Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก – ตอนที่ 105

Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก

 

 

“หยุดก่อน หยุดเลย! ห้ามเข้ามานะฮะ! ห้ามพูดอะไรด้วยฮะ! องค์ชายพาพวกนี้เข้ามาทำไมฮะ? คุยกันไว้ว่าเป็นความลับนิฮะ! แบบนี้นอกเหนือข้อตกลงนี่ฮะ!”

 

 อมิตาภาใช้หางทุบพื้นอย่างเกรี้ยวกราด

 

 เกรี้ยวกราดยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

 

 ถึงกระนั้นสมาชิกทั้งหมดก็เมินเฉยต่อการกระทำของเจ้าแรคคูนเช่นเคย

 

“แรคคูนใส่แว่นน่ารักที่สุดเลยย!”

 

 เคทลินพูดพลางยิ้มแก้มแทบปริ

 

 ภาพตรงหน้าทำให้นางตาโตเป็นประกาย

 

 นอกเหนือจากแว่นวงกลมที่อมิตาภาใส่อยู่แล้ว เจ้าแรคคูนยังนั่งบนพื้นถักลวดลายลงบนผืนผ้าที่ดาฟเน่ถืออยู่

 

“เจ้าแรคคูน นี่แกกำลังทำอะไรอยู่?”

 

 คารัคถามคำถามที่สมาชิกทั้งหมดสงสัยอยู่ออกมา นั่นเรียกเสียงทุบพื้นจากอมิตาภาได้อีกครั้ง

 

“เห็นแล้วยังไม่เข้าใจอีกหรอฮะ? อมิตาภากำลังถักลายอยู่ไงฮะ!”

 

 เส้นด้ายหลากสีสนเข็ม ผืนผ้าสีเขียวที่ดูเข้ากับดาฟเน่ ทว่ามีเพียงเฟลิซีเท่านั้นที่แสดงอาการประหลาดใจออกมา

 

 นั่นเพราะลวดลายเหล่านี้มิได้มีเพื่อความสวยงามแต่เป็นอาคมซับซ้อนระดับสูง

 

 ทว่าว่าสิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือมือแรคคูนน้อยที่กำลังจับเข็ม

 

“น่ารักที่สุดดดด!”

 

 เคทลินร้องขึ้นอีกครั้ง ทั้งเดเลียและเซร่าต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

 

“อิชย์! องค์ชายพาเจ้านี้มาทำไมฮะ?! ส่วนแก! ห้ามยิ้มห้ามหัวเราะทั้งนั้น! สีหน้าแบบนั้นมันน่าหงุดหงิดชะมัด!”

 

 อมิตาภาร้องอย่างไม่พอใจพลางชูมือที่ถือเข็มชี้ไปยังปราชญ์ดาบ คุณลุงผู้ที่กำลังหัวเราะชี้มาทางเจ้าแรคคูนเช่นกัน

 

“อมิตาภาใส่สร้อยที่ดูแปลกตาเสียจริง เจ้าเปลี่ยนอาชีพเป็นสัตว์เลี้ยงไปแล้วหรือกระไร?”

 

 ปลอกคอแสดงให้เห็นว่าสัตว์ที่สวมมันอยู่มีเจ้าของ แม้อมิตาภาจะสวมมันเพื่อตบตามิให้เป็นที่สังเกต อย่างไรเสียปลอกคอก็คือปลอกคอ

 

“ไม่! นี่มันเป็นแฟชั่น! แฟชั่น!”

 

 อมิตาภากระโดดขึ้นกล่าวอ้าง นั่นทำให้ปราชญ์ดาบหัวเราะยิ่งขึ้นกว่าเดิม ดาฟเน่เข้ากอดเจ้าแรคคูน

 

“ไม่เป็นไรหรอกอมิตาภา มันเข้ากับเธอมาก”

 

“โอ้… ”

 

 ถ้อยคำปลอบโยนที่กลับมิได้ปลอบโยน อมิตาภาไหล่ตกหลังจากได้ยินว่าปลอกคอดูเหมาะสมกับตัว เจ้าแรคคูนส่งเสียงตอบกลับมาอย่างเหนื่อยอ่อน

 

“แล้วตกลงพาตาลุงนี่เข้ามาทำไมฮะ? อมิตาภาคุยให้เก็บเป็นความลับแล้วนิฮะ”

 

 เมื่อหมดข้อโต้แย้ง อมิตาภาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่อินกอง แต่ปราชญ์ดาบก็พูดตอบแทรกขึ้น

 

“ข้าขอให้เจ้าชายชวนเอง เมื่อได้ข่าวว่าเจ้าชายฉัตรกลับมาพร้อมกับสัตว์เลี้ยงแรคคูน ข้าก็คิดว่าบางทีอาจะเป็นอมิตาภา”

 

 คณะของอินกองไม่มีสัตว์เลี้ยงดังกล่าวเมื่อตอนปราสาทธันเดอร์ดูม นั่นทำให้ปราชญ์ดาบค่อนข้างมั่นใจว่าต้องเป็นอมิตาภาอย่างมิผิดเพี้ยน

 

“ยังไงเสียนี่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ ถึงข้าจะบอกสถานที่ของเจ้าไป แต่ข้าก็ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะยอมรับคำขอ และถึงขั้นตามกลับมายังวังหลวง”

 

“เรื่องมันยาวนะ ค่อนข้างยาว… ”

 

 อมิตาภาถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้ในที่สุด

 

 เฟลิซีมองชำเลืองไปยังผ้าที่อมิตาภากำลังถักลวดลายก่อนจะถามขึ้นอย่างระวัง

 

“นี่อมิตาภา เธอทำไปถึงไหนแล้ว?”

 

“ฮะ? อย่าถามฮะ! ที่อมิตาภาเกลียดที่สุดก็คือพวกชอบเร่งงานฮะ!”

 

 อมิตาภาส่ายแขนขาตีโพยตีพายภายใต้อ้อมกอดของดาฟเน่ ทำให้เฟลิซีรีบพูดอธิบาย

 

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดเร่ง แค่สัปดาห์นี้ซิลวานต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่างไปจากพวกเรา ฉันอยากให้เขาได้อาวุธใหม่ก่อนหน้านั้น”

 

“ลิซซี่”

 

 ซิลวานหันมองน้องสาวอย่างน้ำตาคลอ เฟลิซีพลักเขาให้ออกห่างแล้วถามอมิตาภาต่อ

 

“พอจะทันไหม?”

 

 สายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง อมิตาภายอมจำนนก่อนจะส่ายหน้า

 

“อมิตาภาวาดแบบร่างเสร็จเรียบร้อยฮะ แต่ยังไม่ได้เริ่มสร้างจริงจังฮะ ท่าเร่งตีดาบก็พอได้ แต่ว่า… ”

 

 อมิตาภาชำเลืองมองสองพี่น้องก่อนจะถอนหายใจอีกครั้ง นั่นเพราะคำพูดของเฟลิซีทำให้ซิลวานแสดงท่าทีคาดหวังออกมา

 

“ยังไงซะอมิตาภาก็เบื่องานชุดป้องกันฮะ แต่รูปร่างภายนอกอาจจะเรียบง่ายหน่อยฮะ คงคล้ายๆดาบของอิชย์ฮะ”

 

 อมิตาภาตอบพลางมองไปยังดาบที่ห้อยอยู่ที่เอวของปราชญ์ดาบ

 

“เรียบง่ายนี่หละเจ๋งที่สุด”

 

 อินกองได้เห็นปราชญ์ดาบแสดงฝีมือที่ปราสาทธันเดอร์ดูม ตัวดาบไร้ซึ่งการประดับตกแต่งใดใด ด้ามจับเป็นเพียงแผ่นไม้ประกบ ฝักดาบก็มีต่างกัน

 

 นั่นกลับทำให้ซิลวานพอใจมาก

 

“ขอบคุณมาก เราจะรอคอยอย่างจดจ่อ”

 

 คล้ายกับดาบของปราชญ์ดาบคือเหตุผลที่ทำให้ซิลวานตื้นตัน ไม่มีข้อเสนอใดจะดีไปมากกว่านี้

 

 หลังจากอมิตาภารับคำ เฟลิซีก็หันไปทางเคทลินกับอินกองพลางก้มหัวขอคมา

 

“ฉัตร เคทลิน ฉันต้องขอโทษด้วย แต่ว่า… ”

 

“ไม่เป็นไรครับนูนะ ผมเข้าใจ”

 

“เช่นกันค่ะออนนี่”

 

 ทั้งสองต่างตอบกลับอย่างไม่เป็นปัญหา

 

 เคทลินชื่นชอบจิตใจอันงดงามของพี่สาว ส่วนอินกอง… หลายรายการเป็นของอินกอง

 

‘แล้วก็… ยังไงซะเราก็จะพาอมิตาภาไปด้วย’

 

 จุดหมายปลายทางของซิลวานต่างออกไป การเร่งทำอุปกรณ์ของซิลวานก่อนจึงดูสมเหตุสมผล

 

“เอ่อ ทำไมจู่ๆอมิตาภาก็รู้สึกหนาวขึ้นมาฮะ”

 

 ราวกับได้ยินความคิดของอินกอง เจ้าแรคคูนทาสสั่นเทาขึ้นมาอย่างกระทันหัน

 

“จะว่าไปแล้ว นี่จะเดินทางกันอีกครั้งในสัปดาห์นี่หรอฮะ?”

 

“ใช่แล้ว มีภารกิจมอบหมายใหม่มา”

 

 เฟลิซีตอบคำถาม อมิตาภาหรี่ตาลงก่อนหันไปทางอินกอง

 

“เอ่อ… องค์ชายส่งพสุธากัมปนาทกับโล่ชีวาตม์มาหน่อยฮะ อมิตาภาจะรีบปรับแต่งสองอย่างนี้ฮะ อมิตาภาต้องเร่งมือแล้วฮะ”

 

“จะเสร็จทันหรือ?”

 

“อมิตาภาต้องดูก่อนฮะ เพราะนี่ไม่ได้สร้างใหม่แต่เป็นแค่การปรับแต่งฮะ”

 

 ทั้งพสุธากัมปนาทและโล่ไวท์อีเกิ้ลต่างเรียกได้ว่าเป็นอาวุธหลักของอินกอง ช่วงเวลาที่ไม่สามารถใช้ของวิเศษทั้งสองได้ย่อมเป็นข้อเสียเปรียบ การปรับแต่งของวิเศษทั้งสองจึงควรเป็นในระหว่างที่พวกเขามีเวลาและอยู่ในที่ปลอดภัย

 

“หืม เป็นเรื่องดีที่ได้เจอเจ้าอีกครั้ง ข้าคงไม่ได้แวะมาวังหลวงบ่อยนัก ไว้มาคราวหน้าข้าจะแวะมาเยี่ยม”

 

 ปราชญ์ดาบกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ อมิตาภารีบโบกปัดอย่างไม่ชอบใจ

 

“แกมาก็ก่อกวนอมิตาภา ไม่ต้องมาเลย ห้ามมา! ห้ามหัวเราะด้วย!”

 

“อมิตาภา”

 

 ดาฟเน่พูดปลอบเจ้าแรคคูนอย่างอ่อนโยน ปฏิกิริยาของเจ้าแรคคูนบ่งบอกว่ามันได้ผลอย่างมาก

 # ดาฟเน่ used ปลอบประโลม

# It’s super effective!

 

“จะว่าไปแล้ว อมิตาภามีบางอย่างให้ดูฮะ เพิ่งทำเสร็จไม่กี่วันเองฮะ ทำรายการเสร็จนี่มันรู้สึกดีมากฮะ”

 

“โอ้ มันคืออะไร?”

 

 คารัคถามอมิตาภาตามบรรยากาศ

 

“โล่ของแก เป็นรายการขององค์ชายก็จริง แต่คนที่ใช้คือแก!”

 

“โอ้ว!”

 

“ตามมาที่เตาหลอมเลย”

 

 อมิตาภากระโดดออกจากอ้อมอกของดาฟเน่เดินออกจากห้อง คารัคหันมามองอินกองขออนุญาตก่อนเขาจะผงกหัว

 

 จากนั้นคารัคก็เดินตามอมิตาภาไป ปราชญ์ดาบที่มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยร้อยยิ้มพูดขึ้นอีกครั้ง

 

“แบบนี้อมิตาภาก็มีเพื่อนเพิ่มขึ้นสินะ องค์ชายทำได้ดีมาก”

 

“ทั้งหมดเป็นเพราะความกรุณาของปราชญ์ดาบ”

 

“ไม่ว่าใครก็สามารถได้รับจดหมายแนะนำได้ แต่มิใช่ทุกคนที่อมิตาภาจะยอมรับ อย่าถ่อมตัวไปเลย”

 

 คุณลุงผู้อาวุโสกล่าวขึ้น เฟลิซียกมือขึ้นพูดถาม

 

“ฮาราบอจี่ เรื่องวันนี้มันยังไงกันแน่? พอจะมีข้อมูลศัตรูเพิ่มเติมไหมคะ?”

 

“ข้าได้ยินมามากและบรรยากาศในวังหลวงก็ไม่เป็นมิตรเสียเลย ถึงจอมมารจะไม่ว่าที่ทายาทแข่งขันกันเอง แต่ก็ไม่ควรถึงขั้นทำร้ายกัน เอาเป็นว่าการที่ข้าพบองค์ชายเก้าก่อนถือเป็นเรื่องดี”

 

 อย่างที่เฟลิซีคาดการณ์ไว้ ปราชญ์ดาบทำทั้งหมดไปเพื่อปกป้องฉัตร

 

 ที่สำคัญคือคำพูดของปราชญ์ดาบทั้งหมดเป็นเรื่องจริง

 

 กระทั่งในเกมก็ไม่มีเหตุการณ์ที่ทายาททำร้ายกันเองแต่อย่างใด นั่นเพราะจอมมารเกลียดชังเรื่องเหล่านี้ ผู้ใดที่ข้ามเส้นจุดยืนนี้ไปจะพบกับความพิโรธของจอมมารมิตร

 

 จากนั้นปราชญ์ดาบก็ตอบคำถามของเฟลิซีต่อ

 

“ส่วนพวกศัตรู… แจกจ่ายข้อมูลเหล่านั้นเป็นหน้าที่ของกระทรวงเกียรติยศ ไม่มีข้อยกเว้นอย่างข้อมูลลับอะไรทั้งสิ้น”

 

 หลังจากกลับจากที่ประชุมสภา คณะของอินกองก็เดินทางกลับมายังคฤหาสน์ทันที พวกเขายังมิได้แวะไปตรวจสอบข้อมูลของศัตรู

 

 ปราชญ์ดาบกล่าวเสริม

 

“ข้าจะบอกแค่ว่า มีศัตรูในระดับมือหอกที่ปราสาทธันเดอร์ดูม แต่ยังไม่พบข้อมูลของศัตรูในระดับนั้น”

 

 วังจอมมารได้มอบหมายแจกจ่ายภารกิจให้เหล่าทายาท

 

 ทั้งหมดทำเพื่อกระจายกำลังเข้าป้องกันแต่ละท้องที่

 

 แต่เมื่อลองถอยมาสักก้าวแล้วมองภาพรวมอีกครั้ง อินกองก็พบว่านั่นมิใช่ความจริงทั้งหมด ทางวังมอบหมายกระจายเหล่าทายาทเพราะรู้ว่าศัตรูกลุ่มไอพลังสีม่วงอาจเข้าโจมตี

 

 การกระจายเหล่าทายาทไปตามจุดทำให้บริเวณเหล่านั้นมั่นคงขึ้น เป็นการทำลายความคิดเข้าจู่โจมบริเวณที่ว่า

 

 แน่นอนว่าบริเวณที่เหล่าทายาทถูกส่งตัวล้วนเป็นพื้นที่สำคัญ

 

 แผนการก็คือให้เหล่าทายาทคุ้มกันพื้นที่เหล่านี้ พลางสืบเสาะเบาะแสไอพลังสีม่วงไปในตัว

 

 คำอธิบายจากปราชญ์ดาบทำให้อินกองหวนนึกถึงสีหน้าของแซเฟียร์

 

 บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าเขาต้องไปการไปยังเอเวียง

 

 เป้าหมายในตอนนี้ของอินกองคือการต่อกรอาชาแห่งทุพภิกขภัยกับอาชาแห่งอาสัญ ทว่าเมื่อกล่าวถึงเป้าหมายหลักแล้ว ศัตรูที่แท้จริงย่อมเป็นแซเฟียร์

 

‘เราต้องเร่งมือแล้ว’

 

 เขาต้องรีบเกณฑ์ตัวนาตาช่า และสั่งสมอิทธิพลเพื่อขึ้นสู่บัลลังค์จอมมาร

 

‘เราต้องเข้าหอสมุด ระดับเกียรติยศของเราตอนนี้ไม่รู้ว่าจะหาข้อมูลได้มากน้อยแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่มีข้อมูลเลย’

 

 นี่เป็นอีกหนึ่งการเตรียมการต่อกรอาชาแห่งอาสัญ

 

 ข้อมูลของอาณัติ รณการ ทุพภิกขภัย และอาสัญที่เข้าปะทะกับเหล่ามังกรบรรพกาล

 

 ข้อมูลเกี่ยวกับชนเผ่าสาบสูญ

 

 จุดประสงค์แท้จริงที่อาชาแห่งอาสัญบุกทำลายผู้พิทักษ์

 

 ที่มาของแรงเกลียดชังอันมหาศาลจากทุพภิกขภัยและอาสัญที่มีต่ออาณัติ

 

 การตายของพยานอันเคลเมื่อราวหนึ่งพันปีที่แล้ว…

 

 มีข้อมูลมากมายกระจายตัว มันต้องมีบางอย่างที่ช่วยให้เขาสามารถเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านี้ได้

 

 ระหว่างที่อินกองยังคงใช้ความคิด อมิตาภาและคารัคก็กลับมา

 

“ดูนี่สิองค์ชาย ยอดเยี่ยมไปเลยใช่ไหม?”

 

 คารัคโอ้อวดโล่อย่างตื่นเต้น โล่ทรงเพชรสีดำ สร้างจากเกล็ดและหนังมังกรเป็นหลัก

 

“อาจให้ความรู้สึกหยาบไปนิดนะฮะ แต่มั่นใจได้เลยว่าทนทานแน่นอนฮะ”

 

 อมิตาภากล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิ

 

 อินกองถามคารัค

 

“ขอผมลองถือมันซักหน่อยสิ?”

 

“เอ้านี่”

 

 คารัคส่งมอบโล่ให้อินกอง นอกจากรูปร่างที่ดูหยาบกระด้างแล้ว มันยังเรียกได้ว่าค่อนข้างหนักพอสมควร

 

 ระหว่างที่อินกองมองสำรวจโล่ที่ว่า ข้อความแสดงสถานะของโล่ก็ผุดขึ้นมาให้เห็น

 

[พละกำลังเพิ้มขึ้น 5]

[ความทนทานเพิ่มขึ้น 5]

[ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 5]

[คุณได้เรียนรู้ทักษะพิเศษ รวมร่าง]

 

“ฮะ? รวมร่าง?”

 

 อินกองพึมพำขึ้น นั่นทำให้อมิตาภาตาลุกโชน

 

“สายตาไม่เลวเลยฮะ องค์ชายเห็นสินะฮะ?”

 

“หา? คืออะไรกัน? รวมร่าง?”

 

 คารัคถามตาโต สีหน้าของมันทำให้อมิตาภาหัวเราะออกมา

 

“ยังมีชิ้นส่วนเพิ่มเติมอีกฮะ ชิ้นส่วนเหล่านี้สามารถเข้าประกอบกับโล่นี่ได้ฮะ”

 

“ชิ้นส่วนเพิ่มเติม?”

 

“องค์ชายส่งโล่คืนให้เจ้าออร์คก่อนฮะ ออร์คระหัสคือ ‘คาลโตส’ ”

 

 อินกองส่งโล่คืนให้คารัคตามที่อมิตาภาบอก เจ้าออร์คมองดูโล่ในมือขวาอย่างลังเลก่อนจะพูดระหัสคำออกมา

 

“คาลโตส!”

 

 ทันทีที่สิ้นคำ มีเสียงดังขึ้นจากอีกห้องหนึ่ง เสียงราวกับบางอย่างพยายามดิ้น

 

 อินกอง ซิลวาน และคริสต์ต่างหันไปยังต้นตอของเสียง ปราชญ์ดาบยกมือขึ้นห้ามทั้งสามเอาไว้ ไม่นานนักที่มาของเสียงก็เผยตัวขึ้น

 

“โอ้! โอ้ววว!”

 

 ชิ้นส่วนเพิ่มเติมต่างลอยเข้ามาประกอบเข้ากับโล่ที่คารัคถืออยู่

 

 เมื่อนับรวมชิ้นส่วนเหล่านี้แล้ว ขนาดของโล่เรียกได้ว่าใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า ราวกับบานประตูของปราสาท

 

“โล่นี่ลงอาคมสะท้อนเวทเอาไว้และยังเพิ่มพลังป้องกันขึ้นด้วยฮะ ถ้าคำนึงถึงพลังป้องกันเพียงอย่างเดียว โล่นี้มีมากกว่าโล่ชีวาตม์อีกฮะ ส่วนวิธีพกพาชิ้นส่วนอมิตาภาก็คิดไว้แล้วฮะ อย่าห่วงฮะ”

 

 อมิตาภาเชิดคางขึ้นอย่างมั่นใจ ก่อนเสียงโอดครวญของกรีนวินด์จะดังขึ้นข้างหูของอินกอง

 

‘ไม่นะ บทบาทของข้า… ’

 

 อินกองหัวเราะพลางถามอมิตาภา

 

“แล้วพอจะปรับแต่งไวท์อีเกิ้ลได้ไหม?”

 

“เป็นการท้าทายที่น่าสนใจมากฮะ”

 

 อุปกรณ์วิเศษจากพญามังกร

 

 กรีนวินด์ถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากที่อมิตาภาตอบถึงความเป็นไปได้ นอกจากนี้โล่ตรงหน้ายังเพิ่มความคาดหวังให้กับสมาชิกตนอื่น

 

 ณ เวลานั้นเอง…

 

 มีเสียงกริ่งดังขึ้นพร้อมกับฟลอร่าที่ก้าวเข้ามา ใบหน้าตื่นเต้นของสมาชิกทั้งหมดสร้างความประหลาดใจให้นางเล็กน้อย แต่นางก็เปลี่ยนสีหน้ากลับมาได้อย่างรวดเร็วสมเป็นมืออาชีพ

 

“มีสาส์นจากพระองค์เจ้าไบคาลมอบถึงใต้ฝ่าพระบาทเพคะ”

 

“จากไบคาลออราเบียวนิ?”

 

 ฟลอร่าเมินเฉยต่อคำถามจากเฟลิซีพลางยื่นมอบจดหมายให้กับอินกอง

 

 ทุกสายตาจดจ้องยังจดหมายปริศนาจากเจ้าชายลำดับที่หนึ่งไบคาล แร็กนารอส

 

 

 

Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก

Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก

Status: Ongoing
จู-อินกอง เกมเมอร์หนุ่มผู้กำลังกระดี้กระด้าเนื่องจากเกมโปรดของเขาได้รับการนำกลับมาทำใหม่ให้ไฉไลยิ่งกว่าเดิมด้วยเทคโนโลยี VR  แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้เขาหลุดเข้ามาเผชิญกับเรื่องต่างๆ ราวกับเข้ามาอยู่ในเกมโปรดที่ว่า เคราะห์ซ้ำกรรมซัดบทบาทของเขาดันเป็นตัวประกอบกระจ้อยร่อยที่จะถูกฆ่าตายกลางเกม  จู-อินกองจึงต้องใช้ประสบการณ์เกมที่เขาสั่งสมเอาไว้หาหนทางเอาตัวรอดจากความตายที่กำลังมาเยือน โดยหารู้ไม่ว่าเขามิเพียงกำลังเปลื่ยนโชคชะตาตัวเอง แต่ยังรวมไปถึงชะตาตัวละครรอบข้างและโลกทั้งใบ  นี่คือเรื่องราวของจู-อินกอง ผู้เป็นพระเอกของโลกใบนี้(?)

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท