Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก – ตอนที่ 99

Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก

 

#อู้ห่างหายไปนาน ด้วยข้ออ้างมากมาย ต้องขออภัยผู้อ่านที่รอติดตามด้วยครับผม

 

 เฟลิซีเดินออกจากห้องบูชาพลางหันหลังมองอย่างอาลัยอาวรณ์

 

 นั่นทำให้เคทลินที่เดินอยู่ข้างหน้าสงสัย ก่อนเฟลิซีจะตัดสินใจกล่าวออกมาในที่สุด

 

“นี่ พวกเราไม่มีเวลาจริงๆหรือ? อย่างน้อยแค่พื้นห้องก็ยังดี ฉันอยากใช้เวลาซาบซึ้งกับมันอีกซักนิด มันอาจไม่หลงเหลืออะไรให้ดูในคราวหน้าก็ได้”

 

 ใบหน้าของนางแสดงถึงความเสียใจอย่างสุดจะกล่าว

 

 ซิลวานถอนหายใจก่อนจะกล่าวตักเตือนในฐานะพี่ชาย

 

“นี่ เฟลิซี”

 

“เธอคิดว่ายังไงฉัตร?”

 

 ทว่าถ้อยคำนั้นกลับโดนเฟลิซีมองข้ามอย่างสิ้นเชิง นางหันไปถามความเห็นของอินกองที่มีทีท่าลังเลเช่นกัน

 

“เวลา 10 วันเรียกได้ว่ามากเกินพออย่างที่เซร่าบอก ผมก็คิดว่ากลับออกไปทั้งอย่างนี้ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายเหมือนเฟลิซีนูนะ”

 

 สถานที่แห่งนี้เป็นถึงรังเก่าของมังกรบรรพกาล

 

 ที่ผ่านมาพวกเขาเดินทางไปยังสถานที่ซึ่งมีเพียงความเกี่ยวข้อง แต่สถานที่นี้เป็นถึงรังของพญามังกร

 

 กรณีวิหารทั่งวัชระกร นั่นเป็นเพียงห้องสมบัติของเอนคิดู ในกรณีของพยานอันเคล พวกเขาไม่ได้แม้แต่เยือนไปยังสถานที่เก็บรักษาโล่ชีวาตม์

 

 แน่นอนว่าคำตอบของอินกองทำให้เฟลิซีดีใจอย่างมีความหวัง

 

“ใช่มั้ย? ฉัตรก็คิดเหมือนกันสินะ? กลับไปทั้งอย่างนี้มันน่าเสียดายสุดๆเลย?”

 

 สังเกตได้อย่างชัดเจนว่าการสนับสนุนจากอินกองทำให้เฟลิซีพยายามโน้มน้าวสมาชิกท่านอื่น ทว่าอินกองก็พูดตัดบทออกมา

 

“แต่ว่านูนะคงไม่ได้แค่จะซาบซึ้งกับที่นี้หรอกใช่มั้ย? ถ้าผมเดาไม่ผิด พวกเราน่าจะสำรวจบริเวณนี้ได้ราวครึ่งนึงแล้ว ไว้มาสำรวจที่เหลือทีหลังก็ได้นิครับ?”

 

 แผนที่ย่อสามารถทำให้อินกองคาดเดาอัตราส่วนได้อย่างคร่าว

 

 แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นความลับของอินกอง แต่จากหลายครั้งที่ผ่านมาทำให้สมาชิกคณะเชื่อใจในตัวเขา

 

“เฟลิซี”

 

 ซิลวานยังคงไม่ลดละความพยายาม แต่ก็เปล่าประโยชน์

 

 เฟลิซีกอดอกส่ายหน้า

 

“เอ่อ อย่างน้อยแค่วันนี้ก็ได้? พวกเรากลับไปหาอมิตาภาตอนกลางคืนก็ยังทัน?”

 

 พวกเขาไม่ได้เดินทางด้วยรถเลื่อน แต่เป็นเรือเหาะ แม้นางจะรู้สึกผิดต่อบรรดาลูกเรือของซิลวาน แต่ความอยากรู้อยากเห็นของนักสำรวจอยู่เหนือกว่า

 

 เฟลิซีจดจ้องอินกองด้วยสายตาอ้อนวอน เดเลียในฐานะทหารคนสนิทก็ส่งสายตาเช่นเดียวกับนาง

 #สายตาปิ๊งๆ ฟรุ้งฟริ้งๆ อ้อนวอนแบบลูกหมาลูกแมว (ノ◕ヮ◕)ノ*:・゚✧

 

 สายตาของทั้งสองจะสำเร็จหรือไม่?

 

 ขณะที่ทั้งหมดต่างเพ่งความสนใจไปยังอินกอง ซิลวานผู้น่าสงสารก็รู้สึกว้าเหว่

 

 ในสถานการณ์นี้ มิใช่ว่าเฟลิซีควรจะขออนุญาตจากตัวเขาผู้เป็นกัปตันเรือเหาะเพลิงมังกรทมิฬหรอกหรือ?

 

 ทำไมคำขอนี้กลับพุ่งเป้าไปยังฉัตร เจ้าชายที่อายุน้อยที่สุดในคณะเดินทาง?

 

 ระหว่างที่ซิลวานยังคงสับสน อินกองก็ตอบออกมาราวกับยอมจำนน

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ”

 

 พวกเขาต้องกลับไปยังวังจอมมารภายในสิบวัน ระยะเวลาเพียงครึ่งวันคงไม่ทำให้การเดินทางล้าช้าเกินกว่าเหตุ

 

 เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ตัวอินกองเองก็สนใจในสถานที่แห่งนี้เช่นกัน

 

 ถึงแม้เขาจะบรรลุเป้าหมายในการครอบครองของวิเศษ แต่การกลับไปเพียงเท่านี้ก็ยังคงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย

 

‘บางทีเราอาจพบข้อมูลอะไรเพิ่มจากที่นี่’

 

 ร่องรอย หรือเอกสารบันทึกเกี่ยวกับชนเผ่าที่สาบสูญ…

 

 รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่จู่โจมเหล่าพญามังกร

 

 แม้ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่มีลำดับความสำคัญมากมาย แต่มันก็อาจเป็นสิ่งจำเป็นในอนาคตได้

 

 คำอนุญาตจากอินกองทำให้เฟลิซีกระโดดโลดเต้นราวกับเด็กน้อยที่ได้ของขวัญ

 

“ไชโย! โอเค! เดเลีย เราไปทางนั้นกัน!”

 

“เฟลิซี!”

 

 เสียงของชายผู้ไม่ละความพยายามดังขึ้น แต่คำตอบรับจากเฟลิซีในครั้งนี้เรียกได้ว่าเลวร้ายกว่าเมินเฉยเสียอีก

 

“อปป้ากลับไปรอที่เรือเหาะก่อนได้มั้ย? อปป้าใช้ห่วงช่วยหายใจในน้ำเป็นใช่มั้ยละ?”

 

 ซิลวานไหล่ตกราวกับหมดแรงจากการถูกแทงจุดสำคัญ

 

“ไม่ ไม่เป็นไร อปป้าจะคอยคุ้มกันให้ลิซซี่เอง”

 

“แบบนั้นก็ได้”

 

 เฟลิซีเดินผิวปากอย่างร่าเริงไปยังบริเวณที่ยังไม่ได้รับการสำรวจคู่กับเดเลีย ระหว่างที่ทั้งหมดเดินตามนางไป คารัคก็หันไปตบไหล่ปลอบซิลวาน

 

“อย่าคิดมากเลยองค์ชาย องค์หญิงก็เป็นแบบนี้แหละ”

 

 แม้น้ำเสียงและถ้อยคำเรียกได้ว่าเป็นความผิดอย่างร้ายแรงในฐานะองครักษ์ แต่ซิลวานก็ไม่ปริปากบ่นอย่างใด

 

 หรือบางทีนี่อาจเป็นสเน่ห์ของพระเอกที่แท้จริง?

 

 นี่ยังคงเป็นเรื่องที่ชวนสงสัยจนถึงตอนนี้

 

&

 

 หลังจากเดินตามเฟลิซีถึงสามชั่วโมง เรียกได้ว่าการสำรวจเป็นผลสำเร็จอย่างมาก

 

 แม้จะไม่มีของวิเศษในระดับเดียวกับฮูกคุ้มภัย ถึงกระนั้นพวกเขาก็ค้นพบสมบัติหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทอง สินแร่ล้ำค่า และข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่มีค่าเหนือสิ่งอื่นใดในสายตาของเฟลิซี

 

 เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับชนเผ่าที่สาบสูญ แต่อินกองก็พึงพอใจในผลลัพท์ ด้วยการชี้นำจากปราชญ์ดาบ ทำให้คณะสำรวจมีเงินทองใช้สอยมากขึ้นทีเดียว

 #คอรัปชั่น นี่มันคอรัปชั่นชัดๆ (╯°益°)╯彡┻━┻

 

 แม้พวกเขาจะมีเงินทองติดตัวอยู่แล้ว แต่การมีทรัพย์สมบัติเพิ่มขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร

 

 พวกเขาพบขั้นบันไดทอดลงไปยังชั้นล่างในส่วนที่ลึกที่สุดของเส้นทาง แม้เฟลิซีจะพยายามร้องโอดครวญแต่พวกเขาไม่สามารถล่าช้าไปมากกว่านี้ได้แล้ว

 

 แม้แต่ซิลวานก็ทำหน้าสลดหดหู่ ถึงไม่รู้เหตุผลแน่ชัด แต่พี่น้องเอลฟ์รัตติกาลคู่นี้ก็ดูน่าเอ็นดูอย่างประหลาด

 

 อินกองนำพวกเขาออกจากรังของไคทีนมาได้ไม่เกินเวลาที่เผื่อไว้

 

“ถอนสมอแล้วลอยลำได้ พวกเราจะกลับไปยังป่าแมงมุม ลมโชย! ท่องนภา, เพลิงมังกรทมิฬ ฮ่าไฮ่!”

 

 เสียงร้องปลุกใจจากซิลวานดังขึ้นทั่วเรือเหาะ อาจจะดูน่าอับอายสำหรับเฟลิซี แต่ซิลวานร้องขึ้นอย่างภาคภูมิ เหล่าลูกเรือต่างทำหน้าที่ตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 ครึ่งวันผ่านไป…

 

 คณะของอินกองก็เดินทางกลับมาถึงป่าแมงมุมยามรุ่งสาง

 

“มาอะไรกันเช้าขนาดนี้ฮะ!”

 

 ดาฟเน่อุ้มอมิตาภาออกมายังบริเวณประตูวัด โดยมีเสียงบ่นอุบอิบเป็นดนตรีประกอบ

 

 คำถามที่ว่า ‘แรคคูนเป็นสัตว์กลางคืนไม่ใช่หรือไง?’ ผุดขึ้นในหัวของอินกอง แต่เขาก็เลือกที่จะปล่อยมันผ่านไป

 

“ใต้ฝ่าพระบาทเพคะ ข้าพระพุทธเจ้านำกำลังเสริมมาแล้วเพคะ”

 

“ยินดีต้อนรับกลับมา ทำดีมาก กัมมะ”

 

 กัมมะยิ้มรับคำชมจากอินกอง แต่นางก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก นั่นเพราะว่าแม้นางจะเดินทางไปขอกำลังเสริม แต่เหตุการณ์ทั้งหมดก็จบลงก่อนที่กำลังเสริมจะมาถึง เมื่อมองแล้วอาจเรียกได้ว่านางไม่ได้ทำประโยชน์อะไร

 

 คารัคส่งสายตาปลอบโยนให้กับนาง นั่นทำให้นางรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

 

 ในจังหวะนี้เองที่สายตาของดาฟเน่หันไปเห็นสิ่งที่บรรทุกอยู่บนเรือเหาะ

 

“นั่นมัน… หรือว่าจะเป็น… มังกร?”

 

 เกล็ดที่ส่องสะท้อนแสง

 

 อมิตาภาหรี่ตาลงพินิจพิเคราะห์ก่อนจะส่ายหน้า

 

“ไม่ใช่ฮะ นั่นคืองูทะเลยักษ์ฮะ เดิมเคยมีผู้พิทักษ์ทะเลสาบหน้าตาแบบนั้น แต่ตอนนี้ก็คงไม่มีแล้วฮะ”

 

 อมิตาภากระดกลิ้น ก่อนจะถามเพิ่ม

 

“แล้วมีเรื่องอะไรกันฮะ? ถึงได้รีบกันมาเช้าขนาดนี้ฮะ?”

 

 การรีบร้อนกลับมาทำให้อมิตาภารับรู้ได้ว่าต้องเกิดเรื่องบางอย่าง

 

 เฟลิซีก้าวเดินออกมาตอบคำถามเจ้าแรคคูน

 

“มีบางอย่างเกิดขึ้นที่วังจอมมารทำให้พวกเราต้องรีบกลับไป นั่นทำให้พวกเรารีบกลับมาทีนี้เพื่อรับตัวกัมมะและดาฟเน่ พวกเราต้องขอโทษด้วย”

 

“ฮะ? กลับวังจอมมารหรือฮะ? แล้วของวิเศษที่สั่งอมิตาภาไว้ละฮะ?”

 

 อุปกรณ์ทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนการเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่มีอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน

 

 คารัคกระพริบตาถามอย่างสงสัย

 

“หืม นี่แรคคูน แกไม่มีบริการส่งสินค้าหรอกหรือ?”

 

“จะบ้ารึเปล่าฮะ! อมิตาภาไม่อาจตรัสรู้ว่าจะมารับของกันเมื่อไรหรอกนะฮะ และอมิตาภาก็ไม่คิดจะส่งสินค้าอะไรนั่นด้วยฮะ”

 

 อมิตาภาเป็นถึงช่างฝีมืออันดับหนึ่ง บริการส่งสินค้าเรียกได้ว่าเป็นเรื่องตลกขบขัน

 

 คารัคยิ้มออกมาราวกับทั้งหมดเป็นไปตามแผนที่วางไว้

 

“ถ้าอย่างนั้นก็มากับพวกเราสิ?”

 

“ฮะ?”

 

“แกบอกว่าต้องคอยปกป้องแสงสุดท้ายใช่มั้ย? แทนที่จะมาหลบอุดอู้อยู่ในที่แบบนี้สู้ไปกับพวกเราซะจะดีกว่า ไม่มีที่ปลอดภัยมากไปกว่าวังจอมมารอีกแล้ว”

 

 คารัคแอบส่งสายตาให้ดาฟเน่ระหว่างที่พูด นางเข้าใจและรีบพูดเสริมในทันที

 

“เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย อมิตาภาไม่คิดจะมากับพวกเราหรือ”

 

“บ้าบอที่สุดฮะ! เป็นไปไม่ได้หรอกฮะ! นี่พูดเรื่องอะไรกันอยู่ฮะ?”

 

 อมิตาภาหรี่ตาอย่างไม่ชอบใจพลางบ่นโวยวาย แต่ดาฟเน่ที่อยู่กับเจ้าแรคคูนมาได้สองวันกลับแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยและกล่าวออกมาอย่างผิดหวัง

 

“ฉันอยากอยู่กับอมิตาภานานกว่านี้ แต่เหมือนอมิตาภาจะไม่ต้องการสินะ?”

 

 นี่เป็นการล่อลวงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ได้ผลเกินคาด

 

 อินกองและซิลวานมองไปยังอมิตาภาอย่างคาดหวัง และผลลัพท์ก็ไม่ต่างจากที่คิด

 

“เอ่อ เรื่องนั้น… ”

 

 กลยุทธเกือบจะลุล่วงแล้ว เหลือเพียงต้องกระตุ้นอีกเล็กน้อย เฟลิซีรีบพูดเสริมต่อ

 

“ฉันก็อยากอยู่กับอมิตาภาอีกซักพักเหมือนกัน เคทลินละว่าไง?”

 

“ใช่แล้วนั่น… อมิตาภาสุดยอดมาก!”

 

 คำว่า ‘สุดยอด’ ของเคทลินแสดงผลออกมาแทบจะทันที อมิตาภากอดอกใช้ความคิดอย่างลังเล

 

 ทว่าความดื้อรั้นของอมิตาภาไม่สามารถถูกทำลายลงได้ง่าย อมิตาภาตัดใจกระโดดลงจากอ้อมกอดของดาฟเน่

 

“ไม่ฮะ! อมิตาภาจะไม่ยอมโดนหลอกอีกแล้วฮะ!”

 

 ท่าทีที่แสดงถึงความเด็ดขาด เมื่อแผนการไม่สำเร็จดาฟเน่จึงดึงเอาแผนสำรองออกมาใช้

 

“เหมือนอมิตาภาเคยบอกว่าอยากจะปรับแต่งของวิเศษขององค์ชายเก้าใช่มั้ย?”

 

“หืม? พูดเรื่องอะไรหรือดาฟเน่?”

 

 อินกองถามขึ้นอย่างประหลาดใจ ดาฟเน่พูอธิบายต่อ

 

“ของวิเศษเหล่านี้ล้วนอยู่ในสภาพดี แต่มันยังไม่ได้รับการปรับแต่งให้ตรงกับผู้ใช้เพคะ อมิตาภาเคยกล่าวไว้ว่าต้องการจะปรับแต่งของวิเศษเหล่านี้เพคะ”

 

 แน่นอนว่าของวิเศษที่ดาฟเน่กล่าวถึงคือมรดกที่สืบทอดจากพญามังกร

 

 อินกองรีบหันไปมองอมิตาภาทันที

 

“อมิตาภา?”

 

“ไม่ฮะ! อย่าพยายามเลยฮะ!”

 

 การปรับแต่งของวิเศษจากพญามังกรเรียกได้ว่าเป็นข้อเสนออันน่าเย้ายวนสำหรับช่างฝีมือ

 

 อินกองจ้องมองอมิตาภาสักครู่ก่อนจะกล่าวออกมา

 

“รอตรงนี้สักครู่นะ”

 

 อินกองเดินเข้าไปในวัด เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง

 

 ทันทีที่อินกองเดินกลับออกมา อมิตาภาก็กระโดดโวยวาย ใบหน้าของเจ้าแรคคูนดูประหลาดใจพลางมองไปยังภายในวัด

 

“ฮึก? อะไรนะฮะ?”

 

 แน่นอนว่าไม่มีเสียงตอบรับจากผู้ใด ทว่าเหมือนอมิมตาภาได้รับคำตอบจากบางสิ่ง มันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะมองไปยังอินกองอย่างโกรธแค้น

 

“แก! แกเข้าไปทำอะไรกับแสงสุดท้าย? ทำไมแสงสุดท้ายถึงบอกให้อมิตาภาติดตามแก?”

 

 อมิตาภาใช้หางฟาดพื้นอย่างรุนแรงกว่าที่ผ่านมา

 

 อินกองหัวเราะอย่างสบายใจก่อนแล้วถามกลับ

 

“ตกลง อมิตาภาจะมากับพวกเราไหม?”

 

“ไอ้… เฮ้อ… ช่วยไม่ได้ฮะ”

 

 หรือก็คือเป็นคำสั่งจากแสงสุดท้าย

 

 ภายนอกอาจดูผิวเผินว่าเป็นผู้ติดตาม แต่แท้จริงแล้วเรียกได้ว่าอมิตาภาเป็นสาวกของแสงสุดท้าย ผู้เคารพบูชาแสงสุดท้าย

 

 อมิตาภาถอนหายใจออกมาอย่างยาวนาน

 

“ต้องเตรียมการเพื่อเคลื่อนย้ายแสงสุดท้ายอีกสักพักเลยฮะ การถอนรากยังไม่สำเร็จดีนัก กว่าจะเดินทางได้คงราวเที่ยววันฮะ”

 

“เข้าใจแล้ว ถือเป็นเวลาที่ให้เหล่าลูกเรือพักผ่อนไปด้วยเลยละกัน”

 

 พวกลูกเรือต่างควบคุมเรือเหาะมาทั้งคืน ทำให้ยังไม่มีใครได้พักผ่อน เวลาจนถึงเที่ยงวันเรียกได้ว่าประจวบเหมาะ

 

 หลังจากที่ทั้งหมดตกลงกันเรียบร้อย ซิลวานก็ก้าวเข้าหาอมิตาภา เขารับรู้ว่าสมาชิกต่างได้รับของวิเศษตนละชิ้น

 

“ขอประทานโทษนะครับอมิตาภา กระผมก็… ”

 

“ฮะ? ทำไม? หือ? มีอะไรรึไง?”

 

 ความโกรธของอมิตาภาปะทุขึ้นอีกครั้งและนั่นทำให้ซิลวานก้าวถอยในทันที

 

“อ่า ไม่มีอะไรครับ”

 

 อมิตาภาเป็นถึงสหายของปราชญ์ดาบ นั่นทำให้ซิลวานเคารพยำเกรง

 

“ร่าเริงเข้าไว้”

 

 คารัคตบไหล่ซิลวานอีกครั้ง และซิลวานก็พยักหน้ารับอย่างยอมแพ้

 

&

 

 เมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน…

 

 ทั้งหมดเตรียมตัวกันเรียบร้อย อมิตาภาเดินออกมาด้านนอกวัดพลางใช้หางตบพื้น

 

“ห้ามหัวเราะฮะ! ห้ามเด็ดขาดเลยฮะ!”

 

 อมิตาภาแบกกล่องไม้ไว้บนหลังราวกับกระเป๋าสะพาย มีอักขระบางอย่างสลักเอาไว้แต่มันกลับเพิ่มความน่ารักให้กับเจ้าแรคคูน

 

“แรคคูนสะพายกระเป๋าน่ารักที่สุด”

 

 เคทลินพูดโพล่งขึ้น แน่นอนว่าสมาชิกต่างพยักหน้าเห็นด้วย

 

 อินกองพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้พลางถาม

 

“อมิตาภา แสงสุดท้ายอยู่ในกล่องนั่นสินะ?”

 

“ถูกต้องฮะ เพราะงั้นคุ้มกันอมิตาภาดีๆด้วยฮะ”

 

 อมิตาภาพูดจบก็กระโดดขึ้นเรือเหาะในทันที

 

 สมาชิกทั้งหมดกล่าวอำลาคาฟร่าแล้วออกเดินทาง

 

 เพลิงมังกรทมิฬกางใบเรือขึ้นแล้วลอยลำ หลังจากปลอบอมิตาภาที่ยังคงโวยวายอย่างไม่ชอบใจ เฟลิซีก็เดินเข้าไปถามไถ่ซิลวาน

 

 แม้การแสดงออกของนางจะบ่งบอกอีกอย่าง แท้จริงทั้งเฟลิซีและซิลวานต่างรักใคร่สนิทสนมกันดี ผู้อื่นอาจจะเห็นซิลวานดูปกติแต่นางรับรู้ได้ว่าซิลวานดูผิดแปลกไป

 

“ซิลวาน ท่าทางแบบนั้นหมายความว่าไง?”

 

 ซิลวานพยายามกลบเกลื่อนแต่ก็ไม่เป็นผล เขามองไปยังสถานที่อันห่างไกลพร้อมยิ้มแห้งแห้งออกมา

 

“เดี๋ยวเราก็คงได้เจอกับคริสต์แล้ว”

 

 เป็นการพบหน้ากันของทั้งสองหลังจากที่ห่างกันมาหลายปี

 

 เพลิงมังกรทมิฬล่องลอยไปในท้องฟ้า จุดหมายก็คือพระราชวังของเหล่าไลแคนโทรป

 

 แผ่นดินของราชินีเอเลน มูนไลท์ และเจ้าชายลำดับที่เจ็ดคริสต์ มูนไลท์

 

 

Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก

Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก

Status: Ongoing
จู-อินกอง เกมเมอร์หนุ่มผู้กำลังกระดี้กระด้าเนื่องจากเกมโปรดของเขาได้รับการนำกลับมาทำใหม่ให้ไฉไลยิ่งกว่าเดิมด้วยเทคโนโลยี VR  แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้เขาหลุดเข้ามาเผชิญกับเรื่องต่างๆ ราวกับเข้ามาอยู่ในเกมโปรดที่ว่า เคราะห์ซ้ำกรรมซัดบทบาทของเขาดันเป็นตัวประกอบกระจ้อยร่อยที่จะถูกฆ่าตายกลางเกม  จู-อินกองจึงต้องใช้ประสบการณ์เกมที่เขาสั่งสมเอาไว้หาหนทางเอาตัวรอดจากความตายที่กำลังมาเยือน โดยหารู้ไม่ว่าเขามิเพียงกำลังเปลื่ยนโชคชะตาตัวเอง แต่ยังรวมไปถึงชะตาตัวละครรอบข้างและโลกทั้งใบ  นี่คือเรื่องราวของจู-อินกอง ผู้เป็นพระเอกของโลกใบนี้(?)

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท