Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก – ตอนที่ 25

Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก

 

 

 เคทลินไม่ได้อยู่เพียงลำพัง พออินกองมองไปข้างหลังเธอ ก็พบเหล่าไลแคนโทรปกำลังหายใจอย่างรุนแรง ทั้งหมดล้วนชโลมด้วยเลือดออร์คเช่นเดียวกับนาง

 

“อืม เอ่อ ช่ว… ผมมาช่วยเหลือนูนะครับ”

#ภาษาไทยใช้คำว่าช่วยเหมือนกัน อินกองเราตั้งใจจะมาเป็นพระเอกช่วยนางเอกแบบละคร แต่พอมาเห็น เลยต้องแก้ต่างเป็นมาช่วยแบบ มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?

 

 ด้วยบรรยากาศ ทำให้เขาไม่สามารถบอกไปว่าเขามาเพื่อช่วยชีวิตนาง

 

‘อายชิบหาย กูกลับเลยได้ไหมเนี่ย?’

 

 ฝ่ายที่ต้องการความช่วยเหลือ กลับกลายเป็นพวกเผ่าสายฟ้าชาดเสียมากกว่า

 

 เคทลินใช้มือปาดเลือดที่เลอะหน้าของนางออก แล้วเดินเข้าหาอินกอง นางร้องออกมาหลังจากเห็นคารัคกับเฟลิซีที่อยู่ข้างหลังเขา

 

“เฟลิซีออนนี่!”

 

 ไม่ใครสามารถปฏิเสธได้ถึงความใสซื่อของนาง

 

 ภายในเสียงบ่งบอกถึงความกังวลและยินดี นั่นทำให้เฟลิซีตอบอย่างกระอักกระอ่วน

 

“เอ่อ อื้ม เคทลิน”

 

 นางหลบสายตาหันหน้าไปทางอื่น อินกองไม่เห็นสีหน้าของนางจึงไม่สามารถมั่นใจได้ แต่เหมือนนางจะละอายใจอย่างมาก

 

 เคทลินที่เห็นเฟลิซี หัวเราะอย่างสดใสก่อนจะหันมาคุยกับอินกอง

 

“สุดยอด! นี่ต้องเป็นความดีความชอบอย่างมาก!”

 

 แน่นอนว่านี่เป็นผลงานอันใหญ่หลวง ถึงอินกองจะชอบที่นางพูดชมเขา แต่มันไม่ถูกกาลเทศะ จุดสีแดงโดยรอบแม้จะน้อย แต่ก็ทยอยมาอย่างไม่หยุดหย่อน

 

“ขอบคุณครับ เอ่อ… นูนะครับ พวกเรารีบหนีกันก่อนเถอะ ฮยองน่าจะดูแลตัวเองได้”

 

 เคทลินถือว่าเก่ง แต่คริสต์ก็แข็งแกร่งและเป็นผู้ใหญ่มากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ทหารที่ติดตามก็ล้วนมีระดับสูง การหลบหนีจึงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด

 

 เคทลินมองไปทิศทางของคริสต์ก่อนจะพยักหน้า

 

“ใช่แล้ว อบป้าหนีเองได้แน่นอน”

 

 นางพูดออกมาอย่างมั่นใจ หลังที่สูดหายใจอย่างยาวนาน นางก็ปรับสีหน้ากลับมาตามเดิม เป็นสีหน้าที่ดูจริงจังและเยือกเย็นเหมือนกับในครั้งแรกที่อินกองพบนาง

 

“นำทางเลยฉัตร พวกฉันจะระวังหลังให้เอง”

 

“ครับ”

 

 พอสิ้นเสียง เขาก็เริ่มออกวิ่งไปทางถ้ำในภูเขาเอสก้าพร้อมกับคารัคและเหล่าทหารออร์ค เฟลิซีไม่พูดอะไรก่อนนางจะย้ายไปอยู่แนวหลังกับเหล่าไลแคนโทรป ซึ่งนั่นก็เพื่อควบคุมเปลวไฟปิดเส้นทางไม่ให้เผ่าสายฟ้าชาดตามมาได้

 

‘ดูๆแล้ว นางก็ออกจะเป็นคนจริงใจ?’

