อินกองเบิกตารับวันใหม่อย่างเชื่องช้า เขายังคงงัวเงียจากห้วงนิทรา
“องค์ชาย แกตื่นหรือยัง?”
บางสิ่งสีเขียวเข้าสู่สายตาของเขา แต่นั่นไม่ใช่เส้นผมของกรีนวินด์ ยิ่งไปกว่านั้นเสียงที่ดังขึ้นก็หยาบกระด้างเกินกว่าจะเป็นเสียงของนาง
“เอ่อ… คารัค?”
สิ่งแรกที่ปรากฏต่อหน้าอินกองหลังจากตื่นนอนก็คือร่างกายอันกำยำของเจ้าออร์ค มันยื่นมือส่งกระป๋องน้ำมาให้เขา
“นี่ เอาไปล้างหน้าล้างตาซะ”
เป็นปกติไม่ต่างจากทุกวัน น้ำอันเย็นเฉียบชะล้างอาการสลึมสลือของอินกองในทันที
“เกือบเที่ยงเลยหรอเนี่ย”
นาฬิกาบริเวณแผนที่ย่อบ่งบอกเวลา 11:20 a.m. ถือว่าแปลกเนืองจากปกติอินกองไม่เคยตื่นสายขนาดนี้
แม้แต่แววตาของคารัคที่จ้องมายังเขาก็ผิดแปลกจากทุกที
“อะไร? หรือว่ามีอะไรติดที่หน้าผม?”
คารัคเกาคางเบาเบาพลางพึมพัมออกมา
“แปลกสุดๆ ปกติคนเราตื่นมามันรู้เวลาทันทีเลยได้ไง?”
“เอาเป็นว่าผมรู้แล้วกัน”
อินกองไม่จำเป็นจะต้องอธิบายทุกสิ่งที่เจ้าออร์คสงสัย และคารัคก็ทำตัวเป็นลูกน้องที่ดี มันเก็บกระป๋องน้ำกลับไปโดยไม่ถามอะไรเพิ่มเติม
“แล้วคนอื่นๆละ?”
อินกองถามเพิ่มระหว่างเอาผ้ามาเช็ดใบหน้าที่เปียกน้ำ
“ทั้งหมดทำงานกันอยู่ด้านนอก นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว องค์ชายก็น่าจะออกไปได้แล้วนะ?”
“เอาอย่างนั้นละกัน เดี๋ยวผมออกไปเดินเตร็ดเตร่เล่น”
อินกองหวีผมแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจะออกไปหน้าวัด
“ใต้ฝ่าพระบาทเพคะ”
“อืม สวัสดีตอนเที่ยง กัมมะ”
กัมมะขบริมฝีปากตัวเองเพื่อพยายามระงับความขบขันหลังจากได้ยิน ‘สวัสดีตอนเที่ยง’ แทนที่จะเป็น ‘อรุณสวัสดิ์’ นางพยายามแสดงความเคารพอินกองในแบบฉบับของนางเอง
อินกองเดินดูรอบบริเวณพร้อมคารัคและกัมมะ เหล่าเซนทอร์และเซเทอร์ต่างยุ่งวุ่นวายทำงานของตน
ซึ่งงานส่วนใหญ่ก็คงไม่พ้นการชำแหละซากศพสัตว์อสูร
สถานที่แห่งนี้เพิ่งจะผ่านการเป็นสมรภูมิมาในวันวาน แม้จะมีการจัดพิธีศพให้เหล่าพวกพ้องที่ล้มตายไปแล้ว แต่ซากศพเหล่าคาเซียและเดรคโอเกอร์ยังคงกองอยู่มากมาย
โดยปกติแล้ว ซากเหล่านี้จะถูกทิ้งไว้ให้ย่อยสลายเป็นอาหารของสัตว์อื่นตามธรรมชาติ แต่เพราะบริเวณนี้คือวัดอันเป็นที่สิงสถิตของกรีนวินด์ ทำให้ซากเหล่านี้ต้องถูกกำจัดออกไปอย่างรวดเร็ว
คาเซียถูกแปรสถาพเป็น หนัง เนื้อ กระดูก เขี้ยวเล็บ ส่วนเดรคโอเกอร์ถูกเผาและฝังดินเนื่่องจากพวกเซนทอร์ไม่รู้วิธีในการชำแหละพวกมัน
อินกองมองไปยังอีกฟากหนึ่งของวัด กลุ่มก้อนสีเขียวตั้งตระหง่านขัดกับที่ราบสุดลูกหูลูกตา
พวกทรีเอนท์ฝังรากยืนต้นอาบแดด ไม่ต่างจากต้นไม่ทั่วไป ราวกับการเคลื่อนไหวต่อสู้เมื่อวานเป็นเรื่องโกหก
‘แต่ก็เห็นชัดเจน’
มีป่าขนาดย่อมปรากฎอย่างกระทันหันท่ามกลางทุ่งหญ้า
หลังจากเดินดูสักพัก อินกองก็ตัดสินใจไปพบเฟโรเชียสอายเพื่อหารือกำหนดการเพิ่มเติม
ทว่าอินกองไม่ใช่ผู้เดียวที่คิดเช่นนั้น มีเสียงดังแทรกขึ้นมาในหัวของเขา
‘นายท่าน’
“กรีนวินด์! ร่างกายไม่มีปัญหาอะไรนะ?”
