Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก – ตอนที่ 62

Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก

#ไซเรน(Σειρήν) ปีศาจจำพวกหนึ่งมีลักษณะเป็นมนุษย์ผสมกับนก ไซเรนที่มีกล่าวขานในกรีกโบราณมีทั้งชายและหญิง ก่อนต่อมาจะเหลือเพียงเรื่องเล่าของไซเรนหญิง ทำให้เมื่อพูดถึง ‘ไซเรน’ ส่วนใหญ่จะนึกถึงแต่เพียงเพศหญิง

 

 

“กระหม่อมขอตามเสด็จองค์ชายในภารกิจครั้งนี้… ”

 

 หลังจากที่หลับมาเต็มอิ่ม อินกองก็ตื่นขึ้นและพบว่ามีแขกมารอพบเขาอยู่ด้านนอก

 

 เขาคุ้นเคยกับหนึ่งนาง และหลังจากใช้เวลานึกสักพัก เขาก็นึกถึงตัวตนของแขกอีกหนึ่งตนออก

 

‘คาดารอฟ?’

 

 ลูกของหนึ่งในนางกำนัลที่อินกองคิดว่าเป็นเผ่าไซเรน

 

‘ไซเรนชาย’

 

 เผ่าไซเรนมีรูปร่างที่งดงาม มีถิ่นอาศัยอยู่ในทะเลตามเกาะ สามารถผสานพลังเวทเข้ากับเสียงเพื่อใช้ในการครอบงำสติหรือล่อลวงเหยื่อได้

 

 ไซเรนหนุ่มคาดารอฟมีผมสีฟ้าคราม ดวงตากลมโตราวอัญมณี รูปร่างเด็กอันน่าเอ็นดู สามารถสร้างความหลงไหลให้กับสตรีจำนวนมากได้โดยง่าย ทว่าอินกองไม่ยอมตกอยู่ใต้มนต์สะกดของไซเรน ไม่ว่าจะชายหรือหญิง

 

“เราได้เลือกสมาชิกร่วมเดินทางในภารกิจครั้งนี้ไว้แล้ว ไว้เราจะขอยืมกำลังในโอกาสหน้า”

 

 อินกองบอกปัดด้วยคำที่ไม่รุนแรงมาก เขาใช้มือจับไหล่ของคาดารอฟ นำทางไซเรนหนุ่มออกจากห้องรับแขก คาดารอฟกระพริบตาอย่างงุนงงที่โดนไล่แต่ก็ทำได้เพียงผงกหัวราวกับเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ส่วนแขกอีกนาง ดาฟเน่ ยังคงพักในห้องรับแขก

 

“เอ๋?”

 

“เดินทางปลอดภัยนะ”

 

 อินกองจับมือกับคาดารอฟที่ยังคงงุนงงก่อนจะปิดประตู ปล่อยการส่งคาดารอฟให้เป็นหน้าที่ของฟลอร่า

 

 ดาฟเน่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด นางกัดริมฝีปากก่อนจะถามออกมาอย่างลังเล

 

“องค์ชายจะทรงกรุณาให้หม่อมฉันตามเสด็จไปด้วยได้หรือไม่?”

 

“แน่นอน เราขอฝากตัวในภารกิจครั้งนี้ด้วย”

 

 อินกองตอบออกมาอย่างเป็นมิตร ก่อนจะนั่งลงข้างดาฟเน่พลางนึกถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดที่นำนางมาที่นี่

 

 หลังจากที่กลับมาจากการประชุมสภาเมื่อคืนวาน อินกองได้สั่งฟลอร่าและเหล่าบ่าวรับใช้ของเขาห้ามมิให้แขกผู้ใดเข้าตัวคฤหาสน์ ยกเว้นเฟลิซี เดเลีย และดาฟเน่เท่านั้น ซึ่งนั่นก็เพื่อลดการพบปะตามที่เฟลิซีได้แนะนำเขาไว้

 

 แต่คาดารอฟก็เข้ามายังห้องรับแขกได้เพราะอาศัยมาพร้อมกับดาฟเน่

 

 อินกองไม่ได้ส่งคาดารอฟกลับเพียงเพราะว่าเป็นไซเรน‘ชาย’ แต่เพราะคาดารอฟเป็นหนึ่งในการพบปะที่ควรหลีกเลี่ยงตามที่เฟลิซีแนะนำเขาไว้

 

 คาดารอฟเป็นผู้ติดตามอย่างลับของอนาสทาเชีย เขาจงรักภักดีจนเรียกได้ว่าเป็นสาวกเลยทีเดียว ทว่าที่คาดารอฟไม่เปิดเผยตัวว่าเป็นสาวกอย่างชัดเจนนั่นก็เพราะหน้าที่หลักของเขาคือการสอดแนมรวบรวมข้อมูล

 

 ในครั้งที่เล่นแซเฟียร์ คาดารอฟพยายามเข้าใกล้เขาด้วยรอยยิ้มมากมายหลายครั้ง และก็ทรยศเขาในช่วงเวลาคับขันทุกครั้งไป

 

‘ไอ้***คาดารอฟจะมาติดตามกู?’

 

 อินกองไม่คิดว่าคาดารอฟจะเลือกมาติดตามฉัตรแทนที่จะเข้าร่วมกับอนาสทาเชีย

 

 หากเอาความจริงมากล่าวถึง ผลงานของฉัตรถือว่าน้อยมาก เขาโดดเด่นขึ้นมาก็เพราะเหตุการณ์จากที่ประชุมสภา หากแต่นั่นไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป

 

 ดาฟเน่มาหาฉัตรเพราะนางร่วมสมรภูมิกับเขา ณ ที่ราบอินคา

 

 อินกองเติบโตและสร้างผลงานอย่างรวดเร็ว และไม่มีทีท่าว่าจะลดลงมีแต่จะเพิ่มขึ้น

 

 แต่การเด่นเกินหน้าเกินตาแบบนี้ก็นำพาซึ่งภยันตราย

 

 บรรดาลูกของนางกำนัลต่างเขาร่วมกับฝ่ายที่พวกเขาคิดว่าจะได้สืบบัลลังก์จอมมารในอนาคต นั่นก็เพื่ออนาคตของพวกเขาเองด้วย การเลือกข้างม้ามืดอย่างฉัตรจึงเป็นอะไรที่มีความเสี่ยงสูง

 

‘****ติดตามอนาสทาเชียจนวินาทีสุดท้าย ขนาดตอนที่เห็นๆว่าแซเฟียร์ชนะชัวร์ก็ยังไม่ย้ายฝ่าย เป็นไปไม่ได้ที่ไอ้**นั่นจะมาสวามิภักดิ์กับเรา น่าจะเป็นอีกอย่างมากกว่า’

 

 แม้ความเป็นไปได้ที่คาดารอฟต้องการเข้าร่วมกับฉัตรอย่างแท้จริงจะพอมี แต่ก็น้อยมาก ทว่าหากนี้เป็นคำสั่งจากอนาสทาเชีย ทั้งหมดก็ดูสมเหตุสมผลทันที

 

‘ถ้าจะเพื่อขัดขวางเรา นี่ก็ดูง่ายเกินไป… บางทีนางอาจจะแค่ต้องการจับตามอง?’

 

 ไม่ว่าจะอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอนาสทาเชียสนใจเขาเสียแล้ว

 

 อินกองนึกถึงอนาสทาเชียที่เขาเห็นในที่ประชุม เรือนร่างอันงดงามและเย้ายวน แต่นางก็แข็งแกร่งไม่แพ้ความงามของนาง สมกับที่ได้ฉายาว่าแซเฟียร์หญิง

 

‘ทั้งหมดนี่ก็เพราะ***มิตรแท้ๆ’

 

 อินกองสบถด่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในใจ ก่อนจะกลับมาสนใจดาฟเน่อีกครั้ง

 

 เขาสั่งให้นางเตรียมการหลายอย่าง เพื่อเตรียมเดินทางออกจากวังให้เร็วที่สุด

 

“แล้วตอนนี้ แกจะไปไหนต่อ?”

 

 หลังจากร่ำลาดาฟเน่ อินกองก็หันกลับมาตอบคำถามเจ้าออร์คต่อ

 

“ผมว่าจะไปเยี่ยมอิซเบลที่กระทรวงเกียรติยศ”

 

&

 

“ยินดีที่ได้พบองค์ชายเก้าอีกครั้ง”

 

“สวัสดีอิซเบล เมื่อวานสนุกไปเลยละสิ?”

 

 อินกองทักทายนางด้วยรอยยิ้ม และนางก็ส่งยิ้มกลับมา

 

“มันเยี่ยมมาก เอิกเกริกน่าดูเชียว ว่าแต่ด้านองค์ชายเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 นางถามกลับด้วยความเป็นห่วง นั่นเพราะจอมมารได้ทำบางสิ่งที่เหนือความคาดหมาย อินกองได้แต่ตอบนางพร้อมถอนหายใจ

 

“ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจละกันนะ”

 

 คำตอบอย่างแยบคายสร้างความประหลาดใจให้กับอิซเบล แต่นั่นก็ทำให้นางหมดห่วง หากลองมองย้อนไป ทั้งหมดก็นับเป็นเรื่องดี จอมมารมิตรไม่ได้ให้ความสนใจกับอะไรมาเป็นเวลานานแล้ว

#อิซเบลรู้เกี่ยวกับมิตรได้อย่างไร? เรื่องเกี่ยวกับบอสใหญ่จะทยอยเปิดเผยทีละนิด

อิซเบล ปีศาจที่อาวุโ…

((╬╯◣﹏◢))=○#(꒦ິ #)3꒦ີ)

 

 อิซเบลถามกลับมาอย่างร่าเริง

 

“แล้วระหว่างเรื่องความสำเร็จหรือรายละเอียดภารกิจ ท่านต้องการจะรับรู้เรื่องใดก่อน?”

 

“เรื่องความสำเร็จ”

 

“รับทราบ”

 

 [เจ้าชายลำดับที่เก้า ฉัตร อิกษณา]

[เกียรติยศ ขั้น: 5 → 10]

[แต้มผลงานสะสม: 15,000 → 35,000]

[แต้มผลงานคงเหลือ: 33,000]

[ความดีความชอบจากปฏิบัติการปราบคาเซีย]

ค้นพบวัดศิลาอันเป็นสถานที่สิงสถิตของเทพารักษ์กรีนวินด์

ขับไล่เหล่าคาเซีย

ขับไล่เหล่าเดรคโอเกอร์

ป้องกันเหตุวิกฤตวัดศิลา

ค้นพบต้นตอเหตุวิกฤตวัดศิลา[อันเดด/ไม่ทราบชื่อ].

เหรียญเกียรติยศระดับสูงสุดจากปฏิบัติการ

 [ระดับเกียรติยศเปลี่ยนเป็นขั้น 10]

[สิทธิ์ใช้งานสิ่งปลูกสร้างในเขตราชวังเพิ่มขึ้น]

[เงินประจำเดือนเพิ่มขึ้นจาก 500 โกลด์ เป็น 900 โกลด์]

 

‘ว้าว ดูเหมือนนี่จะดูดีกว่ากบฏสายฟ้าชาดซะอีก?’

 

 อินกองคาดหวังเอาไว้ในระดับหนึ่ง นั่นเพราะปฏิบัติการปราบกบฏสายฟ้าชาดไม่ใช่ภารกิจส่วนตัวของเขา ยิ่งไปกว่านั้นในภารกิจยังมีการประสานจากพลเอกแวนเดลอีกด้วย นั่นทำให้ควานดีความชอบต้องถูกแบ่งออกไปตามสัดส่วน

 

 สำหรับปฏิบัติการปราบคาเซีย เป็นภารกิจที่อินกองรับมอบหมายมาโดยตรง และเขาก็ไม่ต้องทำหน้าที่คอยสนับสนุนอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังพบเบาะแสทั้งหมด จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะได้ความดีความชอบที่มากต่างไปจากเดิม

 

‘ในอีกความหมาย เหตุแปลกๆนี่มีความสำคัญกับทางวังหลวงมากกว่าที่คิด’

 

 ทั้งหมดเกิดจากแสงสีม่วงปริศนา ที่มีต้นตอมาจากนอกเขตปกครองด้านทิศเหนือ

 

 อิซเบลตบมือของนางก่อนจะกล่าวชื่นชมออกมา

 

“เป็นอีกครั้งที่องค์ชายทำให้ข้าประหลาดใจ ปฏิบัติการปราบคาเซียเป็นภารกิจที่มีมาประจำปี ทำให้ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้”

 

 แน่นอนว่าอินกองก็ไม่คาดคิดเช่นกัน

 

 ทว่าบางที อาจจะมีผู้ที่คาดเดาเหตุการณ์นี้เอาไว้

 

 บางทีจอมมารอาจจะรู้? แล้วผลลัพท์ที่เกิดขึ้นมีความหมายต่อจอมมารสักเพียงไร?

 

 อินกองยังขาดแคลนข้อมูลเกินกว่าที่จะค้นพบคำตอบ เขาหันกลับมาสนใจเรื่องตรงหน้า

 

“องค์ชาย ท่านจะให้ข้าส่งรางวัลไปยังคฤหาสน์เช่นคราวที่แล้วหรือไม่?”

 

“เอาเป็นแบบนั้น”

 

 ระดับเกียรติยศเพิ่มขึ้นห้าขั้น แน่นอนว่าย่อมเป็นรางวัลจำนวนมาก อินกองยังไม่ต้องการเปิดเผยความสามารถเรื่องช่องเก็บของ เขาเลือกให้รางวัลถูกส่งไปยังคฤหาสน์

 

“รับทราบ มีสิ่งใดที่ท่านต้องการใช้แต้มผลงานแลกหรือไม่?”

 

“ไม่ใช่ที่นี่ เราว่าจะไปยังโรงเหล็กและคลังแสง”

 

“ใช่แล้ว ระดับเกียรติยศของท่านในตอนนี้สูงพอที่จะใช้สถานที่ทั้งสองได้ ข้าขอให้ท่านพบกับสิ่งที่ท่านต้องการ”

 

“ขอบคุณ เราขอถามเรื่องเกี่ยวกับภารกิจต่อ”

 

“รับทราบ รายละเอียดโดยคร่าวเป็นไปตามที่ข้าบอกท่านไปเมื่อวาน”

 

 [ปฏิบัติการสำรวจปราสาทธันเดอร์ดูมของอาณาจักรดวอฟ]

[มีผู้ค้นพบเส้นทางสู่ปราสาทธันเดอร์ดูมระหว่างการจัดสรรพื้นที่เพื่อทำเหมือง จงเข้ายึดเส้นทางและทำการสำรวจตัวปราสาท]

[จงเดินทางภายในเจ็ดวันหลังจากรับภารกิจ]

 

 รายละเอียดลอยขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยภาพจำลองแผนที่ สถานที่ที่อินกองคุ้นตา

 

‘ปราสาทธันเดอร์ดูมจริงๆสินะ’

 

 แน่นอนว่าอินกองเคยไปยังปราสาทนี้แล้วในบทกวีแห่งผู้กล้า ทว่าสิ่งที่แตกต่างก็คือเวลาที่ค้นพบสถานที่แห่งนี้

 

‘ทุกอย่างไม่น่าจะเหมือนเดิม’

 

 เรื่องราวเกี่ยวกับเหล่ามังกรบรรพกาลเป็นสิ่งหนึ่งที่ต่างไปจากในเกมอย่างเห็นได้ชัด

 

“แม่ทัพกาซบาลเสียชีวิตในระหว่างทำภารกิจ จากรายงานพบว่าสาเหตุหลักมาจากก๊าซพิษ ท่านควรจะเตรียมตัวให้ดี”

 

 อินกองพยักหน้ารับ ในบทกวีแห่งผู้กล้า เขาต้องพกยาแก้พิษสารพัดชนิดในทุกครั้งที่เขาเดินทางไปยังธันเดอร์ดูม

 

‘เอาจริงๆ ที่เหมืองถูกปิดไปตั้งแต่แรกก็เพราะก๊าซพิษนี่ละ’

 

 รายละเอียดทั้งหมดดูสมเหตุสมผลดี แต่ทว่าอินกองกลับรู้สึกว่ามันแปลก?

 

 พลโทกาซบาล… ถึงอินกองจะไม่รู้จักตัวละครตัวนี้ในบทกวีแห่งผู้กล้า แต่เป็นถึงพลโทจะไม่รู้เรื่องก๊าซพิษเลยเชียวรึ? หรือว่าพลโทจะประมาททั้งที่เตรียมตัวอย่างดี? ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลได้ก็ตาม ถือว่าเป็นจุดจบอันน่าอนาถสำหรับยศพลโท

 

‘ได้แต่หวังว่าเดเลียจะได้ข้อมูลอะไรบางอย่างเพิ่ม’

 

 อินกองผงกหัวจบการพูดคุยกับอิซเบล

 

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ เช่นนั้นเราขอตัว”

 

“แล้วข้าจะรอคอยการมาเยือนครั้งหน้าของท่าน”

 

&

 

 อินกองเดินทางไปยังโรงเหล็กซึ่งตั้งอยู่ด้านตะวันออกของเขตราชวัง เขายังคงมีรถเลื่อนที่ได้รับมาจากเฟลิซีอยู่ นั่นทำให้เขาสามารถเดินทางได้โดยไม่มีอุปสรรค

 

 คลังแสงได้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกใช้เก็บเหล่าอาวุธพื้นฐานที่ผลิตเป็นจำนวนมากเพื่อการศึก อีกส่วนหนึ่งเป็นส่วนที่เก็บยุทโธปกรณ์ที่ทำเป็นพิเศษสำหรับแม่ทัพ ขุนนาง และราชวงศ์

 

 แน่นอนว่าอินกองพุ่งเป้าไปที่ส่วนหลัง

 

 เช่นเดียวกับที่อิซเบลประจำกระทรวงเกียรติยศ ผู้ที่ประจำคลังแสงก็คือ อิกอร์ ไม่ต่างจากในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า

 

“ขอต้อนรับองค์ชายเก้าสู่คลังแสง เนื่องจากท่านมีระดับเกียรติยศขั้น 10 ท่านสามารถใช้คลังแสงได้ถึงห้องสมบัติห้องแรก โดยปกติแล้วท่านต้องใช้แต้มผลงานในการแลกเปลี่ยนสิ่งของเหล่านี้ แต่ท่านสามารถใช้โกลด์แลกซื้อได้ในส่วนที่ขาด”

 

 อินกองยิ้มออกมาระหว่างเดินตามอิมพ์ที่กำลังนำทางเขาไปยังห้องสมบัติ

 

 มันเป็นห้องที่มีขนาดใหญ่มาก ใหญ่ราวยี่สิบเท่าหากเทียบกับคลังแสงที่เขาพบในวิหารทั่งวัชรกร

 

 ยิ่งไปกว่านั้น แท่นแสดงทั้งหมดยังเต็มไปด้วยยุทโธปกรณ์หลากหลาย ต่างไปจากวิหารทั่งวัชรกรที่มีบางส่วนขาดหายไป

 

 แม้อินกองจะเคยเห็นแล้วจากในเกม แต่เขาก็อดอัศจรรย์ใจไม่ได้ ยิ่งคารัคและกัมมะที่มาเป็นครั้งแรก ทั้งสองตาโตอย่างตกตะลึง

 

 โดยเฉพาะกัมมะ นางสั่นระรัวราวกับจะหัวใจวาย

 

“ทั้ง ทั้งหมดนี่คือ?”

 

 กัมมะพูดติดขัดพลางรับเกราะที่อินกองเลือกส่งให้นาง เกราะโซ่ที่ปลุกเสกด้วยอาคมสายฟ้า หมวกและถุงมือเงินบริสุทธิ์ เป็นอุปกรณ์ที่นางไม่คิดฝันแม้แต่จะพบเห็น

 

 อินกองทำเพียงพูดตอบนางสั้นสั้น

 

“ถูกต้อง”

 

 กัมมะแสดงความลังเลออกมา แต่สิ่งของเหล่านี้เปรียบได้เพียงเท่าธุลีสำหรับวังหลวงเท่านั้น

 

‘ค่อยสมเป็นวังจอมมาร’

 

 ศูนย์กลางแห่งโลกมาร อินกองรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เมื่อยกที่ราบอินคามาเปรียบแล้ว ทั้งสองที่ไม่สามารถนำมาเทียบกันได้เลย

 

 คารัคพูดออกมาอย่างภาคภูมิ

 

“อย่าได้ลังเล เพื่อจะปกป้ององค์ชายแล้ว พวกเราต้องแข็งแกร่งขึ้น”

 

 เป็นคำพูดที่มีเหตุผลจนเหลือเชื่อว่าจะมาจากออร์ค คารัคส่วมหมวกเกราะสีดำ ดูเข้ากับเกราะอกที่มันสวมอยู่ บนหลังของมันก็แบกโล่เวทมนตร์ เนื่องจากมันได้ของบางอย่างมาก่อนแล้ว นั่นทำให้มันไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติมมากนัก

 #แค่ก แค่ก… ‘ค่าปิดปาก’

 

 อินกองเลือกเกราะหนังเพื่อใช้ป้องกันการโจมตีจากธาตุ เคล็ดไอศวรรย์ต้องการความคล่องแคล่วทำให้เกราะหนักไม่เหมาะกับเขา สังเกตได้จากที่ทั้งคริสต์และเคทลินต่างก็ใช้เกราะหนัง

 

 ค่าใช้จ่ายในครั้งนี้เป็นทั้งหมด 15,000 แต้มผลงาน ครึ่งหนึ่งเป็นสำหรับเกราะหนังของอินกองและโล่ของคารัค

 

‘เราไม่ควรจะงกแต้มผลงานกับพวกอุปกรณ์ต่างๆ’

 

 แต้มเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากกลับมาจากภารกิจครั้งนี้ เขาอาจจะสามารถเข้าสู่ห้องสมบัติระดับสูงขึ้นก็เป็นได้ ซึ่งเต็มเหล่านี้ถือว่าน้อยมากสำหรับของเหล่านั้น

 

‘เอาละ ค่อยดูสมเป็นเจ้าชายหน่อย นี่สิถึงจะเรียกว่าผู้กล้า’

 

 อินกองพร้อมจะออกจากห้องสมบัติอย่างพึงพอใจก่อนที่…

 

‘แล้วข้าละนายท่าน?’

 

‘นายท่านปฏิบัติสองมาตรฐานกับข้าตลอด’

 

‘ข้าก็เขียวเหมือนกันนะ แต่นายท่านกลับเห็นเจ้าออร์คดีกว่าข้า!’

 

 เสียงบ่นของกรีนวินด์ดังขึ้นในหูของอินกองอย่างต่อเนื่อง เขาหัวเราะออกมาก่อนจะถามอย่างกวนกวน

 

“แล้วอยากได้อะไรละ?”

 

‘เอ่อ… ’

 

 แน่นอนว่าไม่มีคำตอบ นั่นเพราะกรีนวินด์ไม่สามารถปรากฏตัวด้วยร่างเนื้อได้ตลอดเวลา จึงไม่มีความจำเป็นที่นางจะใช้ชุดเกราะหรืออาวุธ

 

 กรีนวินด์โอดครวญออกมาเพราะนางไม่มีอะไรที่นางใช้ได้ ก่อนอินกองจะหัวเราะอีกครั้ง

 

“งั้นผมจะชื่นชมกรีนวินด์เมื่อเรากลับถึงคฤหาสน์แล้วกัน”

 

‘ข้าไม่ได้ทำอะไรที่คู่ควรกับคำชม’

 

“งั้นก็ไม่มีคำชม”

 

‘อ เอ่อ บางทีการได้คำชมโดยไม่มีเหตุผลก็ไม่เลวเสียทีเดียว’

 

 อินกองพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ อิกอร์ที่ไม่รู้ถึงตัวตนของกรีนวินด์ได้แต่มองมาที่อินกองอย่างลังเล

 

 หลังจากออกมาจากคลังแสง อินกองก็มุ่งหน้าไปยังโรงเหล็ก กัมมะคาดคิดว่ามันจะเป็นสถานที่อันเต็มไปด้วยเหล่าช่างมากมายเต็มไปด้วยเหงื่อ และเตาไฟ ทว่าสถานที่จริงกลับเรียบง่าย ดูไม่ต่างจากกระทรวงเกียรติยศ

 

 สถานที่สั่งของไม่จำเป็นต้องอยู่ที่เดียวกับที่ที่ของเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นจริง

 

 เกเตอร์ ช่างเหล็กเผ่าลิซาร์ดแมนเป็นผู้รับรายการจากอินกองชิ้นต่อชิ้น พลางถามยืนยันรายละเอียดทั้งหลาย

 

“นี่ท่านกำลังพูดถึงเกราะเท้าใช่ไหม?”

 

“ใช่แล้ว เกราะเท้า”

 

 ของที่อินกองสั่งทำเรียกได้ยากว่าเป็นเกราะเท้า หากจะพูดอย่างไม่เป็นทางการ มันดูเหมือนรองเท้ากีฬา(สตั๊ด)เสียมากกว่า

 

 เคล็ดไอศวรรย์ไม่ได้จำกัดแต่เพียงการใช้มือเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเท้าด้วย

 

 นั่นทำให้เกราะเท้าทั่วไปที่หนัก ไม่เหมาะกับอินกอง

 

 เกราะเท้าของอินกองต้องเบาที่สุดเท่าที่ทำได้ รูปร่างของมันต้องไม่รบกวนต่อการเคลื่อนที่และความเร็ว ยิ่งกว่านั้นมันต้องได้รับการปลุกเสกอาคมเพื่อเสริมความแข็งแรง

 

 หลังจากซักรายละเอียดจากอินกอง เกเตอร์ก็เข้าใจในที่สุด

 

“เข้าใจละ ถ้ามันมีรูปร่างง่ายๆแบบนี้ ก็ไม่น่าจะใช้เวลานานนัก”

 

“ไม่นานนักนี่เท่าไร?”

 

“สองวันก็น่าจะเกินพอ”

 

 กัมมะตกตะลึงอีกครั้ง นี่ไม่ใช่เกราะเท้าธรรมดา แต่เป็นเกราะที่ปลุกเสกอาคม ทว่ามันกลับใช้เวลาสร้างเพียงสองวัน? นี่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สำหรับที่ราบอินคา

 

 แต่นี่ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับอินกอง เขานึกถึงแต้มผลงานที่เขาเหลือก่อนจะเจรจาเพิ่ม

 

“มีวัตถุดิบอะไรแนะนำบ้าง?”

 

“หืม? ข้าสามารถทำมันด้วยหนังและเกล็ดมังกรได้”

 

“ฮ่ะ?”

 

 คำตอบของเกเตอร์ทำให้อินกองประหลาดใจอย่างมาก หนังมังกร เกล็ดมังกร… วัตถุดิบพิเศษขนาดนั้น มันเกินกว่าที่แต้มผลงานของอินกองในตอนนี้จะเพียงพอ

 

‘****พูดเล่นใช่มั้ยเนี่ย?’

 

 ทว่าแววตาของช่างเหล็กบ่งบอกว่ามันพูดจริง มันมองไปยังคารัคและกัมมะที่ยืนอยู่ด้านหลังอินกองก่อนจะกระซิบบอก

 

“มีวัตถุดิบบางอย่างถูกส่งมาในชื่อขององค์ชาย ทั้งหมดเกินพอสำหรับรายการที่สั่ง”

 

“ในชื่อของเรา?”

 

“ใช่ ถูกต้องแล้ว”

 

 เป็นเรื่องที่ไม่แปลกใหม่ เหล่าทายาทย่อมมีผู้คอยสนับสนุน อย่างเช่นแซเฟียร์ก็จะมีขุนนางจากฝั่งแม่ส่งของกำนัลมาให้เป็นระยะ

 

 ที่แปลกคือมีของถูกส่งมาให้ฉัตร?

 

‘หรือจะมาจากพวกคนธรรพ์?’

 

 ถึงจะมีอิทธิพลน้อย แต่ก็เป็นถึงเผ่าของหนึ่งในราชินี อินกองเริ่มคาดหวังขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ช่วยบอกได้ไหมว่าใครส่งมา?”

 

 เกเตอร์สูดหายใจเข้าเต็มที่ ก่อนจะตอบด้วยเสี่ยงที่แผ่วเบากว่าเดิม

 

“อิชย์”

 

 คารัคและกัมมะนัยน์ตาเบิกกว้าง แม้ทั้งคู่จะมาจากเขตชายแดนแต่ก็รู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี

 

 ปราชญ์ดาบอิชย์

 

 ตำนานที่มีตัวตนจากยุคที่แล้ว

 

 ผู้ที่ไม่สังกัดฝ่ายใดของเหล่าราชินี

 

 ผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นปู่ของเหล่าทายาทจอมมารทั้งหมด

 

 ผู้อาวุโสแห่งเผ่าสุร

 #เพื่อนเก่าของพี่สาว(?)ลาเมีย

 

 

จบบทที่ 9 – พิเศษ เริ่มบทที่ 10 – ตีฝ่า

Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก

Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก

Status: Ongoing
จู-อินกอง เกมเมอร์หนุ่มผู้กำลังกระดี้กระด้าเนื่องจากเกมโปรดของเขาได้รับการนำกลับมาทำใหม่ให้ไฉไลยิ่งกว่าเดิมด้วยเทคโนโลยี VR  แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้เขาหลุดเข้ามาเผชิญกับเรื่องต่างๆ ราวกับเข้ามาอยู่ในเกมโปรดที่ว่า เคราะห์ซ้ำกรรมซัดบทบาทของเขาดันเป็นตัวประกอบกระจ้อยร่อยที่จะถูกฆ่าตายกลางเกม  จู-อินกองจึงต้องใช้ประสบการณ์เกมที่เขาสั่งสมเอาไว้หาหนทางเอาตัวรอดจากความตายที่กำลังมาเยือน โดยหารู้ไม่ว่าเขามิเพียงกำลังเปลื่ยนโชคชะตาตัวเอง แต่ยังรวมไปถึงชะตาตัวละครรอบข้างและโลกทั้งใบ  นี่คือเรื่องราวของจู-อินกอง ผู้เป็นพระเอกของโลกใบนี้(?)

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท