายสิ ช่วยไม่ได้ล่ะนะ แบกเคียวแบบนั้นไปด้วยคิดอะไรอยู่กัน เธอน่ะหลังไปถึงกองกำลังปลดแอกแล้วก็รีบกลับบ้านให้เร็วที่สุดเลยแล้วกัน ไม่มีใครว่าอะไรหรอก”
“จะลองคิดดูนะ”
“ผู้บังคับหมวด! ไอ้นั่นใช่รึเปล่าครับ”
สมาชิกคนหนึ่งรายงานขณะที่กางแผนยืนยันตำแหน่งปัจจุบันอยู่ มีต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งถูกทำสัญลักษณ์กากบาทไว้ ถึงแม้จะมืดและมองเห็นไม่ค่อยชัด แต่มีต้นไม้ต้นหนึ่งยืนเด่นกว่าต้นเล็กอื่นห่างออกไปสามสิบก้าว
เหล่าผู้หนีทัพเริ่มเดินไปอย่างเงียบ ๆ ไปหาต้นไม้ใหญ่ที่เป็นเป้าหมาย พยายามไม่ให้เกิดเสียงเดินใด ๆ
พวกเขามาเกือบถึงจุดที่ทหารอาณาจักรไม่มีการเฝ้าระวังแล้ว ทว่า จนกว่าจะถึงห้ามลดการระวังลงเด็ดขาด นั่นคือความลับในการเอาตัวรอดอย่างเดียวที่ได้รู้มาจากการเป็นทหาร
“―เป็นรอยที่ทำโดยมนุษย์แน่นอน ต้องหันหาเจ้านี่แล้วไปทางซ้ายงั้นรึ?”
“ครับ น่าจะอันนี้แหละ มีร่องรอยคล้ายของสัตว์ด้วย”
“รอบ ๆ ที่นี่มีรอยเท้าเหลืออยู่เต็มไปหมด ถ้าตามไปต้องไปถึงได้แน่”
“ทั้งที่ศัตรูอยู่ใกล้ขนาดนี้แต่กลับไม่รู้สึกตัวสักอย่าง หละหลวมเกินไปแล้ว หัวหน้าพวกเรานี่มันสมองกลวงกันรึไงนะ?”
ผู้บังคับหมวดพูดขึ้นเบา ๆ ขณะที่ยกมือขึ้นลูบต้นไม้ใหญ่ สมาชิกคนอื่น ๆ ต่างก็เห็นด้วย
“ไม่แปลกใจเลยนะครับที่แผนลอบโจมตีล่ม”
“คิดถูกแล้วที่เลือกหนีมา โชคดีจริง ๆ ที่สุดท้ายพวกเราตัดสินใจได้ถูกต้อง ถ้ากลับไปได้เมื่อไหร่มาภาวนาให้ดวงดาวกันเถอะ นี่ต้องเป็นผลจากพระเจ้าที่พวกเราเทิดทูนแน่ ๆ”
“แด่เทพดาราสินะครับ”
“นั่นล่ะ”
พวกเขามีครอบครัวที่จากมา ไม่อยากต้องตายอย่างสูญเปล่าหรือตายเยี่ยงสุนัข การรอดชีวิตคือทุกอย่าง แม้ว่าจะถูกตีตราว่าเป็นคนทรยศก็ตาม นี่คือความปรารถนาที่ไม่ว่าใครก็มี
เชอร่ายืนดูสถานการณ์อยู่ห่างออกไปเล็กน้อยอย่างร่าเริง โดยที่เล่นกับเคียวเล่มโปรดของเธอไปด้วย ในตอนนั้นเองเธอรู้สึกท้องว่างขึ้นมาจึงหยิบถั่วคั่วที่เก็บไว้ออกมาโยนเข้าปาก ถั่วคราวนี้มีรสเค็มเล็กน้อย ไม่อร่อย แต่ก็ไม่ถึงกับแย่
“เอาล่ะ คงได้เวลาพักแล้ว ฉีกแผนที่ทิ้งแล้วเอาฝังดินซะ สัญญาก็คือสัญญา อย่าให้เหลือร่องรอยล่ะ”
“รับทราบ!”
“นี่เชอร่า เธอเองก็อย่าเอาแต่กินถั่ว มาช่ยกันหน่อย”
สมาชิกคนหนึ่งบ่นใส่เชอร่าที่กำลังเคี้ยวถั่วสบาย ๆ อยู่ เธอไม่ได้ตอบกลับไป แต่ปักปลายเคียวลงพื้นจนเกิดหลุมเล็ก ๆ
“ใช้เคียวแทนจอบเรอะ ถ้ากลับบ้านไปเธอต้องช่วยพ่อแม่ได้ดีแน่ ๆ ระหว่างที่พวกเขามีชีวิตอยู่ก็ดูแลพ่อแม่ให้ดี ๆ ล่ะ”
ขณะที่หันไปหาเชอร่า เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนกำลังสั่งสอนอยู่
ฉีกแผนที่ออกเป็นชิ้น ๆ เอายัดใส่หลุม แล้วใช้ดินกลบทับสักหน่อย หลังใช้รองเท้าเหยียบซ้ำเพื่อไม่ให้มีร่องรอยเหลือ ทหารก็ส่งสัญญาณว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ถ้าอยากล่ะก็นะ”
“พยายามตั้งแต่ตอนนี้สิจะได้อยาก ตอนผู้ใหญ่พูดก็ฟัง ๆ ไว้นะ”
“เข้าใจแล้ว จะว่าไป คุณเป็นพ่อของฉันเหรอ?”
“ฮะฮะ ฉันมีลูกชายที่น่ารักรออยู่ที่บ้านแล้วล่ะ โทษทีนะ แต่คงเป็นพ่อให้เธอไม่ได้ ไปหาผู้ชายดี ๆ คนอื่นด้วยตัวเองแล้วกัน”
“น่าเสียดายจัง”
ระหว่างที่พูดคุยเล็กน้อยไปด้วย เชอร่าก็พยายามนึกถึงใบหน้าของพ่อแม่ที่ตนเคยมี แต่ว่ากลับนึกอะไรไม่ออก แม้ว่าเธอจะไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่แย่ แต่ความเกลียดชังที่มีต่อกองกำลังปลดแอกนครหลวงนั้นมีอยู่อย่างแน่นอน เธอมีความทรงจำเรื่องที่หมู่บ้านถูกทำลาย ทว่ากลับจำใบหน้าของคนที่อยู่ในนั้นไม่ได้ เธอไม่คิดว่านั่นเป็นเรื่องที่น่าเศร้า อย่างเดียวที่จำได้คือความหิวเวลาใกล้ตายนั้นน่าเศร้าขนาดไหน
―ใช่แล้ว จำได้แค่ความหิวที่ทำให้แทบคลั่ง
เชอร่าโยนถั่วเม็ดสุดท้ายเข้าปากอย่างเงียบ ๆ เธอเคี้ยวอย่างรุนแรงจนไม่สามารถรับรสมันได้
บ้านร้างที่เป็นจุดซ่อนตัวของสายจากกองกำลังปลดแอก
ปกติแล้วที่นี่เป็นสถานที่ที่ฝ่ายสอดแนมเป็นคนใช้เท่านั้น แต่เย็นวันนี้กลับมีผู้บัญชาการของกองกำลังปลดแอกคนหนึ่ง พันเอกโวลูร์ได้แวะมาเพื่อตรวจสอบข้าศึกศัตรู โวลูร์คือทหารระดับสูงที่ถูกส่งมาเป็นกำลังเสริมโดยทหารจักรวรรดิ
เขามีรูปร่างสูงใหญ่กำยำ พรสวรรค์ด้านการต่อสู้ที่มีก็ยิ่งถูกขัดเกลาด้วยการฝึกฝนทุก ๆ วัน
ทักษะการใช้หอกของเขาถูกรับรู้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่ชำนาญที่สุดในจักรวรรดิ ในฐานะครูฝึกการใช้หอก เขายังเป็นครูสอนให้เจ้าชายลำดับที่สอง อลัน อีกด้วย ด้วยนิสัยที่เรียบง่ายจริงใจ แข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจทำให้เขาเป็นที่รักของเหล่าทหาร และมีความสามารถมากพอในการเป็นผู้บังคับการ
“ดึกดื่นป่านนี้ยังต้องทำหน้าที่อยู่ ลำบากหน่อยนะ ฉันมาเพื่อดูสภาพของปราสาทย่อยอันติกัวด้วยตาคู่นี้น่ะ”
“พันเอกไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองเลยครับ ทางนั้นไม่เปลี่ยนไปเลย…..นี่ครับ”
“ขอยืมหน่อยก็แล้วกัน”
ฝ่ายสอดแนมคนหนึ่งมอบกล้องส่องทางไกลให้โวลูร์ อุปกรณ์เวทมนตร์นี้ถูกเสริมพิเศษมาทำให้สามารถแสดงภาพเหมือนดั่งเวลากลางวันผ่านเลนส์ได้ เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ขุดค้นขึ้นมาได้จากเมืองเขาวงกต เป็นของที่ถูกจำกัดให้ใช้โดยนายทหารชั้นสัญญาบัตรที่สังกัดหน่วยข่าวกรองของจักรวรรดิเท่านั้น
“หละหลวมซะจนคิดว่ากำลังล่อให้เราติดกับอย่างไรอย่างนั้นเลยล่ะครับ ดูหอคอยนั่นสิครับ”
เขาหันกล้องส่องทางไกลไปตามทิศที่ฝ่ายสอดแนมชี้ ตรงกำแพงปราสาทมีหอคอยหอหนึ่งตั้งอยู่ นั่นคือหอคอยสอดส่องสำหรับตรวจหาศัตรู แต่ว่ายามที่เฝ้ากลับยืนพิงกำแพง ไม่ขยับแม้แต่น้อย
“…..ยามเฝ้าหลับไปแล้ว ไม่มีวินัยเลยรึยังไงกัน?”
โวลูร์พึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจขณะตรวจสอบสถานการณ์ที่อันติกัวผ่านกล้องส่องทางไกล
“หายามที่ตั้งใจทำหน้านี่ยังยากกว่าซะอีกครับ ทำเอาทางนี้ตั้งใจเฝ้าดูลำบากเหมือนกัน”
“ยังไงก็ห้ามลดการระวังลงเด็ดขาด ในฝั่งศัตรูก็ต้องมีคนที่หลักแหลมอยู่เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นอาณาจักรคงไม่รอดมาจนถึงวันนี้หรอก”
หลังคืนกล้องส่องทางไกลให้หน่วยสอดแนมแล้วก็ให้คำเตือนมา
“รับทราบครับ พันเอกโวลูร์……หือ? มีอะไรเข้ามาในเครือข่ายเรา จะตรวจสอบเดี๋ยวนี้ครับ”
เครือข่ายแจ้งเตือนพิเศษที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยเทคโนโลยีเวทมนตร์ของจักรวรรดิ พวกมันถูกกางไว้ล้อมรอบบ้านร้างแห่งนี้ ผู้ใต้บัญชาคนหนึ่งใช้กล้องส่องทางไกลเพื่อดูว่าคืออะไร
“…..เหมือนจะเป็นพวกหนีทัพที่ติดต่อไปครับ มีสิบ ไม่สิ สิบเอ็ดคน มากกว่าที่คุยกันไว้หนึ่งคน”
“เมื่อก่อนก็เคยมีแบบนี้นี่ บางคนเพิ่งตัดสินใจได้ตอนวินาทีสุดท้าย หลังถามคำถามตามปกติเสร็จก็พาไปที่ศูนย์บัญชาการของกองกำลังปลดแอกซะ อย่าลืมเอาเอกสารจากสายมาด้วยล่ะ”
“รับทราบ”
“……หน่วยข่าวกรองทำหน้าที่นำทางคนหนีทัพด้วยรึ?”
โวลูร์ลูบคางของตน ถามคำถามออกมา
ครับ เป็นคำสั่งจากท่านนักวางกลยุทธ์ให้พวกนั้นล่มสลายจากภายในเร็วขึ้น จำนวนผู้หนีทัพมีเกินกว่าหนึ่งพันแล้ว สายที่เราติดต่อด้วยก็มีตั้งแต่ระดับต่ำจนไปถึงยศสูง……อีกไม่นานคงได้เห็นผลลัพธ์แน่นอนครับ”
มีคนไม่น้อยที่ไม่พอใจอาณาจักร ทำให้สามารถฉวยโอกาสได้ง่าย จำนวนคนที่เข้าหาเองก็ไม่น้อยเช่นกัน
“…..งั้นรึ อาณาจักรเริ่มจะเน่าเฟะจากภายในแล้วสินะ”
“ครับ เป็นเช่นนั้นครับ”
ต้นไม้ใหญ่ แม้ดูจากภายนอกจะยิ่งใหญ่แต่ข้างในผุจนหมดสิ้น ต่อให้ไม่ทำอะไรเลย ต้นไม้จะล้มลงมาเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น แต่ว่าภารกิจของฝ่ายข่าวกรองนี้คือเร่งเวลาให้มาถึงเร็วขึ้น
“ฉันอยากถามพวกหนีทัพเกี่ยวกับสถานการณ์ข้างในจะได้รึเปล่า?”
“…..ไม่ค่อยเห็นด้วยครับ พวกเขายังไม่ได้ให้คำสัตย์สาบานต่อเจ้าหญิง พวกเขาแค่หนีมาเพราะไม่พอใจกับที่เป็นอยู่ปัจจุบัน เผื่อไว้ก่อนดีกว่าน่ะครับ”
ฝ่ายข่าวกรองเตือนเขา แต่โวลูร์ก็ส่ายหน้าเพื่อบอกว่าไม่ต้องกังวล
“ถ้าฉันโดนพวกหนีทัพลอบโจมตีเข้าจนตายก็หมายความว่าฉันมาได้แค่นั้นนั่นล่ะนะ ไปถามสถานการณ์พวกนั้นเถอะ ด้วยหูคู่นี้”
“….เข้าใจแล้วครับ แต่ว่า พวกเราเองก็จะไปด้วยครับ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่านพันเอก จะได้เป็นความรับผิดชอบของพวกเรา”
เมื่อสมาชิกกลุ่มยิ้มออกมา โวลูร์ก็ยิ้มแห้ง ๆ ตาม
“ให้ตายสิ มีลูกน้องที่มีความรับผิดชอบแบบนี้ลำบากจริง ๆ”
“พวกเราที่มีผู้นำแข็งแกร่งแบบท่านก็ลำบากหลายเรื่องเหมือนกันนะครับ”
โวลูร์เดินออกจากบ้านร้าง ตามมาด้วยฝ่ายข่าวกรองที่เตรียมพร้อมอยู่
การที่เขาหยิบหอกยาวเล่มโปรดติดตัวไปด้วย อาจจะเป็นลางสังหรณ์บางอย่างก็เป็นได้
“ฉันคือพันเอกโวลูร์ ประจำอยู่กองกำลังปลดแอกนครหลวง กองพันอาสาแห่งจักรวรรดิ พวกเจ้าคือคนที่มาจากอันติกัวสินะ?”
“คะ ครับ ใช่แล้วครับ! พวกผมแอบหนีมาจากปราสาทเพื่อเข้าร่วมกับกองกำลังปลดแอกที่นำโดยเจ้าหญิงอัลทูร่า! ตะ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกผมยอมสละชีวิตเพื่อสู้ให้กองกำลังปลดแอกนครหลวงครับ!”
ผู้บังคับหมวดพ่นคำโกหกออกมา
โวลูร์เองก็รู้เรื่องนี้แต่ก็พยักหน้าให้ ยังไงซะ สำหรับพลทหารธรรมดาอย่างพวกเขา เรื่องการแย่งชิงอำนาจถือเป็นอีกเรื่องนึงอยู่แล้ว
“…..อืม เราพร้อมต้อนรับสหายที่มีอุดมการณ์เดียวกัน จากนี้ไปก็ขอให้แสดงกำลังให้เต็มที่ภายใต้กองกำลังปลดแอกด้วยล่ะ”
“ครับ!”
ผู้บังคับหมวดรวมไปถึงสมาชิกทุกคนต่างทำความเคารพ โวลูร์มองหน้าพวกเขาทุกคนทีละคนทีละคน
ทว่า สายตาของเขาก็หยุดเมื่อเห็นทหารที่มีอาวุธสะดุดตาคนหนึ่ง
“―แม่หนู มีอะไรน่าตลกงั้นรึ ช่วยบอกหน่อยได้รึเปล่า”
“………”
“ฉันถามว่า ทำไมเธอถึงยิ้มอยู่ตลอดอยู่นะ”
“―อะฮะ อะฮะฮะ! มีอะไรน่าตลกงั้นเหรอคะ? ทุกอย่างเลยทุกอย่าง! น่าขำจนอดไม่ได้เลย!”
“อะไรล่ะ?”
“ก็เรื่อง ‘แอบหนีมาจากปราสาทเพื่อเข้าร่วมกับกองกำลังปลดแอก’ นั่น กล้าพูดออกมาได้หน้าตาย ทั้งที่จริง ๆ หนีมาเพราะไม่อยากตายแท้ ๆ !”
เชอร่าหัวเราะร่าเสียงดัง เอามือกุมท้องตัวเองราวกับว่าทนต่อไม่ไหวแล้ว
ฝ่ายข่าวกรองที่รออยู่ด้านอยู่ขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วเอื้อมมือไปจับอาวุธ ขืนยังมีท่าทีหยาบคายเช่นนี้ต่อพวกเขาก็ตั้งใจจัดการเธอทันที
“ฮะ เฮ้ย เสียมารยาทนะ! เชอร่า!! หยุดเลย!”
ผู้บังคับหมวดยื่นมือไปเพื่อจับตัวเชอร่าไว้ แต่เธอก็ปัดออก
“ไม่ได้นะ พวกสุนัขของทหารกบฏอย่ามาแตะต้องตัวได้มั้ย? เพราะไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกันแล้วนี่นา”
“…….ฮะ เฮ้ยเชอร่า!! เธอเป็นบ้าไปแล้วรึไง!?”
“เจ้า ไม่ได้มาเพื่อเข้าร่วมกองกำลังปลดแอกรึ?”
โวลูร์ถามออกไป นี่เป็นคำถามสุดท้ายที่จะถาม เพราะเชอร่าปล่อยรังสีอาฆาตออกมาแล้ว
เขากำหอกในมือแน่นขึ้น
“ดูก็รู้ว่าเปล่าไม่ใช่เหรอ ฉันมาล่าสุนัขเกะกะลูกตาที่มันแอบซ่อนอยู่น่ะ ถ้าล่าตัวใหญ่ได้ก็ยิ่งเลื่อนขั้นเร็วใช่มั้ย”
“นี่ เชอร่า!! มะ ไม่ใช่นะครับ ขออภัยด้วยจริง ๆ มะ แม่นี่สมองไม่ดีนิดหน่อยน่ะครับ”
ผู้บังคับหมวดพยายามปกป้องให้ แต่เชอร่าก็บอกปัดไปว่าเกะกะขวางทาง
“อย่าทำเหมือนว่าคนอื่นโง่ได้รึเปล่า? โดนสุนัขปกป้องแบบนี้มันเจ็บจี๊ดเลย”
เมื่อเห็นสภาพเบื้องหน้า โวลูร์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“―นั่นคือคำตอบรึ ดูเหมือนชีวิตการเป็นทหารจะลำบากจนเสียสติไปเลยสินะ เช่นนั้น ฉันจะช่วยให้หลุดพ้นเอง”
“หยุดเถอะครับท่านพันเอก พวกผมจะจัดการคนพรรค์นี้เอง”
“วางใจเถอะ อย่างน้อยที่สุดก็ถือว่าเป็นความสงสาร ถึงฉันจะทำใจลงมือกับเด็กสาวที่ยังเด็กขนาดนี้ไม่ลงก็จริงแต่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เธอคนนี้กลายเป็นหมาบ้าไปแล้ว ฉันทนดูไม่ได้”
โวลูร์ทำท่าทางห้ามฝ่ายข่าวกรองเอาไว้ แล้วยกหอกขึ้นช้า ๆ
เชอร่าน่าจะตายในอีกไม่กี่วินาทีหลังจากนี้ เขาเป็นถึงพันเอกในกองกำลังปลดแอก ไม่มีทางที่เธอจะรับมือคนระดับนี้ได้ ไม่มีอะไรที่พวกคนหนีทัพสามารถทำได้อีกต่อไป จะเข้าไปโดนลูกหลงแล้วตายด้วยก็ไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนี้คือกลั้นหายใจดูช่วงสุดท้ายของชีวิตเชอร่า
ทว่า เชอร่ากลับไร้ความกังวล แล้วเริ่มเดินอย่างร่าเริง
“หุหุ เพื่ออาหารอร่อย ๆ ของฉัน―ขอโทษนะ แต่ช่วยตายได้รึเปล่า?”
เธอเหวี่ยงเคียวในมือด้วยแรงมหาศาล ริมฝีปากของเชอร่าเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้ม และชี้ปลายเคียวไปยังโวลูร์