อินกองเงยหน้าขึ้นมองถาม แม้จะไม่มีร่างกายของกรีนวินด์ปรากฎขึ้นอย่างทุกที แต่เสียงของนางก็ดูสดใสไม่มีอาการเหนื่อยล้าแต่อย่างใด
“ไม่มีปัญหา ข้าขออภัยที่การสนทนาเมื่อวานจบลงอย่างกระทันหัน”
กรีนวินด์หมดสติ และร่างกายของนางคืนสภาพกลับเป็นสายลม นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
แม้อินกองจะยังสัมผัสถึงกรีนวินด์ได้ผ่านพลังแห่งอาณัติ แต่การได้ยินเสียงของนางอีกครั้งก็ทำให้เขามั่นใจได้มากขึ้น
“ไม่เป็นปัญหา ว่าแต่กรีนวินด์จำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้ใช่ไหม?”
“ข้าจำได้ว่ากำลังพูดถึงพลังแห่งอาณัติของนายท่าน แล้วก็ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร… เศษเสี้ยวแห่งอันเคลที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวข้า ตื่นขึ้นมายึดครองสติไป’
“แล้วในตอนนี้ละ?”
“ข้ารู้สึกว่าเศษเสี้ยวนั้นได้กลับหลับไหลไปแล้ว”
ถ้อยคำของกรีนวินด์แฝงด้วยความโหยหา เหมือนนางจะคิดถึงอันเคลอยู่มากทีเดียว
อินกองผงกหัวก่อนใช้ความคิด
‘ดูเหมือนถามเรื่องเกี่ยวกับอาณัติตอนนี้จะไม่มีประโยชน์’
แน่นอนว่าหัวข้อเกี่ยวกับพลังแห่งอาณัติคือสิ่งที่กระตุ้นให้อันเคลในตัวกรีนวินด์ตื่นขึ้นมาเมื่อคืนวาน แต่มีความเป็นไปได้น้อยที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
‘ดวงชะตาราชันย์… แล้วก็อาชาแห่งอาณัติ’
ถึงจะเพียงน้อยนิดแต่ก็ถือว่าไม่เสียเปล่า ดูเหมือนจะมีความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างอาณัติกับมังกรบรรพกาล และนั่นทำให้อันเคลตื่นขึ้นมา
‘สงสัยต้องไปค้นหอสมุดที่วังจอมมารอย่างจริงจังซะแล้ว’
น่าเสียดายที่ระดับเกียรติยศของฉัตรยังไม่สูงพอเข้าใช้หอสมุด
‘แต่รีบมากไปเดี๋ยวงานใหญ่ก็จะเสีย’
สิ่งสำคัญอันดับแรกของเขาในตอนนี้ ก็คือยับยั้งเหตุการณ์วันล้างบางที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
สิ่งนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
อินกองจัดระเบียบความคิดแล้วมองท้องฟ้า ก่อนกรีนวินด์จะทักขึ้นมาอีกครั้ง
‘ข้ามีเรื่องเล่าต้องการจะบอกนายท่าน ขอท่านมาพบข้าที่วัดได้หรอไม่?’
“เข้าใจละ งั้นเดี๋ยวผมไปหา”
‘แล้วข้าจะรอคอย’
เสียงของกรีนวินด์เงียบหายไป แม้แต่สายลมรอบตัวเขาก็สงบนิ่งลง อินกองรู้สึกแปลกก่อนจะหันหลังไปพบดวงตาอันเปล่งประกายของกัมมะ
“ใต้ฝ่าพระบาทเพคะ หรือว่าเมื่อสักครู่ใต้ฝ่าพระบาทจะทรงสนทนากับองค์กรีนวินด์?”
กัมมะเอ่ยถามออกมาพร้อมขยับเข้าใกล้อินกองด้วยความตื่นเต้น อินกองรีบยกมือแตะบ่าของกัมมะไว้ เพื่อให้นางระงับสติลง
“อ่า ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก”
“สุดยอดดดด… ยังเด็กอยู่แท้ๆ แต่ก็พูดคุยกับองค์กรีนวินด์ได้อย่างง่ายดาย… พระอาญามิพ้นเกล้า ข้าพระพุทธเจ้ามั่นใจว่าหากใต้ฝ่าพระบาททรงศึกษาวิชาดรูอิด ใต้ฝ่าพระบาทจะทรงมีชื่อเสียงเกรียงไกรแน่นอนเพคะ”
กัมมะคุกเข่าลงอย่างเคารพด้วยแววตาอันเจิดจรัส สร้างความกดดันให้กับอินกองไม่น้อย อินกองทนรับสายตาชื่นชมไม่ไหวก่อนจะเบือนหน้าหันไปทางคารัค
“ค่อยยังชั่ว ข้าคิดว่าการรบเมื่อวานทำให้องค์ชายเป็นบ้าไปแล้วซะอีก”
“ผมเป็น”
อินกองยักไหล่ก่อนเจ้าออร์คจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา กัมมะชำเลืองตามองไปมาระหว่างทั้งคู่
“เอาเป็นว่า ผมมีธุระต้องกลับไปทำในวัด”
กัมมะรีบยกมือขึ้นถาม
“ข้าพระพุทธเจ้าสามารถติดตามใต้ฝ่าพระบาทไปด้วยได้หรือไม่เพคะ?”
นางตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นที่จะได้พบกับกรีนวินด์ อินกองสายหน้าบอกปัดนางอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ขอโทษด้วย แต่เหมือนกรีนวินด์ต้องการจะหารืออะไรบางอย่างกับผม”
“รับทราบเพคะ เช่นนั้นข้าพระพุทธเจ้าจะคอยเฝ้าคุ้มกันอยู่ที่ด้านหน้าวัดเพคะ”
แม้กัมมะจะตอบรับอย่างแข็งขัน แต่ความผิดหวังของนางก็สามารถรับรู้ผ่านถ้อยคำได้อย่างชัดเจน คารัคที่มองอยู่ด้านข้างพูดตัดบทขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไปหารือกับเฟโรเชียสอายให้แทนองค์ชายแล้วกัน มีหลายเรื่องที่ต้องรายงานต่อทางวังหลวง”
ไม่ว่าจะในปฏิบัติการปราบกบฏหรือตอนนี้ คารัคคอยจัดการเรื่องยิบย่อยให้กับอินกองโดยตลอด อินกอชูนิ้วโป้งขึ้นให้กับองครักษ์สารพัดประโยชน์ของเขา
“นายมันสุดยอดที่สุด กลับวังแล้วรอรับรางวัลได้เลย”
“โฮ่ แล้วข้าจะเฝ้ารอ”
คารัคหัวเราะออกมาก่อนจะแยกตัวไปทางกระโจมของเฟโรเชียสอาย กัมมะมองตามแผ่นหลังของมันอย่างอิจฉา
‘นางอิจฉาเรื่องรางวัล หรือว่าเรื่องกลับวังกันแน่นี่?’
อินกองอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสภาพตอนเมาของนางเมื่อเฉลิมฉลอง
‘เอาเถอะ ยังไงถ้าเลือกได้เราก็เลือกนางเป็นผู้ติดตามแน่นอน’
ถึงจะน่าเสียดาย แต่การสัมภาษณ์กัมมะต้องถูกเลื่อนออกไปทีหลัง เรื่องกรีนวินด์ต้องมาก่อน
“นายท่าน”
อินกองเข้ามาด้านในของวัดเพียงผู้เดียวโดยมีกัมมะเฝ้ายามให้ที่หน้าประตูวัด ภาพตรงหน้าที่เขาเห็น คือร่างของกรีนวินด์นั่งอยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ด้วยเรือนร่างที่โปร่งใส ให้ความรู้สึกสมกับเป็นเทพารักษ์ที่เหล่าลูกหลานแห่งที่ราบเคารพบูชา
“เอ่อ ถ้าลำบากไว้ทีหลังก็ได้นะ?”
อินกองเอ่ยขึ้นพลางเคลื่อนที่เข้าใกล้ต้นไม้ใหญ่ กรีนวินด์ส่ายหน้าของนางเบาเบา
“มันมิใช่เช่นนั้น ที่ข้าดูเปราะบางเป็นเพราะข้าต้องการเก็บพลังเอาไว้ ข้าจะเริ่มสร้างตัวแทนหลังการสนทนากับนายท่านเสร็จสิ้น”
“ถ้าอย่างนั้นผมก็โล่งอก”
อินกองถอนหายใจออกมาพร้อมกับนั่งลงที่เตียงของเขา
กรีนวินด์ย้ายที่เพื่อให้สะดวกแก่การพูดคุยก่อนจะเริ่มอธิบาย
“แต่เดิมทีนี่ควรจะเป็นเพียงชั่วคราว แต่ในเมื่อพันธะวิญญาณนี้กลายเป็นพันธะถาวร ข้าก็มีเรื่องจะบอกนายท่านเพิ่มเติมจากเรื่องที่ท่านถามเมื่อวาน”
“เอ่อ… เรื่องที่รวบรวมพลังของมังกรบรรพกาลทั้งหกหรือเปล่า?”
“ถูกต้องแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ข้าไม่มีโอกาสได้บอกท่านเมื่อวาน”
กรีนวินด์เหาะลอยตัวขึ้นกลางอากาศ ก่อนแผนที่ที่ราบอินคาขนาดยักษ์จะถูกสร้างขึ้นตรงหน้านาง
“สุดขอบทิศเหนือของที่ราบอินคา นั่นคือที่หลับไหลของสิ่งวิเศษแห่งพยานอันเคล”
แสงรวมตัวกันเป็นรูปร่างส่องประกายขึ้น ด้วยรูปร่างที่ชัดเจนทำให้อินกองมองออกในทันที
“โล่?”
“ถูกต้องแล้ว สิ่งนี้คือโล่ชีวาตม์ของพยานอันเคล เช่นเดียวกับพสุธากัมปนาท โล่ชีวาตม์นี้ถูกปลุกเสกด้วยพลังเวทของพญามังกร”
มันเป็นโล่ทรงสีเหลี่ยมขนมเปียกปูน มีอัญมณีสีเขียวอยู่ตรงกลางแผ่นโลหะสีเทาวาว มุมขอบทั้งสี่เคลือบไว้ด้วยโลหะขาวที่มีขอบคม
กรีนวินด์ปัดแผนที่และโล่ออกไปก่อนจะเริ่มเล่านิทาน
“นี่เป็นเรื่องราวที่เก่ากว่าพันปีมาแล้ว พยานอันเคลได้มอบโล่ชีวาตม์ให้กับนักรบผู้ทรงคุณธรรมที่สุดของเผ่าเซนทอร์ ผู้กล้าตนนี้นำทัพพวกพ้องเซนทอร์เอาชัยต่อศัตรูนับไม่ถ้วน แม้เขาจะไม่เจนศึกมากที่สุด แต่โล่ชีวาตม์ทำให้เขารอดจากทุกการต่อสู้มาอย่างไร้บาดแผล ทว่าเขาไม่ได้สวมโล่ของเขายามนอน เขาถูกสังหารระหว่างหลับโดยสตรีนางหนึ่งที่ต้องการโล่”
อินกองคิดว่านี่จะเป็นเรื่องเล่ามหากาพย์วีรชน เขาไม่คิดว่ามันจะมีจุดจบที่หักมุมเช่นนี้ กรีนวินด์ไม่สนใจอินกองและยังคงเล่าเรื่องของนางต่อ
“แต่โล่ชีวาตม์เป็นสิ่งวิเศษที่มิใช่ใครจะสามารถใช้ได้ นอกจากผู้กล้าที่อันเคลมอนโล่ให้แล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถดึงพลังของมันออกมา หรือเคลื่อนย้ายมันได้”
อินกองพยักหน้า เหมือนกับที่พสุธากัมปนาทถูกเหล่าดวอฟทิ้งเอาไว้ในวิหาร เนื่องจากไม่ได้รับการยินยอมให้เคลื่อนย้าย
พวกเซนทอร์ในนิทานนี้ก็ไม่ได้ต่างออกไป
“เหล่าทหารที่จงรักภักดีจึงตัดสินใจฝั่งโล่ชีวาตม์ไปพร้อมกับผู้กล้าที่หลุมศพทางทิศเหนือ และเมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยมานับพันปี เรื่องนี้ก็กลายเป็นตำนานเล่าขานในหมู่เซนทอร์ เหล่าเซนทอร์เรียกโล่วิเศษชิ้นนี้ด้วยชื่อผู้กล้าของพวกเขา ซึ่งก็กลายเป็นชื่อใหม่ของสิ่งวิเศษชิ้นนี้ ไวท์อีเกิ้ล”
หลังจากเล่านิทานจบ กรีนวินด์ก็หันมามองอินกอง
“นิทานของข้าเป็นประโยชน์มากใช่ไหมนายท่าน? ชื่นชมข้าเถิด ข้าพร้อมรับคำชมแล้ว”
กรีนวินด์เท้าเอวแอ่นอกยิ้มร่า
ทว่าไม่มีเสียงตอบรับจากอินกองแต่อย่างใด เขาอ้าปากค้างก่อนจะกระโดดลุกขึ้นพร้อมตะโกนออกมา
“ไวท์อีเกิ้ล!”
เป็นชื่อที่อินกองคุ้มเคยอยู่ในหัวเป็นอย่างดี
ปริศนาฐานข้อมูลเกมบทกวีแห่งผู้กล้าที่ยังค้างคา อาวุธระดับสูงที่อินกองไม่เคยหาพบไม่ว่าจะเล่นใหม่สักกี่รอบ
‘ก็นะ ถ้ามันอยู่ทางทิศเหนือจริง ก็ไม่แปลกที่เราจะไม่เคยหาเจอ’
นอกอาณาเขตการปกครองของจอมมารไปทางทิศเหนือ เป็นดินแดนแห่งความหนาวเหน็บและแห้งแล้ง นั่นคือสาเหตุที่เหล่าคาเซียอพยพลงใต้ เพียงบางส่วนของดินแดนนี้เท่านั้น ที่ผู้เล่นสามารถเข้าถึงได้ในเกม
ที่ราบอินคาเป็นหนึ่งในสถานที่ไม่กี่แห่งที่เชื่อมติดกับดินแดนแห่งความตายนี้ ซึ่งบริเวณที่ว่ามิใช่ส่วนหนึ่งของโลกมาร นั่นทำให้เขาไม่สามารถเข้าถึงได้ในเกม
‘ไวท์อีเกิ้ล อุปกรณ์สิ่งวิเศษของมังกรบรรพกาล’
ขอเพียงอินกองรู้ถึงตำแหน่งที่ตั้ง เขาผู้ซึ่งครอบครองพลังเวทของอันเคล ย่อมสามารถใช้งานโล่วิเศษชิ้นนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ขณะที่อินกองกำลังตื้นตันใจจนลืมกรีนวินด์
“ข้าอารมณ์ไม่ดีแล้ว ข้าหงุดหงิดมากด้วย”
กรีนวินด์ร่อนลงเตะฝุ่นบนพื้นอย่างไม่พอใจ ก่อนอินกองจะกลับไปสนใจนางอีกครั้ง
“แล้วกรีนวินด์รู้ตำแหน่งของหลุมศพด้วยหรือเปล่า?”
“ข้ารู้ตำแหน่งโดยคร่าวๆ หากข้าเข้าใกล้ ข้าก็จะรู้ตำแหน่งที่แน่นอนเอง”
อินกองพยักหน้าใช้ความคิด
“กรีนวินด์บอกต้องใช้เวลาราวสามถึงสี่วันใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว แต่ถ้าในตอนนี้ข้าคิดว่าสามารถทำได้เร็วขึ้น การทำงานของเวทมนตร์ผู้พิทักษ์กระตุ้นเวทมนตร์แห่งชีวิต ทำให้ภาระอาคมบนตัวข้าลดลง”
หรือว่าอย่างง่ายก็คือ การสร้างตัวแทนกรีนวินด์สามารถทำได้ง่ายขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบลงมือเถอะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะรีบลงมือ”
กรีนวินด์กล่าวด้วยท่าทางไหล่ตก ท่าทางของนางทำให้อินกองฉุกคิดบางอย่างออก
“ทำดีมากกรีนวินด์ นิทานเรื่องเล่านี้เป็นประโยชน์มาก”
“ถึงจะล้าช้าไป แต่ข้ารู้สึกดีขึ้นแล้ว”
เสียงของนางร่าเริงขึ้น อินกองยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะพูดต่อ
“ผมจะชมเชยอีกครั้งหลังจากที่เสร็จเรียบร้อย”
“เตรียมตัวชื่นชมข้าได้เลย”
กรีนวินด์ยิ้มอย่างร่าเริงก่อนจะหายไปกับสายลม
อินกองล้มตัวลงนอนบนเตียงพร้อมใช้ความคิด
‘เราขึ้นเหนือโดยใช้ข้ออ้างว่าเพื่อเก็บกวาดเหล่าคาเซียได้’
เขาไม่คิดจะรายงานรายละเอียดทุกกระเบียบนิ้ว ยิ่งเรื่องกรีนวินด์ยิ่งต้องเป็นความลับ
‘ปัญหาก็คือทางวังหลวงจะส่งใครมาเป็นหน่วยสำรวจนี่สิ’
เขาไม่สามารถซ่อนเวทมนตร์ของวัดแห่งนี้ให้เล็ดรอดจากสายตาได้ ยิ่งเมื่อเป็นสายตาของมืออาชีพจากวังจอมมารยิ่งแล้วใหญ่
‘ถ้าเป็นเด็กๆพวกนั้นก็ไม่เลวเหมือนกันนะ’
ยังไงเสียเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธหน่วยสำรวจที่ทางวังส่งมาได้ เขาจึงขอให้ในหน่วยสำรวจนั้นเป็นตัวละครที่เขารู้จักรู้ข้อมูล และยิ่งหากความสามารถของพวกนั้นไม่ต่างจากในเกมด้วยแล้ว เขายิ่งต้องการชักจูงมาเข้าร่วม
‘รายงานความดีความชอบน่าจะถูกส่งไปภายในวันนี้… พอนับเวลาดำเนินการตามขั้นตอนแล้ว ก็น่าจะใช้เวลาเจ็ดถึงสิบวันละนะ’
อย่าได้คิดดูถูกความล้าช้าในการคัดเลือกบุคลากรในงานพิธีการเป็นอันขาด บางทีอาจจะต้องใช้เวลามากกว่าสิบวันก็เป็นได้
‘หรือว่าจะไม่รอ แล้วรีบขึ้นเหนือไปเลยดี?’
หากมีข้อสงสัยอะไรตามมา เขาก็สามารถใช้ ‘เก็บกวาดเหล่าคาเซีย’ เป็นข้ออ้างได้
หลังจากที่คิดอะไรอยู่พักหนึ่ง อินกองก็ออกจากวัดไปหาคารัค
หากทว่าแผนการที่วางไว้ของอินกองก็ไร้ประโยชน์ เมื่อผู้เชี่ยวชาญถูกส่งจากวังจอมมารมาเร็วกว่าที่เขาคิด มิหนำซ้ำเขายังคุ้นเคยนักสำรวจผู้นี้เป็นอย่างดี
&
“เฟลิซีนูนะ?”