 

 ถึงแม้นางจะไม่ชอบใจในทุกครั้งที่เขาขอให้นางช่วย แต่สุดท้ายนางก็ลงมือทำ ดูแล้วก็น่ารักไปอีกแบบ

 #พี่สาวซึนเดเระนั่นเอง แต่ก็แค่ในช่วงนี้

 

 โชคดีที่การหลบหนีไม่มีอุปสรรคใดใด ส่วนหนึ่งก็เพราะเฟลิซีใช้ไฟปิดเส้นทาง อีกส่วนก็เพราะปริมาณศัตรูในฐานทัพลดลงไปอย่างมาก

 

“นี่คงไม่ได้คิดจะปีนข้ามภูเขาไปใช่ไหม?”

 

 หลังจากที่พวกเขาเริ่มไต่เขาขึ้นมาได้ไม่นาน เฟลิซีก็ย้ายกลับมาอยู่ข้างอินกอง และห็เป็นธรรมดาที่นางจะถาม เพราะนางไม่รู้ถึงการมีอยู่ของประตูมิติ

 

“ข้างหน้ามีทางลับอยู่อีกไม่ไกล”

 

 คารัคตอบขึ้นมาพร้อมชี้นิ้วไปบริเวณกลางภูเขา เฟลิซีขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ แต่นางก็ไม่ปริปากถามอะไรเพิ่ม

 

 เวลาผ่านไปสักพัก พวกเขามาถึงประตูมิติของดวอฟ เฟลิซีมองสำรวจไปรอบทางเดินอย่างอัศจรรย์ใจ

 

“นี่มัน อักขระดวอฟ? หรือว่าทางเดินกับประตูมิติในเทือกเขาจิชก้านี่จะเป็นสิ่งประดิษฐ์ของพวกดวอฟ?”

 

 ตาของนางลุกโชติช่วงขึ้นมาก่อนจะหันไปถามเคทลิน บางทีความอยากรู้อยากเห็นตามฉบับจอมเวทของนางได้ถูกจุดขึ้น

 

 เคทลินหัวเราะก่อนจะตอบออกมา

 

“ถ้ำนี้ถูกค้นพบโดยฉัตร”

 

“ฉัตร?”

 

 เฟลิซีมองไปทางอินกองอย่างไม่อยากเชื่อ เคทลินมองไปที่เขาอย่างภาคภูมิ

 

 เขารู้สึกดีที่มีสาวงามทั้งคู่จดจ้อง แต่สายตาของเฟลิซีดูเป็นปัญหา อินกองได้แต่ยักไหล่ก่อนจะตอบกลับไป

 

“ค่อยคุยหลังจากกลับไปดีกว่าครับ”

 

“ถูกต้อง ในเมื่อภารกิจเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ควรจะกลับกันก่อน”

 

 เสียงของคริสต์ลอยขึ้นมาราวกับเป็นเรื่องปกติ อินกองที่ตกใจกับการปรากฏตัวของเขารีบปรับแผนที่ย่อเพื่อดูรายละเอียด คริสต์ที่เห็นอาการตกใจของอินกองหัวเราะออกมา ก่อนจะเดินมาตบไหล่เขา

 

“อบป้า!”

 

“แม่นแล้วเคท ดีแล้วที่ปลอดภัยกันหมด”

 

 ถึงร่างกายของคริสต์จะเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดออร์ค แต่เขาก็ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย

 

 คริสต์สอดส่องสายตาไปยังผู้เดียวที่มีสีหน้าไม่สบายใจ

 

“ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ เฟลิซีนูนิม”

 

 น้ำเสียงของเขาต่างไปจากคราวที่พูดคุยกับอินกองและเคทลินโดยสิ้นเชิง

 

 อินกองกลืนน้ำลาย จะว่าโชคดีหรือโชคร้าย เฟลิซียังใจเย็นด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างใด

 

“นั่นสินะ”

 

 เฟลิซีตอบกลับมาอย่างไม่ยี่หระ คริสต์ยิ้มออกมา ท่าทางของนางทำให้เขาสนใจไม่น้อย

 

 อินกองพูดตัดบทออกมาห้ามสงครามเย็นที่กำลังเกิดขึ้น

 

“คริสต์ฮยอง แล้วแม่ทัพแวนเดลละครับ?”

 

 อันที่จริงเขาก็สงสัยไม่น้อย สงครามกับเผ่าสายฟ้าชาดในครั้งนี้อาจจะจบได้อย่างรวดเร็ว ขึ้นอยู่กับผลการรบ

 

“จะเล่าตอนนี้ก็คงยาว เรากลับไปที่ค่ายกันก่อนเถอะ เอ้อ ฉัตร ทางเข้าประตูมิตินี่พอจะปิดได้ไหม?”

 

 คำถามอันกระทันหันของคริสต์ทำให้ความคิดของอินกองสะดุด

 

“อ่า มันก็พอเป็นไปได้ครับ”

 

 แม้จะอ่านผ่านอย่างผิวเผิน เขาพอจำได้ว่ามีคำสั่งฉุกเฉินสำหรับในสถานการณ์ที่ประตูถูกศัตรูยึด

 

 การสนทนาดำเนินอย่างราบรื่น แต่ก็มีเอลฟ์นางหนึ่งรู้สึกตะขิดตะขวงใจ เฟลิซีหันมองเคทลินอย่างสงสัย ก่อนเธอจะยิ้มให้นาง

 

“ฉัตรอ่านอักขระของดวอฟได้ เขายังค้นพบวิธีใช้งานประตูมิติด้วย”

 

 นางพูดออกมาด้วยท่าทางที่พร้อมจะอุทานคำว่า ‘สุดยอด!’ ออกมาได้ทุกเมื่อ

 

 เฟลิซีชำเลืองมองไปที่อินกองอย่างเหลือเชื่อ ขณะที่เขาที่กำลังอธิบายให้คริสต์ฟัง

 

&

 

“รีบหน่อยครับ ฮยอง”

 

 มันใช้เวลามากกว่าที่คิดในการเคลื่อนย้ายทหารมากกว่า 400 นายผ่านประตูมิติ อินกองรอจนทหารทั้งหมดเคลื่อนย้ายเสร็จสิ้นก่อนจะใช้คำสั่งปิดการทำงาน จากนั้นเขาก็หันไปเห็นเซร่าเดินเข้ามา

 

“ขอพระราชทานกราบทูลทราบฝ่าพระบาท ปวงข้าพระพุทธเจ้าได้จัดเตรียมพลับพลาเป็นที่เรียบร้อย ข้าพระพุทธเจ้ากราบบังคมทูลเชิญเสด็จประทับ ณ ทางทิศนี้ ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม”

#เซร่า ไอ เฮท ยูวววววว (╬ Ò﹏Ó)

 

 ดูเหมือนการเก็บกวาดเหล่าสัตว์อสูรจะดำเนินการไปอย่างราบรื่น และถ้ำก็ตกอยู่ในการควบคุมดูแลเป็นที่เรียบร้อย

 

 เซร่านำทางพวกเขาไปยังห้องขนาดเล็กที่จัดตกแต่งไว้ในลักษณะเช่นเดียวกับกระโจม

 #หรูหราเลิศเลอแบบกระโจมในค่ายของคริสต์&เคท

 

“ขอบใจมากเซร่า เธอออกไปก่อนเถอะ”

 

 เซร่าคุกเข่าคำนับก่อนจะออกไปข้างนอก อินกองมองส่งสัญาณลักษณะเดียวกันให้กับคารัค

 

 เมื่อเหลือเพียงทั้งสี่อยู่ในกระโจม คริสต์จึงเริ่มเอ่ยปากออกมา

 

“แวนเดลได้รับชัยชนะกลับมา เราคิดว่าเมื่อยาคุซันเห็นเปลวไฟลอยมาจากในฐานทัพ มันจึงตัดสินใจถอยไปตั้งหลัก ”

 

 ยาคุซันเป็นชื่อผู้นำของเผ่าสายฟ้าชาด

 

 อินกองถามคริสต์ต่อ

 

“ยาคุซันประกาศยอมแพ้ออกมาไหม?”

 

“เปล่า พวกมันแค่ล่าถอยไปตามทิศต่างๆ ถ้ามันเข้ารวบรวมเหล่าออร์คที่แตกกระจาย เราว่าการศึกยังดำเนินต่อไปแน่นอน”

 

 เลยไปทางอีกทิศหนึ่งของเทือกเขาจิชก้า ยังคงมีทัพของไครัมที่เป็นพี่ชายของไคชินอยู่ ถ้าเหล่าออร์คที่แตกทัพไปเข้าร่วม กำลังพลของมันก็จะเพิ่มขึ้นมากอยู่

 

 ในครั้งนี้ เป็นเคทลินที่เอ่ยปากถามต่อ

 

“อบป้า พลเอกกำลังแกะรอยยาคุซันอยู่ใช่ไหม?”

 

“คงใช่ เอาจริงๆที่ยาคุซันรอดจากเงื้อมมือแวนเดลไปได้ ต้องเรียกว่าโชคช่วยมากกว่า”

 

 คริสต์สู้รบอยู่กลางฐานทัพของพวกมันตลอด ถึงเขาไม่เห็นการต่อสู้ระหว่างแวนเดลกับยาคุซันก็จริง แต่เขาก็มั่นใจว่าทัพของยาคุซันถูกกดดันให้จนตรอกแน่นอน

 

“เอาเถอะ ยังไงซะปฏิบัติการในครั้งนี้ก็สร้างความเสียหายอย่างมากให้กับยาคุซัน เสบียงถูกเผา ฐานทัพถูกทำลาย ตัวประกันก็ถูกช่วยออกไปอีก ไม่ว่าใครจะว่ายังไง คนที่สร้างผลงานมากที่สุดก็คือเอ็งแน่นอน ฉัตร”

 

 คริสต์ตบไหล่อินกองอย่างกันเอง ดวงตาของเคทลินก็ส่องแสงระยิบระยับออกมา

 

 อินกองคิดไม่ตกว่าจะตอบออกไปอย่างไรดี ก่อนจะหัวเราะออกมา

 

“ขอบคุณครับ ทั้งหมดก็ต้องขอบคุณฮยองกับนูนะ”

 

 เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะทิศทางการสนทนาหรืออย่างไร แต่ในกระโจมมีบรรยากาศอบอุ่นอย่างเป็นกันเอง

 

 คริสต์หัวเราะพลางตบบ่าอินกองตามปกติ ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไป สายตาอันเย็นชาของเขาชำเลืองไปยังเฟลิซี

 

“เอาละ ที่นี้ก็ถึงตานูนิม”

 

 เฟลิซีถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ขณะที่เคทลินจ้องตาของนาง

 

 คริสต์ถามออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม

 

“นูนิมมาทำอะไรที่นี่?”

 

“เธอก็น่าจะรู้อยู่แล้ว?”

 

“เราอยากได้ยินกับหูตัวเอง”

 

 ใบหน้าของคริสต์ยังคงยิ้มแย้ม แต่แววตาของเขาไม่ใช่ อินกองได้แต่ยืนกลืนน้ำลาย

 

‘ใช่แล้ว นี่ละธาตุแท้ของคริสต์’

 

 สัตว์ร้าย ผู้ล่าที่ตามล่าเหยื่อของมัน

 

 เฟลิซีกัดริมฝีปากก่อนจะถอนหายใจออกมาพร้อมกับยักไหล่

 

“ฉันได้ยินข่าวการสู้รบระหว่างที่ตรวจสอบโบราณวัตถุอยู่ใกล้ๆ ฉันพยายามจะมาช่วยแต่พลาดท่าติดกับดักของพวกมัน เท่านี้คงพอใจแล้วสินะ?”

 

 คำพูดของนางเป็นไปตามคาด บางที่คริสต์อาจจะรู้แต่แรก ว่าเขาคงไม่ได้ข้อมูลอะไรมากกว่านี้

 

‘นี่มันแค่ทะเลาะกันธรรมดา? หรือว่าคริสต์มันอยากจะฆ่าเธอกันแน่?’

 

 แต่ไม่ว่าจะทางไหน มันก็บั่นทอนสุขภาพจิตของเขา ยิ่งไปกว่านั้น บุคคลตรงหน้านี้คือเฟลิซี ไม่ใช่แซเฟียร์

 

 เขาอยากได้นางมาเข้าพวก มากกว่าที่จะทำร้ายความรู้สึกนาง

 

“เอ่อ ผมว่าน่าจะได้เวลานอนแล้วนะครับ? วันนี้ทุกคนก็น่าจะเหนื่อยกันมามาก?”

 

 อินกองพูดแทรกขึ้นมาและแน่นอนว่าคริสต์ก็พยักหน้ารับ

 

“นั่นก็ใช่ นูนิมใช้ห้องนี้ได้ตามสะดวก สักพักน่าจะมีทหารนำสิ่งของมาให้ใช้ล้างตัว”

 

“หึ”

 

 เฟลิซีส่งเสียงออกมา นางไม่ได้ดูหงุดหงิดแต่อย่างใด มันเหมือนนางต้องการจะชำระล้างร่างกายให้เร็วที่สุดเสียมากกว่า

 

“งั้นพวกเราขอตัว ขอให้หลับสบายนะครับนูนะ”

 

 อินกองกล่าวลาเฟลิซีแล้วเดินตามคริสต์กับเคทลินออกจากห้อง แต่ในทันใดนั้น…

 

“ประทานโทษ”

 

“เอ๋?”

 

 เขามองกลับไปตามเสียงเรียก แล้วก็เห็นเฟลิซีที่หลบสายตาไปทิศทางอื่น นางก้มลงเล็กน้อยก็จะพูดออกมาเบาเบา

 

“ฉันอยากขอบคุณพวกเธอทั้งสามคน ฉันรอดตายมาได้ก็เพราะพวกเธอ”

 

“หา?”

 

 คริสต์หันกลับมา เคทลินกระพริบตาก่อนจะยิ้มออกมาอย่างสดใส ในขณะที่อินกองทำได้แค่หัวเราะ

 

 เฟลิซีหรี่ตาชำเลืองมองทั้งสาม ก่อนจะหันหน้าหนี

 

“ไม่มีอะไรแล้ว ฉันจะพักผ่อนละ พวกเธอออกไปได้!”

 

 เบื้องหลังของนางไม่ได้บ่งบอกอะไร แต่อินกองสามารถรู้ได้ถึงความเขินอายผ่านหูที่แดงก่ำของนาง

 

 อินกองพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ แล้วเดินตามคริสต์กับเคทลินออกไป  

 

“นางยังคงน่ารักเหมือนเดิม แม้กระทั่งตอนนางทำอะไรพลาดก็ตามที”

 

 คริสต์พูดออกมาพร้อมหัวเราะร่า เคทลินยิ้มอีกครั้งก่อนจะหันมามองอินกอง

 

“แบบนี้แหละดีแล้ว ทั้งหมดนี่เกิดขึ้นก็เพราะเธอ ขอบคุณนะฉัตร”

 

 การกระทำของทั้งคู่ที่มีต่อเฟลิซีบ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง

 

 ความสัมพันธ์ของทั้งสามเป็นอย่างไรกันนะ?

 

‘เท่าที่ดูจากเคทลินกับเฟลิซี มันไม่น่าจะมีอะไรเลวร้าย หรือว่าปัญหาจะอยู่ที่คริสต์?’

 

 เขายังคงไม่มีคำตอบในตอนนี้ แทนที่จะมามัวคิดมาก อินกองเกาที่แก้มของเขาก่อนจะตอบเคทลิน

 

“มันเป็นผลลัพท์จากการที่เราทั้งหมดช่วยกันต่างหากครับ ความดีความชอบทั้งหมดล้วนเป็นของพวกเรา”

 

 มันดูเหมือนคำเยินยอ แต่เคทลินก็รับมันไว้พร้อมหัวเราะออกมา

 

 คริสต์เดินมาโอบไหล่อินกอง

 

“มาเถอะ อาบน้ำเสร็จแล้วเรามีเรื่องต้องคุยกัน พรุ่งนี้น่าจะเป็นอีกวันที่เหนื่อยน่าดู”

 

 คริสต์จ้องมายังอินกอง มันเป็นสายตาที่เหมือนต้องการจะทดสอบอะไรบางอย่างในตัวเขา

 

‘คริสต์ไม่ได้หมายถึงยาคุซัน’

 

 พวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องใช้ประตูมิติเพื่อจัดการกับยาคุซัน

 

 เช่นนั้นก็เหลือเหตุผลอีกอย่างเดียว

 

“ฮยองหมายถึงไครัมหรือครับ?”

 

“ใช่แล้ว มีเหตุผลอะไรที่จะปล่อยให้มันเข้ากับทัพของยาคุซัน?”

 

 ทหารที่อยู่อีกฟากของภูเขาก็คือพลรบของไครัม ผู้เป็นพี่ชายของไคชิน และดูเหมือนพวกมันยังไม่รู้ข่าวเกี่ยวกับฐานทัพของเผ่าสายฟ้าชาด

 

 สาเหตุที่พวกเขาไม่บุกไปตอนนี้ ก็เพราะทหารทั้งหลายยังคงเหนื่อยล้าจากการศึก

 

“เราจะรอดูการแสดงของเอ็งในวันพรุ่งนี้นะฉัตร”

 

 คริสต์ตบบ่าอินกองอีกรอบก่อนจะแยกไปที่พักของเขา สักพักเคทลินก็แยกไปเช่นกัน

 

 เหลือเพียงอินกองเดินกับคารัค

 

“ห้องขององค์ชายอยู่ทางนี้ ข้าจะไปเตรียมอ่างน้ำให้”

 

 คารัคไม่มีทีท่าต่างไปจากเดิมสักนิด อินกองอดหัวเราะออกมาไม่ได้

 

“มีอะไรรึ?”

 

“เปล่า ผมแค่โล่งอก”

 

 อินกองตอบก่อนจะบิดเหยียดตัว

 

 เขาเพิ่มเลเวลขึ้นมา เรียนรู้เวทมนตร์ สะสมผลงาน

 

‘ได้ว่าที่พันธมิตรอีกคนด้วย’

 

 อินกองหันไปมองยังห้องที่เฟลิซีพัก ก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินตามคารัคไป

 

จบบทที่ 3 – ช่วยชีวิต เริ่มบทที่ 4 – ปลุกตื่น

#อาจจะช้าและนอกเรื่องไปบ้างแต่ สมน้ำหน้า xant ในที่สุด Liz ก็ลาออกจากการเป็น minion แล้วแยกไปแปลเอง วะ ฮะ ฮะ ฮ่า

#ไอเว็บที่ทำโดยคนนิสัยเสียดีแต่เหยียบหัวชาวบ้านอย่างนั้นไม่สมควรมีอยู่อีกต่อไป วะ ฮะ ฮะ ฮ่า

#กล่าวเมื่อวันที่ July 04, 2017

 

Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก

Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก

Status: Ongoing
จู-อินกอง เกมเมอร์หนุ่มผู้กำลังกระดี้กระด้าเนื่องจากเกมโปรดของเขาได้รับการนำกลับมาทำใหม่ให้ไฉไลยิ่งกว่าเดิมด้วยเทคโนโลยี VR  แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้เขาหลุดเข้ามาเผชิญกับเรื่องต่างๆ ราวกับเข้ามาอยู่ในเกมโปรดที่ว่า เคราะห์ซ้ำกรรมซัดบทบาทของเขาดันเป็นตัวประกอบกระจ้อยร่อยที่จะถูกฆ่าตายกลางเกม  จู-อินกองจึงต้องใช้ประสบการณ์เกมที่เขาสั่งสมเอาไว้หาหนทางเอาตัวรอดจากความตายที่กำลังมาเยือน โดยหารู้ไม่ว่าเขามิเพียงกำลังเปลื่ยนโชคชะตาตัวเอง แต่ยังรวมไปถึงชะตาตัวละครรอบข้างและโลกทั้งใบ  นี่คือเรื่องราวของจู-อินกอง ผู้เป็นพระเอกของโลกใบนี้(?)

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท