Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก – ตอนที่ 107

Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก

 

 

 การจัดงานเลี้ยงน้ำชาเป็นเรื่องปกติในกลุ่มชนชั้นผู้ดี

 

 เมื่ออ้างอิงจากในเกม ตัวละครพระเอกอย่างแซเฟียร์จัดงานเลี้ยงน้ำชาของตน และตอบรับคำเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงของผู้อื่นอยู่บ่อยครั้ง

 

 จุดประสงค์ของงานเลี้ยงน้ำชาคือเพื่อพบปะสังสรรค์ในลักษณะเป็นกันเองและผ่อนคลาย ต่างไปจากงานพิธีการอย่างการประชุมสภา งานเลี้ยงน้ำชาอาจไม่ใหญ่โตแต่ก็สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า

 

 บทบาทหลักของงานเลี้ยงน้ำชาคือการรวบรวมแลกเปลี่ยนข้อมูล ค้นหาบุคลากร รักษาชื่อเสียงเรียงนาม จนบางครั้งก็มีการแสดงละครในงานด้วย

 

‘แต่เสียงอย่าง “ฮ่าฮ่า” ไม่ก็ “โฮ่โฮ่” ระหว่างงาน… ดูไม่ค่อยจะเป็นกันเองซะเท่าไร’

 

 แม้จะไม่ใช่พิธีการใหญ่โต อินกองก็แต่งตัวด้วยชุดสูทภูมิฐาน เขาก้าวขึ้นรถพาหนะที่ฟลอร่าจัดเตรียมมาให้ ภายในมีเฟลิซี ซิลวาน เคทลิน และคริสต์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว พวกเขาตัดสินใจเข้าร่วมงานด้วยกันเพื่อแสดงให้เห็นถึงความปรองดองของฝ่าย

 

 ชุดสีขาวที่ตัดกับสีผิวของเฟลิซีทำให้นางดูโดดเด่น ในบรรดาสมาชิกทั้งหมดนางเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับงานเลี้ยงน้ำชามากที่สุด นั่นหมายถึงนางรู้ถึง ‘จุดประสงค์แอบแฝง’ มากที่สุดด้วยเช่นกัน

 

 ในทางกลับกันเคทลินเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชาด้วยสาเหตุอันเรียบง่าย เสียงหัวเราะอย่างร่าเริงและแววตาระยิบระยับ บ่งบอกว่านางคาดหวังกับงานสังสรรค์ครั้งนี้เอาไว้

 

 นางสวมชุดสีน้ำเงินโทนเข้มเช่นเดียวกับพี่ชายของนาง คริสต์สวมสูทสีดำเช่นเดียวกับในวาระประชุมสภา สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าไม่มีความประสงค์เข้าร่วมแม้แต่น้อย

 

 ด้านซิลวานใส่ชุดที่ดูสดใส เครื่องแต่งกายสีฉูดฉานตัดกันไปมาราวกับตัวตลก

 

 ซิลวานขยับตัวเว้นที่นั่งให้อินกองทำให้ตัวเขานั่งประชันหน้ากับคริสต์ ทั้งสองจ้องหน้ากันราวกับมีประกายไฟปะทุเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนี

 

 หลังจากที่อินกองและคารัคขึ้นนั่งบนรถเป็นที่เรียบร้อยทั้งหมดก็เริ่มออกเดินทาง รถเลื่อนคันนี้สามารถจุทายาททั้งห้ารวมกับผู้ติดตามอีกสี่ได้อย่างสบาย มีบ่าวรับใช้คุมบังเหียนที่ล่ามคล้องไว้กับกิ้งก่ายักษ์สองตัวเป็นผู้ขับ

 

 คฤหาสน์ของไบคาลตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจากวังจอมมาร และหากพินิจพิเคราะห์ถึงรูปทรงแล้ว เรียกว่าเป็นป้อมปราการมากเสียกว่าคฤหาสน์

 

 กำแพงล้อมรอบที่เชื่อมต่อกับหอคอยทรงกลมเป็นระยะ รูปปั้นแกะสลักมังกรที่ประดับสวนหย่อมภายใน ให้ความรู้สึกถูกเฝ้ามองอยู่ตลอด

 

 ไบคาลเป็นเจ้าชายเผ่ามังกร บ่าวรับใช้ในคฤหาสน์ย่อมมาจากเผ่ามังกรเช่นกัน ทำให้กำลังรบของคฤหาสน์นี้น่ายำเกรงพอตัว

 

‘สมแล้วที่เป็นเจ้าชายองค์แรก… ’

 

 ลำดับการเกิดอาจไม่มีผลต่อสิทธิในการสืบทอดบัลลังค์ แต่ทายาทตนแรกก็สมเป็นเจ้าชายพระองค์แรก เจ้าชายที่อาวุโสที่สุดในหมู่ทายาทย่อมมีประสบการณ์ ได้รับความคาดหวัง และได้รับการสนับสนุนมากที่สุด

 

 เวลาที่เกมบทกวีแห่งผู้กล้าเริ่มเรื่องราวเป็นอีกหนึ่งปีถัดจากนี้ การอ้างอิงทุกอย่างจากเกมอาจมีความคลาดเคลื่อน แต่เมื่ออ้างอิงจากเกม ไบคาลจะได้รับการสนับสนุนจากเผ่ามังกรมากกว่าแซเฟียร์

 

 เปรียบเป็นอัตราส่วนได้ราว สามต่อสอง หรือร้อยละหกสิบต่อสี่สิบ

 

 ร้อยละหกสิบฟังดูไม่มาก แต่ความที่เป็นร้อยละหกสิบของเผ่ามังกร ทำให้เรียกได้ว่ามากกว่าการสนับสนุนจากทั้งเผ่าของบางเผ่า

 

 หลังจากคณะอินกองเดินทางมาถึงคฤหาสน์ของไบคาลได้ครู่หนึ่ง พวกเขาก็ได้รับการนำทางไปยังห้องรับรอง ก่อนผู้จัดงานหรือก็คือเจ้าชายไบคาลจะออกมาต้อนรับด้วยตนเอง

 

“ยินดีต้อนรับน้องรัก”

 

 รูปร่างไบคาลเรียกได้ว่าเป็นชายหนุ่มผู้มีทรงผมและหนวดเคราอันเป็นระเบียบ ให้ความรู้สึกดั่งทหาร

 

 บนศีรษะแสดงถึงจุดเด่นของเผ่ามังกร เขาหนึ่งคู่ตั้งตรงราวกับจะบอกถึงจิตใจอันซื่อตรงของไบคาล

 

 แม้จะมีรูปร่างที่สูงสง่า แต่มัดกล้ามเนื้อก็มิได้กำยำจนเห็นชัดอย่างคริสต์หรือคารัค

 

 หากนับลำดับอาวุโสในคณะของอินกองก็คงไม่พ้นซิลวาน ทว่าเขาเปรียบเสมือนองครักษ์ส่วนตัวของเฟลิซี ทำให้นางเป็นผู้แรกที่กล่าวทักทายไบคาล อาจดูแปลกในสายตาเผ่าอื่น แต่นี่ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับเผ่าเอลฟ์รัตติกาลที่เน้นเพศสตรี

 

 เฟลิซีก้มถอนสายบัวอย่างงดงาม

 

“ขอบคุณสำหรับคำเชิญงานเลี้ยงน้ำชาคะ ไบคาลออราเบียวนิ”

#เป็นเกียรติที่ได้มาร่วมงานเลี้ยงคะท่านพี่ไบคาล~

 

“ขอบคุณที่รับคำเชิญของเราเช่นกัน”

 

 ไบคาลเข้าสวมกอดเฟลิซีและซิลวานเล็กน้อย ก่อนจะหันไปทางคริสต์และเคทลิน

 

 ผู้ที่กล่าวทักทายลำดับถัดมาย่อมเป็นคริสต์

 

“เจ้าชายคริสต์แสดงความเคารพเจ้าชายลำดับที่หนึ่งไบคาล”

 

 คริสต์ไม่ได้ก้มคุกเข่าแต่ก็เรียกได้ว่าเป็นการทักทายในรูปแบบพิธีการ ไบคาลยิ้มวางหน้าอย่างไม่สนิท

 

“ไม่ต้องมากพิธีการหรอกคริสต์”

 

“ขอขอบคุณในความกรุณา”

 

 คริสต์ยังคงตอบอย่างรัดกุม ไบคาลทำได้เพียงขมวดคิ้วถอนหายใจ แต่ก็ชั่วครู่ก่อนเขาจะหันไปทักทายเคทลินอย่างยิ้มแย้ม

 

“สวัสดีเคทลิน นี่เป็นครั้งแรกที่เราเจอกันนอกงานพิธีเลยใช่ไหม?”

 

“ใช่คะ… อปป้า”

 

 เคทลินตอบอย่างเขินอายเล็กน้อย ไบคาลหัวเราะให้กับท่าทีอันแตกต่างจากคริสต์ของนาง ก่อนจะเข้าสวมกอด

 

 และแล้วก็ถึงคราวของอินกอง

 

 ทว่าก่อนอินกองจะทันกล่าวอะไรออกไป ไบคาลกลับเป็นฝ่ายพูดทักทาย

 

“ฉัตร นานแล้วสินะที่เราไม่ได้เจอกันซึ่งๆหน้า”

 

“ใช่ครับฮยอง… นิม(?)”

 

 อินกองพยายามกล่าวตอบอย่างปกติพลางมองเข้าไปในดวงตาของชายตรงหน้า

 

 นั่นเพราะเขาไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างฉัตรและไบคาลสักนิด

 

‘บางทีทั้งสองอาจไม่เคยเจอกันมาก่อน’

 

 ญาติทางฝ่ายแม่ของทั้งคู่ เผ่ามังกรและเผ่าคนธรรพ์เรียกได้ว่าเป็นศัตรูกัน

 

 ทว่าสิ่งที่ไบคาลกล่าวตามมากลับเป็นบางสิ่งที่เกินความคาดหมายของอินกอง

 

“วันเกิดใกล้เข้ามาแล้วสินะ? ของขวัญปีนี้อาจจดูน้อยลงไปบ้าง แต่เราจะส่งไปให้ที่คฤหาสน์เหมือนเดิม”

 

 อินกองตื่นตระหนกทันที วันเกิด? เหมือนเดิม? หรือว่าไบคาลจะส่งของขวัญให้ฉัตรทุกปีในวันเกิด?

 

 อินกองนึกถึงข้อมูลเกี่ยวกับไบคาล ภาพเหตุการณ์วันล้างบางเป็นสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมา

 

 ไบคาลร่ำไห้กอดศพของเหล่าพี่น้องที่ล้มตาย เขาโกรธแค้นแซเฟียร์มากจนคลุ้มคลั่ง

 

 มีความเป็นไปได้ที่ไบคาลจะมีความสัมพันธ์อันดีกับฉัตร

 

 เท่าที่อินกองรู้ไม่มีใครสนใจฉัตร ทว่าไบคาลกลับบอกว่าวันเกิดของฉัตรใกล้เข้ามา แสดงว่าเขาจำวันเกิดของฉัตรได้ บางทีในฐานะพี่ชายคนโตไบคาลคงส่งของขวัญวันเกิดให้ฉัตรผู้เป็นน้องเล็กมาทุกปี แม้ตระกูลเครือญาติของทั้งสองจะต่อต้านกัน แต่ทั้งสองก็ถือเป็นพี่น้องสืบสายเลือดของจอมมารมิตร

 

“ขอบคุณครับ”

 

 อินกองตอบรับอย่างจริงใจมากที่สุด มากจนไบคาลรับรู้ได้จากถ้อยคำของเขา นั่นทำให้ไบคาลรู้สึกยินดี ไบคาลตอบกลับอย่างเป็นกันเอง

 

“เป็นเรื่องธรรมดาของพี่น้อง เราขอโทษที่ไม่สามารถดูแลมากไปกว่านี้”

 

 รอยยิ้มอันอบอุ่นคู่กับเสียงอันนุ่มนวล

 

 ไบคาลนำทางคณะของอินกองไปยังสถานที่จัดเลี้ยง มีแขกผู้หนึ่งนั่งอยู่ก่อนแล้ว

 

“แซเฟียร์ มาทักทายน้องๆหน่อยเร็ว”

 

 ไบคาลกล่าวกับแซเฟียร์อย่างคุ้นเคยเช่นเดียวกับพี่น้องตนอื่น

 

 คำพูดของไบคาลทำให้แซเฟียร์หันมาทางคณะของอินกอง ก่อนผงกหัวทักทายเล็กน้อย

 

 เฟลิซีกับซิลวานหัวเราะออกมาราวกับทั้งสองคาดคิดเอาไว้แล้ว ส่วนคริสต์ทำหน้าแสยะยิ้ม

 

 นั่นทำให้อินกองค่อนข้างมั่นใจ

 

 หากเปรียบไบคาลเป็นแสงสว่าง แซเฟียร์ก็คือความมืด การที่แซเฟียร์กล่าวต้อนรับพวกเขาอย่างเป็นกันเองเช่นไบคาลคงจะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดที่สุด

 

 เส้นผมเรียวยาวที่แดงดุจเลือดของแซเฟียร์กลบสีหน้าของเขาเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็แผ่กระจายตัวตนให้ผู้ที่อยู่ใกล้รู้สึกรับรู้ได้อย่างชัดเจน

 

 ไบคาลส่ายหน้าถอนหายใจก่อนจะพาพี่น้องเข้าประจำที่นั่ง ทั้งซิลวาน เฟลิซี คริสต์ เคทลิน และอินกองต่างนั่งฝั่งตรงข้ามกับแซเฟียร์

 

 เนื่องจากเวลาที่ระบุไว้ใกล้เข้ามา ไม่นานหลังจากพวกเขานั่งประจำที่ เสียงกริ่งก็ดังบ่งบอกถึงการมาของเจ้าชายลำดับที่สามกับเจ้าหญิงลำดับที่สี่

 

 ไบคาลกล่าวต้อนรับวิคเตอร์และอนาสทาเชียอย่างอบอุ่น ทั้งสองถูกจัดให้นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งระหว่างแซเฟียร์กับคณะของอินกอง

 

 เมื่อสมาชิกทั้งหมดมาพร้อมหน้ากันแล้ว ไบคาลก็นั่งลงที่เก้าอี้หัวโต๊ะ งานเลี้ยงเริ่มด้วยขนมและเครื่องดื่มที่ได้จัดเตรียมเอาไว้

 

 ไบคาลเกริ่นนำหัวข้อสนทนาอย่างสนิทสนมตามที่เฟลิซีคาดคิดเอาไว้ หลีกเลี่ยงหัวข้อที่อาจเกิดประเด็นอย่างความสัมพันธ์ระหว่างฉัตรกับปราชญ์ดาบ บ่งบอกว่าเขาไม่ต้องการให้เกิดความบาดหมางระหว่างพี่น้อง

 

 คริสต์นิ่งเงียบรับฟังเพียงอย่างเดียว ซิลวานจดจ่อไปกับขนมและพูดร่วมสนทนาบ้างบางครั้ง

 

 การสนทนาส่วนใหญ่ดำเนินโดยไบคาล อนาสทาเชีย เฟลิซี และเคทลิน

 

 ทุกครั้งที่อนาสทาเชียพยายามเอ่ยถึงฉัตร เฟลิซีจะชักจูงประเด็นไปในทางอื่น และไบคาลจะหาเรื่องมาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เคทลินทำหน้าที่เป็นผู้ฟังเสียมาก แต่บางครั้งที่นางกล่าวช่วยไบคาลเปลี่ยนประเด็นพูดคุย

 

 อินกองพยายามทำตัวให้ไม่จดจ่อไปกับแซเฟียร์มากเกินพอดี เขาวางตัวในลักษณะเดียวกับที่ทำในการประชุมสภา

 

 วิคเตอร์พยายามใช้สายตาสำรวจมองฉัตรทุกระเบียบนิ้ว ราวกับต้องการค้นหาบางสิ่ง

 

 หลังการสนทนาดำเนินไปอย่างราบรื่นสักพัก อินกองก็เลือกที่จะผ่อนคลายตัวเอง นั่นเพราะพี่น้องของเขาส่วนใหญ่เป็นผู้ฟังเสียมากกว่า โดยเฉพาะแซเฟียร์ที่นั่งจิบชาอย่างไม่สนใจสิ่งรอบตัว

 

 การแข่งขันระหว่างพี่น้องเพื่อแย่งชิงสิทธิสืบบัลลังค์อาจเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็มิมีการมุ่งร้ายถึงชีวิต

 

 อย่างไรเสียทั้งหมดก็เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกัน แม้แต่วิคเตอร์ที่จ้องจับผิดฉัตรในตอนนี้ก็ไม่แสดงท่าทียั่วยุใดใด

 

 ทว่าในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า ระบบเหล่านี้เกิดการปรวนแปรโดยมีแซเฟียร์เป็นต้นเหตุ

 

 แซเฟียร์ทำให้ทายาทแต่ละตนรู้สึกไม่ปลอดภัย เขาชักโยงให้เหล่าทายาทมุ่งร้ายกันเอง

 

 สิ่งที่รุนแรงที่สุดก็คือเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าไลแคนโทรป นั่นทำให้ความเชื่อใจระหว่างพี่น้องที่หลงเหลืออยู่สลายหายไป ความปลอดภัยที่เหลือเพียงเล็กน้อยถูกทำลายลง

 

 และแล้ววันล้างบางก็มาเยือน

 

 เหล่าทายาทไม่เหลือความเชื่อใจให้ร่วมมือกัน ทำให้แซเฟียร์ไล่สังหารพวกเขาทีละตนอย่างง่ายดาย

 

 อินกองต้องการจะขัดขวางไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ว่า นั่นคือเหตุผลที่เขาต้องการขึ้นเป็นจอมมาร

 

 ระหว่างการสนทนาอนาสทาเชียหันมาทางอินกองอย่างกระทันหัน อินกองไม่ทันตั้งตัวทำได้แต่ส่งยิ้มให้นางอย่างสุภาพ ทว่าในดวงตาของนางมีประกายบางอย่างที่อินกองไม่ทันสังเกต

 

 งานเลี้ยงน้ำชาของไบคาลดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุด วิคเตอร์ไม่พอใจที่ไม่พบสิ่งที่ค้นหาแต่ก็เท่านั้น

 

 พี่น้องทั้งหมดอาจมิได้ร่วมสนทนา ทว่าเพียงการพบปะซึ่งหน้าก็ทำให้ไบคาลพอใจ

 

 วิคเตอร์กับอนาสทาเชียแยกตัวกลับไปคู่แรก ตามมาด้วยคณะของอินกอง

 

 ในขณะนั้นเองที่อินกองกำลังจะกลับผ่านห้องรับรอง…

 

“ฉัตร”

 

 เสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงที่ไม่ดังขึ้นเลยตลอดการสนทนาในวันนี้

 

 อินกองหวนนึกถึงเหตุการณ์ในที่ประชุมสภาทันที เพราะเจ้าของเสียงนี้คือเจ้าชายแซเฟียร์ แร็กนารอส

 

“ฝากแสดงความคิดถึงแวนเดลแทนเราด้วย”

 

 ข้อความอันสั้นที่แฝงความหมายหลายประการ

 

 อินกองพยายามตอบกลับอย่างปกติที่สุด

 

“ได้ครับ ฮยอง”

 

 แซเฟียร์ไม่กล่าวพูดอะไรมากกว่านี้ ไบคาลถอนหายใจออกมาก่อนนำทางคณะของอินกองออกจากคฤหาสน์

 

&

 

 ทันทีที่คณะของอินกองกลับขึ้นรถเลื่อน เฟลิซีก็ทิ้งตัวลงบ่น

 

“ฮ่าาาาาาาา เหนื่อยล้าไปหมดทั้งตัวเลย งานเลี้ยงน้ำชาที่อนาสทาเชียออนนี่มาร่วมด้วยต้องเหนื่อยแบบนี้ทุกครั้งไป แล้วเป็นยังไงมั่งเคทลิน?”

 

 การสนทนากับอนาสทาเชียทำให้เฟลิซีรู้สึกอ่อนล้า ถึงกระนั้นนางก็สามารถรักษามาดของนางเอาไว้ได้จนกลับขึ้นรถ เรียกได้ว่าเป็นการวางตัวอันยอดเยี่ยม

 

 เคทลินส่งยิ้มให้กับเฟลิซีแล้วตอบนาง

 

“ยากไปบ้างแต่ก็สนุกคะ”

 

 เคทลินเป็นหนึ่งในทายาทของจอมมาร ทำให้นางพอคุ้นเคยกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ อาจจะไม่ตรงตามที่นางคาดหวังเอาไว้ แต่ก็เรียกได้ว่านางพึงพอใจกับงานเลี้ยงน้ำชาของไบคาล

 

“ซิลวานอปป้าละคะ?”

 

 ซิลวานนิ่งเงียบใช้ความคิดครู่หนึ่ง ก่อนตอบเคทลินด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“พวกขนมกับน้ำชารสชาดเยี่ยมมาก”

 

 คำตอบที่ทำให้เฟลิซีถอนหายใจออกมาจากก้นบึ่งของหัวใจ

 

“เฮ้ออออ ฉันหวังว่าพวกเธอสบายดีกันนะ พวกเธอทิ้งหน้าที่ทั้งหมดมาให้ฉันคนเดียว ถึงฉันจะไม่ได้หวังเอาไว้กับซิลวานแต่แรกอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยฉันก็หวังว่าคริสต์จะช่วยกันบ้าง”

 

 เฟลิซีร้องออกมา คริสต์หัวเราะหึหึ

 

“นูนิมทำหน้าที่คนเดียวได้อย่างดีเยี่ยม จนเราไม่รู้สึกจำเป็นต้องยื่นมือเข้าแทรก นูนิมสามารถเป็นที่พึ่งพาได้เสมอ สุดยอด”

 

 คำตอบจากคริสต์ส่งผลให้เฟลิซีทำหน้างอนแก้มป่อง หากย้อนไปไม่กี่เดือนก่อน นี่คงเป็นฉากเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้

 

 เคทลินมองสลับไปมาระหว่างคริสต์กับเฟลิซีด้วยรอยยิ้ม ก่อนเฟลิซีจะคว้าตัวนางเข้าไปกอดราวกับตุ๊กตา

 

“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้จะเป็นงานเลี้ยงน้ำชาที่เชิญชวนเด็กๆมา จะต่างไปจากวันนี้เพราะจะมีแต่คนกันเอง หรือคนที่อยากแนะนำให้ฉัตร หรือคนที่เชิญชวนเข้าฝ่ายพวกเรา ทำตัวตามสบายและสนุกกันให้เต็มที่ วันถัดไปพวกเราก็จะออกเดินทางทำภารกิจ ฉะนั้นเชิญหลับพักผ่อนกันให้เต็มที่ในวันนี้กับพรุ่งนี้”

 

 ทุกครั้งที่ผ่านมา อินกองได้รับภารกิจทันทีหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมสภา แต่ในครั้งนี้เขามีอะไรให้ต้องคิดต้องทำหลายอย่าง

 

 อย่างไรเสียก็ยังเหลือวันพรุ่งนี้อีกวันอย่างที่เฟลิซีกล่าว

 

“ฉัตร ดีแล้วที่เอ็งเลือกเอเวียง”

 

 คริสต์พูดขึ้นอย่างกระทันหัน เป็นที่ชัดเจนว่าเขากำลังนึกถึงประโยคที่แซเฟียร์ทิ้งท้ายเอาไว้

 

 เฟลิซีพยักหน้าเห็นด้วย

 

“ดูเหมือนแซเฟียร์ออราเบียวนิก็สนใจพลเอกแวนเดลเหมือนกันสินะ? ท่านแม่ทัพเป็นที่ชื่นชอบเสียจริง”

 

 หากอินกองมิได้เลือกเอเวียง แซเฟียร์ก็คงเลือกอย่างแน่นอน

 

 แซเฟียร์มีเหตุผลอะไรจึงกล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างนั้น?

 

 เป็นเพียงคำกล่าวทักทายทั่วไป? เป็นคำกล่าวเพื่อบ่งบอกว่าเขาก็เพ่งเล็งแวนเดลไว้เช่นกัน? เป็นคำกล่าวเพียงเพื่อให้อินกองสับสน?

 

 อย่างไรเสียก็เป็นการดีที่อินกองเลือกเอเวียงอย่างที่คริสต์บอก นี่เป็นโอกาสดีที่อินกองสามารถใช้คว้าตัวแวนเดลไว้จากเงื้อมมือของแซเฟียร์

 

 เมื่อหัวข้อสนทนาวนมาที่เอเวียง เคทลินก็หรี่ตาลง นางมีสีหน้าไม่ต้างไปจากเฟลิซีเมื่อวันก่อน

 

“ฉัตร เธอจะไปเมืองทาก้าจริงๆใช่มั้ย?”

 

 คำถามนี้ อินกองควรจะตอบเช่นไร?

 

 สุดท้ายอินกองเลือกที่จะไม่ตอบ นั่นทำให้ทั้งเฟลิซีกับเคทลินเริ่มพูดกระซิบบางอย่าง

 

&

 

 เช้าวันถัดมา คณะของอินกองรวมตัวกันก่อนงานเลี้ยงน้ำชาที่กำลังจะจัด

 

“ท่านอมิตาภาผู้นี้ทำเสร็จแล้วฮะ!”

 

 ช่างฝีมืออันดับหนึ่งอมิตาภา อิคนิเซียผู้หลบหน้าอยู่แต่ในโรงเหล็กวิ่งตะโกนป่าวประกาศ

 

 ซิลวานหันไปทางต้นตอของเสียงอย่างตื่นเต้น

 

“โอ้ววว ดาบของกระผมใช่ไหม?”

 

“ไม่ใช่ฮะ ดาบนั่นยังไม่เสร็จดีฮะ ที่เสร็จคือการปรับแต่โล่ชีวาตม์ฮะ”

 

 อมิตาภาตอบอย่างภาคภูมิ ซิลวานไหล่ตกทันที อินกองพยายามกลั้นหัวเราะแล้วถามช่างฝีมือตรงหน้า

 

“แล้วพสุธากัมปนาทละ?”

 

“ไม่ช้าก็เร็ว… ไม่ช้าก็เร็วนี้ละฮะ! เดี๋ยวอมิตาภาจะอดนอนทำให้เสร็จทันเช้าวันพรุ่งนี้ฮะ! แล้วท่าทางแบบนั้นมันอะไรฮะ ไม่ใช่ว่าควรจะตื่นเต้น ‘ขอดูหน่อยคะ ขอดูหน่อยครับ?’ หรือฮะ”

 

“โอ ขอ ดู หน่อย ครับ/คะ!”

 

 อินกองกับเคทลินเลียนเสียงร้องตื่นเต้นตามที่ช่างอัจฉริยะต้องการ

 

 อมิตาภายักไหล่อย่างพอใจ

 

“ฮืมฮื่ม ตามอมิตาภามาฮะ”

 

 เจ้าแรคคูนส่ายหางไปมาอย่างอารมณ์ดีโดยมีคณะของอินกองเดินตาม

 

 

Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก

Breakers (브레이커즈) หยุดลิขิตฟ้า ต่อชะตาช่วยโลก

Status: Ongoing
จู-อินกอง เกมเมอร์หนุ่มผู้กำลังกระดี้กระด้าเนื่องจากเกมโปรดของเขาได้รับการนำกลับมาทำใหม่ให้ไฉไลยิ่งกว่าเดิมด้วยเทคโนโลยี VR  แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้เขาหลุดเข้ามาเผชิญกับเรื่องต่างๆ ราวกับเข้ามาอยู่ในเกมโปรดที่ว่า เคราะห์ซ้ำกรรมซัดบทบาทของเขาดันเป็นตัวประกอบกระจ้อยร่อยที่จะถูกฆ่าตายกลางเกม  จู-อินกองจึงต้องใช้ประสบการณ์เกมที่เขาสั่งสมเอาไว้หาหนทางเอาตัวรอดจากความตายที่กำลังมาเยือน โดยหารู้ไม่ว่าเขามิเพียงกำลังเปลื่ยนโชคชะตาตัวเอง แต่ยังรวมไปถึงชะตาตัวละครรอบข้างและโลกทั้งใบ  นี่คือเรื่องราวของจู-อินกอง ผู้เป็นพระเอกของโลกใบนี้(?)

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท