[มหาดเล็กราชวัลลภ ขั้น1]
[กำลังจัดตั้งหน่วยทหาร กรุณารอสักครู่]
มีเสียงดังขึ้นในหัวเมื่ออินกองใช้ทักษะ เขาสับสนในสิ่งที่ได้ยิน
‘กำลังจัดตั้งหน่วยทหาร? หรือนี่จะเป็นการสร้างสมาคมกรมหมู่คณะอะไรทำนองนั้น?’
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมาตรงหน้าแสดงหน้าต่างรายละเอียด
[มหาดเล็กราชวัลลภ ขั้น1]
[หัวหน้าองครักษ์: – ]
[ทหารองครักษ์: 0/2]
[ความสามารถองครักษ์ ขั้น1]
[ปกป้อง ขั้น1: เพิ่มพลังชีวิตให้เหล่าองครักษ์ร้อยละ 5]
[องครักษ์ที่ชุบเลี้ยง]
[ – ]
[ทักษะพิเศษ]
[รับสั่ง ขั้น1: เรียกอัญเชิญหัวหน้าองครักษ์ให้มาปรากฏตัวตรงหน้า (ในสามวันสามารถใช้ได้หนึ่งครั้ง)]
‘นี่มัน?’
ไม่ต่างไปจากการมีกองกำลังส่วนตัว ไม่สิ มันเหนือกว่านั้นมาก
‘ทักษะ ความสามารถองครักษ์ ก็ดูปกติทั่วไป’
องครักษ์ทั้งหมดของเขามีพลังชีวิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ถือว่าไม่เลวทีเดียวหากมองว่าเป็นขั้นแรก เมื่อทักษะนี้เพิ่มระดับขึ้น จะต้องมีความสามารถอื่นตามมาแน่นอน
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขา
องครักษ์ที่ชุบเลี้ยง
แม้ไม่มีคำอธิบาย แต่เขาก็สามารถเดาได้ไม่ยาก
เลือกชุบเลี้ยงองครักษ์ และแน่นอนว่าเป็นการเพิ่มศักยภาพให้ทหารนายนั้น!
‘รับสั่งก็ดูใช้ได้’
แม้จะใช้งานได้แค่ครั้งเดียวในเวลาสามวัน แต่เขาสามารถนำมาใช้พลิกแพลงได้หลากหลายวิธี
‘ถ้าระดับสูงแล้วเรียกได้ทั้งหน่วยนี่ เจ๋งโคตร’
จินตนาการของเขาโลดแล่นไปเรื่อย เจ้าออร์คที่ไม่รู้รายละเอียดอะไรได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจราวกับเจ้านายของมันเป็นบ้าไปเสียแล้ว
อินกองที่เหลือบไปเห็นสายตาหมดศรัทธาของคารัค กระแอมขึ้นก่อนจะหันไปหามัน
“คารัค ผมอยากถามอะไรบางอย่าง”
“อะไรรึ?”
คารัคตอบอย่างสงสัย อินกองถามมันอย่างติดขัด
“นาย นายสนใจจะร่วมทางไปกับผมไหม?”
“หืม… แกอยากได้ข้าเป็นผู้ติดตามว่างั้น? เหมือนเซร่าหรือเดเลียสินะ?”
“ใช่แล้ว ถ้านายไม่รังเกียจ ผมจะไปหารือกับคริสต์ฮยองขอนายมาเป็นทหารประจำตัว”
อันที่จริงอินกองสามารถขอจากคริสต์ได้ทันที ผลงานในปฏิบัติการรวมของเขามีมากเสียจนเรียกร้องได้แทบทุกอย่าง
แต่เขาต้องอยู่กับคารัคอีกนาน เขาอยากเคารพการตัดสินใจของมันให้มากที่สุด
‘แต่ถ้ามันปฏิเสธ เราจะทำไงละเนี่ย?’
อินกองมองไปที่เจ้าออร์คอย่างไม่มั่นใจ คารัคเกาคางอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะตอบกลับมา
“ไม่มีปัญหา ข้าก็ชอบพอองค์ชายอยู่เหมือนกัน”
อินกองหัวเราะออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะพูดต่อ
“ถ้าอย่างนั้น นายคุกเข่าลงก่อน ต้องมีพิธีการอะไรนิดหนอย”
เพื่อให้ทักษะมหาดเล็กราชวัลลภแสดงความสามารถได้เต็มประสิทธิภาพ เขาจำเป็นจะต้อง ‘แต่งตั้ง’ องครักษ์ของเขาอย่างเป็นทางการ ซึ่งขั้นตอนทั้งหลายก็ผุดขึ้นมาในหัวเหมือนตอนที่เขายึดครองทั่งวัชรกร
คารัคคุกเข่าคำนับโดยไม่ปริปาก อินกองที่เห็นดังนั้นนำดาบดวอฟออกมาจากช่องเก็บของ
“เอ่อ ข้าเปลี่ยนใจทันไหม?”
คารัคเอนตัวถอยออกทันทีที่มันเห็นดาบในมืออินกอง เขายิ้มออกมาแล้วเดินเข้าใกล้มัน
“ไม่มีอะไร ผมแค่จะแต่งตั้งให้นายเป็นองครักษ์ อยู่นิ่งๆไว้”
“เอ่อ ข้าจะเชื่อแกละกัน”
คารัคก้มหน้าลงมองพื้น ถึงมันจะคุกเข่าอยู่ก็ตาม ความสูงของมันก็ยังคงไล่เลี่ยกับเขา อินกองวางดาบเตะไหล่ทั้งสองข้างของเจ้าออร์ค ก่อนจะวางลงจรดศีรษะมัน
“นักรบออร์คคารัค บัดนี้ เราแต่งตั้งให้เจ้าเป็นองครักษ์ของเรา”
มันเป็นพิธีการที่เรียบง่ายแต่ชัดเจน สิ้นเสียงอินกอง ร่างกายของคารัคก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่างสีขาว
“โอ๋?”
เป็นแสงสว่างที่ต่างไปจากใต้ร่มเงากษัตริย์ รัศมีของมันกว้างกว่าและเจิดจ้ากว่า
[มหาดเล็กราชวัลลภ ขั้น1]
[หัวหน้าองครักษ์: คารัค]
[ทหารองครักษ์: 1/2]
[ข้อมูลทหารองครักษ์]
[คารัค เลเวล 24 (ยศ: พลทหาร)]
[องครักษ์ที่ชุบเลี้ยง]
[คารัค เลเวล 24 (ยศ: พลทหาร)]
เนื่องจากเขามีองครักษ์เพียงตนเดียว ทำให้มันถูกชุบเลี้ยงโดยอัตโนมัติ อินกองมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความพอใจ
‘ส่วนตัวเลขพวกนี้ ก็คือค่าผลงานต่างๆว่างั้น?’
เขาสามารถเพิ่มค่าสถานะ หรือมอบทักษะบางอย่างให้องครักษ์ได้ โดยขึ้นกับค่าผลงาน พูดอย่างง่ายก็คือพระราชาตบรางวัลให้แก่ทหารของพระองค์
อินกองกำมือของเขาแน่นเมื่อนึกถึงรางวัลจากความสำเร็จ เขาเข้าใจทันที่ว่าทำไมจึงมี ‘ยศ: พลทหาร’ ตามหลังชื่อของคารัค
เมื่อเลเวลและผลงานของมันเพิ่มขึ้นถึงระดับหนึ่ง มันจะเลื่อนยศ เหมือนกับหมากในเกมส์หมากรุกที่เพิ่มความสามารถเมื่อทำเงื่อนไขสำเร็จ
#รุกไทย: เบี้ย → เม็ด, รุกสากล/เชสท์: พอน → ไนท์ รูค บิชอป ควีน, รุกจีน/เซียงฉี: จุก → เดินซ้ายขวาได้, รุกญี่ปุ่น/โชกิ: ฟุ → โทกิน โชกิหมากเลื่อนยศได้หมดเว้น โกคุ กับ กิน แต่ยกตัวอย่างแค่เบี้ยจะได้ตรงกันหมด(ถ้าจำไม่ผิดนะ ไม่ได้เล่นนานแล้ว), มีรุกอะไรอีกไหมหนอเคยเล่นแค่นี้ นึกไม่ออก
‘ยอด ยอดมาก’
ยศออร์คที่ทรงพลังที่สุดในบทกวีแห่งผู้กล้าคือ ออร์คเอ็มเพอเรอร์ จุดสูงสุดที่เหล่าออร์คสามารถเลื่อนระดับขึ้นไปได้ อินกองนึกภาพคารัคที่ขึ้นไปสู่จุดนั้นกำลังรับคำบัญชาจากเขา
“ขอโทษนะองค์ชาย แต่ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม?”
คารัคดึงอินกองกลับสู่ความเป็นจริงราวกับเป็นกิจวัตร เขารีบปิดหน้าต่างแสดงทั้งหมดก่อนจะหันไปมองมัน
“แค่ในตอนนี้นะ”
“อืม มันเป็นความรู้สึกที่พูดยาก แต่ตอนที่แสงพวกนั้นสว่างขึ้น ในหัวข้ามีแค่ความภักดีต่อองค์ชาย”
‘ทำดีมากอาณัติ’
คำพูดของคารัคฟังดูดีสำหรับเขามาก
‘เราต้องรีบเพิ่มจำนวนองครักษ์ให้ไว ยิ่งเก่งยิ่งดี’
ภาพของเคทลินลอยขึ้นมาชั่วครู่ก่อนเขาจะรีบสลัดมันทิ้ง นั่นเพราะตำแหน่งองครักษ์เป็นในลักษณะของเซร่ากับเดเลีย
‘ที่เล็งไว้ตอนนี้ก็แวนเดลละนะ’
เขาชักชวนแวนเดลมาได้ในตอนที่เล่นแซเฟียร์
นั่นทำให้เขาอยากได้แวนเดลมาครอบครองอีกครั้ง
‘ซักวันนึง แน่นอน’
การที่เขาเกณฑ์คารัคมาได้ทำให้เขามุ่งมั่นมากขึ้น เนื่องจากเขาหาคลังแสงเจออย่างรวดเร็ว ทำให้พอมีเวลาสำรวจเพิ่มก่อนที่เคทลินและเฟลิซีจะตื่น
“เราไปปล้นห้องต่อไปกัน”
อินกองยิ้มร่าเดินผ่านประตูโดยมีคารัคเดินตาม
&
โชคไม่ดีที่เขาไม่พบของล้ำค่ามากมาย เนื่องจากเขาต้องเหลือส่วนแบ่งให้พี่สาวทั้งสองด้วย สิ่งที่เขาได้มาจึงมีพสุธากัมปนาทกับอาวุธและชุดเกราะดวอฟนิดหน่อย
‘ถ้าเก่ากว่านี้ซักพันปี ราคาจะเพิ่มป่าวนะ?’
แต่นั่นก็ในกรณีที่อุปกรณ์เหล่านี้ยังไม่พังทลายไปตามกาลเวลา
เมื่ออินกองและคารัคกลับมา ก็พบกับเซร่าที่มีท่าทางร้อนรน
“ใต้ฝ่าพระบาทเสด็จกลับมาแล้วหรือเพคะ? ข้าพระพุทธเจ้าเป็นกังวลอย่างมากเพคะ”
“อ่า ขอบคุณ แต่ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง”
อาการของเซร่าแปลกไปจากทุกที แต่เขาก็รู้สึกดีที่มีสาวงามเป็นห่วง
‘เดี๋ยวนะ นางกังวลเรื่องอะไรกันแน่?’
แววตาของนางจดจ้องไปยังเกราะที่คารัคสวมอยู่ นั่นทำให้เขาถึงบางอ้อ
‘เรื่องนี้นี่เอง’
เคทลินเป็นส่วนหนึ่งในคณะที่ค้นพบวิหารแห่งนี้ นางจึงมีสิทธิในทรัพย์สินส่วนหนึ่ง
‘ถ้าเราโกยมาเยอะไป ก็จะไม่มีอะไรเหลือให้เคทลิน’
เขาเสียใจเล็กน้อยที่นางกังวลเรื่องสมบัติ แต่ก็ดีใจที่เคทลินมีองครักษ์ที่จงรักภักดี
‘ถ้าคารัคมันเป็นแบบนี้ด้วย จะดีมาก’
#โนว คารัคเป็นแบบนี้ดีแล้ว เคร่งจัดแบบเซร่านี่ภาระคนแปลมาก 。・゚゚*(>д<)*゚゚・。
อินกองมองไปยังกระเป๋าอันเกือบว่างเปล่าที่คารัคแบกอยู่
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ข้างในยังมีสมบัติอีกมาก ผมเลือกแค่บางอย่างมาจากคลังแสงเท่านั้น”
“ใต้ฝ่าพระบาททรงพบคลังแสงหรือเพคะ?”
สีหน้าของเซร่าเปลี่ยนไปในทันที อินกองยิ้มพลางพยักหน้า
“ใช่แล้ว มีอาวุธอยู่มากโขเลย”
อาจจะด้วยสามัญสำนึก แต่อินกองยังเหลือสิ่งของไว้ในคลังแสงราวร้อยละ 30 จากเดิมได้
‘เรื่องนี้พูดยากแฮะ’
นี่ไม่ใช่เวลาให้มัวอ้ำอึ้ง อินกองเคาะเกราะที่คารัคสวมอยู่พร้อมเอ่ยออกมา
“ผมจะขอเกราะตัวนี้เป็นส่วนแบ่ง ผมจะเอาให้คารัคใช้”
“ใต้ฝ่าพระบาทจะพระราชทานแก่คารัคหรือเพคะ?”
“ถูกต้อง เพราะมันเป็นขุนพลประจำตัวของผม”
เซร่าชำเลืองไปทางคารัคอย่างอิจฉา เจ้าออร์คตอบนางกลับมาด้วยรอยยิ้มที่เรียบง่าย
“แล้ว… อาการพี่สาวผมเป็นยังไงบ้าง?”
“พระองค์ท่านทั้งสองยังทรงเหนื่อยล้าเพคะ ข้าพระพุทธเจ้าเกรงว่าพระองค์ท่านทั้งสองจำต้องพำนักที่นี่ชั่วคราวในคืนนี้ ก่อนจะเสด็จกลับค่ายในยามฟ้าสางวันรุ่งขึ้นเพคะ”
พวกเผ่าสายฟ้าชาดที่แตกพ่ายต่างยอมจำนนเสียส่วนใหญ่ บ้างที่หลบหนีก็ไม่มีเหตุจำเป็นให้มายังบริเวณนี้ จึงถือว่าที่นี่ปลอดภัย
“เอาแบบนั้นละกัน ยังไงภารกิจก็เสร็จแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบร้อนนัก”
คริสต์อาจจะเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่มันก็ช่วยไม่ได้
‘ยังไงคริสต์ก็รู้แล้วว่าเราทำสำเร็จ’
หนึ่งหรือสองวันนั้นไม่ต่างกันมาก คริสต์ควรจะรอได้อยู่แล้ว
“องค์ชาย งั้นข้าจะไปเตรียมที่พักให้”
คารัคถอดเกราะเพื่อให้เคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้นก่อนจะไปเตรียมที่พัก
&
เมื่อเฟลิซีและเคทลินได้สติในวันรุ่งขึ้น ทั้งคู่ต่างมองข้ามไม่ใส่ใจเกราะที่คารัคสวมอยู่ตามที่อินกองคาดคิดไว้
อันที่จริง ทั้งคู่ไม่สนใจกระทั่งของล้ำค่าในวิหารเสียด้วยซ้ำ
เช่นเดียวกับตอนที่ค้นพบถ้ำดวอฟ เคทลินไม่ได้สนใจเรื่องความดีความชอบแม้แต่น้อย เรื่องที่นางไม่สามารถพังผนังหินด้วยมือเปล่ากลับกวนใจนางเสียมากกว่า ส่วนเฟลิซีก็พุ่งเป้าไปที่ความเร้นลับของทั่งวัชรกร
“น่าเสียดายที่มีของวิเศษหลงเหลือในวิหารน้อยไปหน่อย แต่พวกเราก็ถือว่าได้กำไรเยอะอยู่ ยิ่งถ้านับเรื่องทั่งวัชรกรหรืออาร์คโกเล็มด้วยแล้ว การสำรวจครั้งนี้ถือว่าสำเร็จอย่างงดงาม!”
ตาของเฟลิซีลุกโชนขึ้นมา
‘เราไม่น่าเสียเวลาคิดมากเลย’
อินกองมองดูเฟลิซีที่กระปรี้กระเปร่า ก่อนจะหันไปดูทางเคทลิน
“ร่างกายนูนะเป็นอย่างไรบ้างครับ?”
“หืม ฉันรู้สึกดีขึ้นมาก แล้วเธอละฉัตร?”
“เช่นกันครับ”
ทั้งคู่มองดูกันอย่างอ่อนโยนก่อนจะถูกเฟลิซีที่กระตือรือร้นลากตัวไปสำรวจโบราณสถานต่อ แต่ถึงนางจะอยากสำรวจให้ทั่วทุกซอกทุกมุมสักเพียงไร นางก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ หลังจากสำรวจได้สักพัก เฟลิซีก็อัญเชิญอัศวไร้เงาออกมาแล้วพวกเขาจึงเดินทางกลับค่าย
เนื่องจากที่ทั้งหมดพลิกกลับมาชนะในสถานการณ์อันไม่คาดฝัน ทั่วทั้งค่ายจึงเต็มไปด้วยการเฉลิมฉลอง
ทันทีที่มีผู้รายงานว่าคณะของอินกองกลับมาถึง คริสต์ก็รีบออกจากกระโจมมาต้อนรับ
“โอ้! ยินดีต้อนรับเหล่ายอดมหาเฮง!”
คริสต์เริ่มด้วยการพุ่งมากอดเคทลิน ก่อนจะเปลี่ยนเป้ามาที่อินกอง
‘เคือก!’
ด้วยร่างกายอันใหญ่โตและกำลังอันมหาศาล ทำให้บอกได้ยากว่าเป็นการกอดอย่างยินดี หรือการทรมานเค้นความลับกันแน่ คริสต์คลายมือของเขาออกก่อนจะมุ่งไปทางเฟลิซี เขามีอาการชะงักเล็กน้อยก่อนจะกล่าวออกมา
“นูนิมทำได้ดีมากครับ”
คริสต์ทักทายนางด้วยท่าทางที่เหมือนจะเข้าโผกอด แต่ก็หยุดยั้งตัวเองเอาไว้อย่างเกร็งเกร็ง เฟลิซียักไหล่อย่างไม่แยแสว่าเขาจะกอดนางหรือไม่ นางยิ้มออกมาตามแบบฉบับของนาง
“มีนูนิมผู้นี้อยู่ด้วยซะอย่าง แน่นอนว่าทุกอย่างต้องเรียบร้อย”
เฟลิซีเชิดคางขึ้นด้วยท่าทางองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ ทว่านางยังพูดไม่จบ
“แต่ฉัตรกับเคทลินก็ช่วยได้มากทีเดียว”
ถึงเสียงของนางจะเบาลงจนฟังลำบาก แต่ก็เป็นที่แน่ชัดว่านางกล่าวถึงทั้งคู่ออกมา
‘หูนางแดงแป๊ดเลย’
อินกองยิ้มด้วยอารมณ์ขัน ส่วนเคทลินก็มองสลับไปยังพี่ทั้งสองของนาง
“ยินดีที่ได้พบองค์หญิงและองค์ชายอีกครั้ง”
แวนเดลกล่าวทักทายออกมาอย่างรวบรัด ทั้งหมดผงกหัวให้กับมัน ก่อนคริสต์จะหัวเราะแล้วพูดขึ้น
“ไปพักกันก่อนเถอะ ที่เหลือเดี๋ยวเราจัดการเอง”
“ที่เหลือ? ไม่ใช่ว่าปฏิบัติการจบสิ้นแล้วหรอกหรือ?”
ถ้าเป็นในเกม เมื่อจัดการกับศัตรูก็จะถือว่าภารกิจเสร็จสิ้น แต่ในความเป็นจริงมันต่างออกไป ยิ่งไปกว่านั้นเผ่าสายฟ้าชาดยังเหลือแกนนำตนอื่นอย่างไครัมอยู่
คริสต์ชี้แจงข้อสงสัยให้อินกอง
“ก็ยังพอเหลือเรื่องของสว็อมพ์แมมม็อธ กับการเจรจาของพวกลิซาร์ดแมนอยู่”
พวกลิซาร์ดแมนบุกเข้าเป็นกำลังเสริมให้เผ่าสายฟ้าชาด เรื่องแบบนี้จะปล่อยไว้นานไม่ได้
“มันต้องใช้เวลาสักพัก พวกเราต้องส่งทหารมาคอยควบคุมดูแลเปลี่ยนเวรเป็นรายปักษ์ด้วย”
คริสต์มองไปยังกองทหารของแวนเดลที่จะอยู่ควบคุมสถานการณ์ที่เหลือบริเวณนี้ ก่อนจะหันมาถามเฟลิซี
“แล้วนูนิมจะเอาอย่างไรต่อ?”
อินกองยังไม่เข้าใจในคำถาม แต่เฟลิซีตอบกลับอย่างไม่ลังเล
“กลับพร้อมเธอก็ดูไม่เลว? ยังไงฉันก็ต้องรายงานเรื่องทั่งวัชรกร”
“งั้นเราจะกลับวังพร้อมเคทลิน”
อินกองตามการสนธนาของทั้งคู่ทันในที่สุด
ปฏิบัติการปราบกบฏเผ่าสายฟ้าชาดสำเร็จลุล่วงด้วยดี สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็เหลือเพียงอย่างเดียว
เดินทางกลับไปรายงานวังจอมมารและรับรางวัลความสำเร็จต่างต่าง
และแล้วการกลับบ้านที่อินกองรอคอยก็มาถึง