อินกองไม่เคยได้ยินชื่อทักษะที่เขากำลังใช้ แต่เขาเข้าใจวิธีใช้มัน อาจเป็นเพราะกรีนวินด์ผู้สิงสถิตอยู่ในโล่ชีวาตม์ได้บอกกล่าวเขาผ่านห้วงสำนึก
ขอบเขตสัมบูรณ์
แสงสีเขียวส่องสว่างออกจากไวท์อีเกิ้ลก่อเกิดเป็นม่านพลังโปร่งแสง ทักษะนี้มิได้มีไว้เพื่อการตั้งรับ อินกองกอดเคทลินไว้ภายในแขนข้างหนึ่ง ใช้ไวท์อีเกิ้ลผ่านแขนอีกข้างหนึ่ง
แม้ลำแสงที่ทำลายม่านพลังของอมิตาภากำลังสาดเข้ามา เคทลินกลับไม่รู้สึกกลัวสักนิด นางทิ้งตัวลงภายใต้อ้อมกอดของอินกองพลางหลับตาอย่างวางใจ
ในที่สุดลำแสงนั้นก็พุ่งเข้ามาถึงไวท์อีเกิ้ล
แต่ไม่อาจสัมผัสไวท์อีเกิ้ลได้
อินกองพยายามคิดหาคำอธิบายสิ่งที่เกิดแต่ก็ไร้คำพูด
ไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้น ไม่เกิดการปะทะกันระหว่างลำแสงและไวท์อีเกิ้ลเสียด้วยซ้ำ
ลำแสงสีน้ำเงินสลายหายไปในพริบตาที่มันสัมผัสม่านพลังจากขอบเขตสัมบูรณ์
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายจนอินกองแทบจะมองข้ามมันไป
มันเพียงอันตรธานหายไป นั่นทำให้มันไม่โดดเด่น
ในทางกลับกัน ทางฝ่ายภูติที่คลุ้มคลั่งกำลังรู้สึกตื่นตระหนก มันพยายามส่งพลังมากขึ้นแต่ก็ไม่เป็นผล
ขอบเขตสัมบูรณ์
‘หรือว่าจะหมายถึงการป้องกันอันสมบูรณ์แบบ?’
ไม่สิ นี่มันต่างออกไป อินกองพยายามคิดหาคำมาอธิบายสิ่งที่เกิด
ทว่าเหตุการณ์ก็เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง บางส่วนของลำแสงสีน้ำเงินแตกกระจายออกเป็นสะเก็ดไฟ สะเก็ดเหล่านี้สะท้อนกลับไปยังภูติที่คลุ้มคลั่งดุจห่าฝน
ภูติที่คลุ้มคลั่งรีบยกเลิกท่าร่างยิงลำแสงแล้วตั้งท่าป้องกันสะเก็ดไฟที่กระเด็นเข้าบริเวณรอบตัวมัน
ขอบเขตสัมบูรณ์
สิ่งนี้สื่อถึงอาณาเขตการควบคุมอย่างสมบูรณ์ แม้จะเป็นบริเวณเล็กน้อยที่ล้อมรอบไวท์อีเกิ้ล อินกองสามารถควบคุมทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในอาณาเขตนี้
สมเป็นทักษะพิเศษที่แฝงอยู่ในของวิเศษจากมังกรบรรพกาล
ถึงกระนั้นมันก็มีจุดอ่อน
“อัก…”
อินกองหน้าซีดนัยน์ตาพร่ามัว มิเพียงแค่พลังเวท แต่พลังจิต รวมไปถึงพลังกายก็ถูกใช้ไปกับทักษะนี้ แม้จะไม่มีขีดจำกัดจำนวนครั้งการใช้ทักษะพิเศษในแต่ละวัน ด้วยร่างกายของอินกองในตอนนี้ การใช้เพียงสามครั้งย่อมส่งเขาไปสู่สุคติอย่างแน่นอน การใช้เพียงวันละหนจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
อินกองหยุดความคิดฟุ้งซ่านของเขาเอาไว้พลางหยิบน้ำยาฟื้นฟูออกมาดื่ม ในขณะเดียวกันเขาก็กระตุ้นให้แก่นทั้งสี่ทำงานเพื่อเร่งการฟื้นฟูร่างกาย
เคทลินกำแขนของอินกองเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็โอบเอวของอินกอง แก่นบริวารทำให้นางสามารถทำสิ่งอัศจรรย์บางอย่างได้
ส่งผ่านพลังแฝง
ลมปราณสีน้ำเงินของเคทลินถูกส่งผ่านซึมซับเข้าสู่ร่างกายของอินกอง เป็นการถ่ายเทพลังจากเคทลินสู่อินกองมิใช่การแลกเปลี่ยนระหว่างทั้งสอง นั่นทำให้พลังของอินกองฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ฉัตร”
เคทลินขานชื่อของเขาขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่ก็เพียงพอให้อินกองเข้าใจเจตนารมณ์ของนาง อินกองพยักหน้าพลางวางนางลงกับพื้น
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาชั่วครู่ที่ลำแสงถูกสะท้อนเป็นสะเก็ดไฟ อินกองรีบพุ่งเข้าหาภูติที่คลุ้มคลั่งที่กำลังตั้งรับอยู่
ไวท์อีเกิ้ลโฉบกลับเข้าหาอินกอง นั่นอาจจะทำให้ภูติที่คลุ้มคลั่งสามารถเตรียมตัวรับมือได้ง่ายขึ้น แต่ก็ทำให้อินกองร่นระยะห่างได้อย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นไวท์อีเกิ้ลก็พุ่งออกจากอินกองอีกครั้ง แสงสีเขียวเรืองออกบดบังสายตาภูติที่คลุ้มคลั่ง มันหรี่ตาลงพลางเคลื่อนตัวหลบในทันที
ภูติที่คลุ้มคลั่งยังไม่เข้าใจถึงความสามารถที่แท้จริงของขอบเขตสัมบูรณ์ และมันก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าทักษะนี้จะทำงานเมื่อไร
นั่นเพราะแสงที่เรืองออกมาเป็นแสงสีเขียวที่ไม่ต่างไปจากยามปกติ
ความจริงก็คือแสงที่เรืองออกมาในคราวนี้มิใช่ขอบเขตสัมบูรณ์ นี่เป็นเพียงกลยุทธในการสร้างช่องโหว่ของกรีนวินด์
และมันก็ได้ผล ภูติที่คลุ้มคลั่งเผยช่องโหว่ออกมาอย่างเสียมิได้!
‘นายท่าน!’
กรีนวินด์ร้องตะโกน อินกองไม่ต้องการให้ช่องโหว่ที่กรีนวินด์สร้างขึ้นต้องเสียเปล่า เขารีบใช้เคล็ดวายุเคลื่อนตัวเข้าหาภูติที่คลุ้มคลั่ง
เคล็ดประกาศิตจิตสุร – วายุ
เมื่อใช้ควบคู่กับการเดินลมปราณของเคล็ดไอศวรรย์ราชันสุรแล้ว ในมุมมองบุคคลที่สาม เคล็ดวายุนี้ไม่ต่างไปจากวิชาเคลื่อนย้ายข้ามมิติ
#แกไปฝึกวิชาจากดาวยาโดแรตตั้งแต่เมื่อไรนิ! ดรา***บอล
ภูติที่คลุ้มคลั่งแปลกใจที่อินกองโผล่มาตรงหน้าเขาอย่างกระทันหัน และยังเป็นระหว่างที่เขากำลังหลบแสงสีเขียวที่เรืองออกมาด้วย
แน่นอนว่าภูติที่คลุ้มคลั่งเก่งกาจมาก ทั้งที่ไม่มีเคล็ดกระบวนท่ามากมายก็ยังทำให้คณะของอินกองถึงขั้นจนตรอกได้
หากเป็นการเผชิญหน้าอย่างตรงไปตรงมา อินกองและเคทลินคงทำได้แต่เพียงตั้งรับ
ทว่าเหตุการณ์ไม่คาดคิดทำให้ภูติที่คลุ้มคลั่งสูญเสียความเยือกเย็นและเผยช่องโหว่ขึ้นชั่วขณะ
โอกาสที่ยากจะเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง อินกองต้องคว้าโอกาสอันนี้เอาไว้เพื่อชัยชนะ
ส่วนคำถามที่ว่าจะคว้าเอาไว้อย่างไร?
คำตอบก็ได้ถูกวางเอาไว้เรียบร้อย
อินกองกำหมัดของเขา แสงสีส้มเรืองออกจากพสุธากัมปนาทพร้อมเสียงคำรามดังสนั่น
ทักษะพิเศษที่แฝงในพสุธากัมปนาท
มหาวินาศ
ข้อจำกัดของทักษะนี้คือต้องใช้ในขณะที่ฝ่าเท้าทั้งสองตั้งขนานในระนาบเดียวกัน แน่นอนว่าพลังทำลายของมันมีมหาศาล
ส่วนขั้นตอนก็เช่นเดียวกับการใช้ขอบเขตสัมบูรณ์ ปลุกพลังแฝงเพื่อดึงเอาพลังอันเกรี้ยวกราดในพสุธากัมปนาทออกมา!
อินกองเงื้อมือของเขาไปข้างหน้า
ภูติที่คลุ้มคลั่งรับรู้ได้จากสัญชาติญาณว่ามันต้องหลบการโจมตีนี้ แม้จะเสียความเยือกเย็นไปชั่วขณะแต่มันก็เร่งรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าอย่างทันควัน ทว่ามีบางสิ่งขัดขวางมันเอาไว้
‘เทเลคิเนซิส’
พลังเพียงเล็กน้อยที่ทำได้เพียงขยับถ้วยชากาแฟ
หากแต่พลังนี้ถูกใช้ในเวลาที่พอเหมาะ ในช่วงเวลาความเป็นตาย จะมีดอันแหลมคมหรือเข็มหมุดก็สามารถเป็นปัจจัยพลิกผันได้
พสุธากัมปนาทสัมผัสเข้ากับอกของภูติที่คลุ้มคลั่ง อินกองตั้งใจเล็งไปยังกลางอกแต่ภูติที่คลุ้มคลั่งก็สามารถหลบหลีกให้การโจมตีไปอยู่บริเวณสีข้าง
ภูติที่คลุ้มคลั่งแสดงสีหน้าโล่งอกออกมาแต่ก็เรียกได้ว่าเร็วเกินไป เสียงคำรามดังสนั่นอีกครั้งในวินาทีที่พสุธากัมปนาทเข้าสัมผัส
มหาวินาศ…
ช่างเหมาะสมกับทรราชเอนคิดูผู้ทำลายทุกอุปสรรค
ในชั่วพริบตาที่ราวกับเวลาได้ถูกหยุดเอาไว้ มีวงเวทหลากขนาดปรากฏขึ้น พวกมันหมุนซ้อนกัน ขัดกัน วนในทิศทางและความเร็วที่ต่างกัน ราวกับปริศนาตัวต่อที่กำลังหมุนเข้าช่อง เผยออกเป็นภาพที่สมบูรณ์
แสงสว่างส่องวาบ ก่อนแตกกระจายออกเป็นชิ้นส่วนขนาดเล็กพร้อมกับเสียงกรีดร้องดังขึ้น ร่างกายครึ่งหนึ่งของภูติที่คลุ้มคลั่งได้ถูกทำลาย มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของแสงที่กำลังแตกกระจายออก ไม่จบเพียงเท่านั้น บริเวณด้านหลังของภูติที่คลุ้มคลั่งทะยอยแตกตัวเป็นชิ้นส่วนแสง ผืนดิน ต้นไม้ อะไรก็ตามที่อยู่ในรัศมีของมหาวินาศส่องสว่างวาบก่อนจะแตกกระจายเป็นสะเก็ดแสง
เกิดรอยแยกขึ้นบนพื้นดิน รูนี้คงอยู่ชั่วขณะก่อนจะตามมาด้วยเสียงแผ่นดินไหว
พื้นที่ในระยะรัศมีราว 20 เมตรสั่นสะเทือน ดินถล่มถมช่องว่างที่เกิดขึ้น
ราวกับมังกรขนาดยักษ์ตวัดเล็บของมัน
พลังทำลายอันน่าสะพรึ่งกลัว แลกมาด้วยค่าใช่จ่ายราคาแพง
ภูติที่คลุ้มคลั่งสีน้ำเงินล้มกองลงกับพื้น มันส่งเสียงร้องตะโกนบางอย่าง
ไม่ใช่เสียงร้องครวญครางแต่เป็นเสียงสัญญาณ ภูติที่คลุ้มคลั่งอีกตนที่สู้กับซิลวานรีบวิ่งเข้ามาหาพวกเขา
มีเสียงร้องดังขึ้น ซิลวานเข้าขัดขวางภูติที่คลุ้มคลั่งสีเทาเอาไว้
อินกองหงายหลังล้มตึงกับพื้น เขาพยายามปรับลมหายใจที่ติดขัดและกระตุ้นแก่นโคจรทั้งสี่อีกครั้ง ด้วยพันธะระหว่างแก่นจันทราและแก่นบริวารทำให้พลังของเคทลินถูกส่งผ่านมาฟื้นฟูอินกอง
ร่างกายครึ่งหนึ่งของภูติที่คลุ้มคลั่งได้หายไป อินกองรู้สึกถึงพลังแห่งอาสัญที่กำลังหดหายไปเช่นกัน
อินกองพยายามพลิกขยับตัว เขาคืบคลานเข้าหาภูติที่คลุ้มคลั่ง ฝ่ามือของเขาแตะไปยังร่างที่เหลืออยู่ของมันก่อนจะใช้เคล็ดวิชาบางอย่าง
อิเนีย
“—————-!”
เสียงร้องที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเสียงร้อง
ชีพจรถูกทำลาย พลังชีวิตและไอพลังสีน้ำเงินที่ยังหลงเหลือสูญเสียการควบคุม ไหลรินออกจากร่างกายที่แหลกสลาย
ซิลวานยังคงขัดขวางภูติที่คลุ้มคลั่งสีเทาเอาไว้ในระหว่างที่อินกองจดจ้องไปยังร่างตรงหน้า เขารับรู้ได้ถึงอารมณ์บางอย่างที่ส่งผ่านพลังแห่งอาสัญ
ช่างใกล้เคียงกับทุพภิกขภัย ทว่าแตกต่าง
พิษร้ายที่เรียกว่าความเกลียดชัง
แม้จะไม่เข้มข้นเท่าที่สัมผัสได้จากทุพภิกขภัยแต่ก็ฝังรากลึก หากเปรียบทุพภิกขภัยเป็นเพลิงแค้น อาสัญก็เปรียบเป็นหิมะเย็นชาไร้เยื่อใย
ภายใต้ความอาฆาตนี่ยังแฝงไว้ซึ่งหนึ่งอารมณ์ ความรู้สึกโหยหาที่เรียกว่ารัก
อินกองรวบรวมพลังแห่งอาณัติไว้ที่มือข้างซ้าย พลังสีขาวแห่งอาณัติเข้าห้อมล้อมพลังสีน้ำเงินแห่งอาสัญ ก่อนพลังแห่งอาสัญจะถูกทำลายไปพร้อมกับร่างที่เหลืออยู่ของภูติที่คลุ้มคลั่ง
เสียงร้องดังขึ้นจากทิศทางภูติที่คลุ้มคลั่งสีเทา การดับสลายของภูติที่คลุ้มคลั่งสีน้ำเงินทำให้มันไม่สามารถต่อสู้ได้อย่างเต็มที่อีกต่อไป
เช่นเดียวกับเมื่ออินกองจัดการมุสตาฟาและบาโคโรฟ ไอพลังสีม่วงที่ครอบงำสัตว์ทั้งหลายก็เจือจางออก บรรดาสัตว์ที่ได้สติกลับคืนต่างทยอยหลบหนี มีบ้างที่หมดสติล้มลง
ซิลวานสั่งลูกเรือของเขาให้ไล่ตามกวาดล้างสัตว์ที่หลบหนี เรียกได้ว่าการต่อสู้ของอินกองมาถึงจุดสิ้นสุด
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]
อินกองเพิ่งจะขึ้นเป็นระดับเลเวลยี่สิบห้าได้ไม่นาน เลเวลของเขาได้เพิ่มขึ้นอีกครั้ง อินกองรู้สึกยินดีที่ได้ยินเสียงของสตรีนิรนามอีกครั้ง ถึงแม้เขาเพิ่งได้ยินเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา
แสงสีขาวส่องเรืองขึ้นจากตัวเขา แม้บาดแผลจะได้รับการเยี่ยวยาเช่นทุกครั้ง แต่พลังกาย พลังจิต พลังเวทของเขากลับไม่ได้รับการฟื้นฟูเช่นทุกที ส่อให้เห็นถึงค่าใช้จ่ายราคาแพงจากการใช้ทักษะพิเศษ
อินกองยกตัวขึ้นมองสำรวจด้านหลัง เคทลินที่ล้มตัวลงนอนกับพื้นมีใบหน้าซีดเซียว นั่นก็เพราะอินกองเค้นพลังออกจากตัวนาง
‘ฉัตรแย่มาก’
ถึงจะห่างออกไปแต่อินกองมั่นใจว่าเขาได้ยินเสียงนั้น
เคทลินฝืนยิ้มจากการที่โดนสูบพลังออกไป อินกองทำได้แต่หัวเราะเล็กน้อยให้นาง เขาพยายามพูด ‘ขอโทษครับ’ แต่ก็ไม่อาจส่งเสียงออกมาได้ เคทลินพยักหน้าพลางพูดอย่างไร้เสียงเช่นกัน
‘ฉัตรนี่สุดยอดจริงๆ’
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะก่อนจะหมดสติ แน่นอนว่าทั้งหมดเกิดขึ้นโดยไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกมา
‘นายท่าน!’
“ฉัตร! เคทลิน!”
“องค์ชาย!”
“องค์หญิงเพคะ!”
เสียงดังขึ้นจากสมาชิกคณะตามลำดับ ก่อนพวกเขาจะรีบวิ่งมาหาฉัตรและเคทลิน
อมิตาภาจ้องมองไปยังอินกองจากภายใต้อ้อมกอดของดาฟเน่ เจ้าแรคคูนไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่วิ่งไปหาทั้งสอง
มีข้อความบางอย่างจากแสงสุดท้าย
อมิตาภามองไปยังอินกอง ก่อนจะพยักหน้าอมยิ้มโดยไม่รู้ตัว