ตอนที่ 118 – บทที่ 20: บลิทซ์ครีค
ตราลัญจกรกลางหน้าผากของเหล่าองครักษ์เรืองแสงสีขาวอร่าม
สัญลักษณ์แสดงถึงกองทหารมหาดเล็กของอินกอง ในอีกนัยหนึ่งก็แสดงว่าพวกเขาเหล่านี้คือสาวกแห่งอาณัติ
‘ไหนดูซิ ว่าตรานี้มีอะไรดีบ้าง’
ตราลัญจกรอาจเป็นเพียงตราสัญลักษณ์ แต่ในตัวสัญลักษณ์นี้ก็แฝงไปด้วยพลัง
อย่างแรกก็คือความสามารถทั้งหมดได้รับการเสริมพลังขึ้น
บรรดาทหารมหาดเล็กจะได้รับค่าสถานะเพิ่มขึ้นร้อยละยี่สิบ เมื่อใช้ทักษะใต้ร่มเงากษัตริย์ด้วยย่อมส่งผลเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ถัดมาก็คือตรานี้ช่วยกระตุ้นสายสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้น อินกองรับรู้ได้ผ่านแววตาของนาตาช่าถึงความประสงค์ดี และเมื่อเขาหันไปทางเจ้าออร์คคู่ใจ คารัคก็เอามือลูบที่ตราสัญลักษณ์พร้อมรอยยิ้ม
“ข้ารู้สึกว่าภักดีต่อองค์ชายมากขึ้น”
#ตราล้างสมองชัดๆ Σ(°△°|||)︴
แววตาเจ้าออร์คบ่งบออกว่ามิใช่เพียงคำพูดปากเปล่า
อินกองผงกหัวแล้วหันกลับมาทางนาตาช่า คารัคคุ้นเคยกับพลังอาณัติอยู่บ้างแล้วแต่นี่เป็นครั้งแรกสำหรับนาตาช่า
‘แบบนี้ก็ไม่ต้องห่วงว่านางจะหลบหนีแล้วสินะ’
พันธะสัญญาระหว่างเขากับนาตาช่าสร้างขึ้นจากการข่มขู่มิใช่ความสมัครใจ นั่นทำให้อินกองแอบหวั่นใจอยู่บ้าง เหตุผลหลักที่เพิ่มนาตาช่าเข้าหน่วยทหารมหาดเล็กก็เพื่อใช้ทักษะรับสั่ง แม้นางจะหลบหนีไปแต่ทักษะรับสั่งก็สามารถดึงตัวนางกลับมาได้ เป็นแผนสำรองที่ดูไม่จำเป็นเสียแล้ว
อย่างที่สามก็คือตรานี้ช่วยเพิ่มพลังในการปกครองของอินกอง ที่ผ่านมาเขารับรู้เพียงระดับเลเวลของคารัค ตอนนี้เขารับรู้ถึงค่าสถานะของมัน
‘ถึกชิบบบบบบ’
ค่าสถานะทั้งความทนทานและความแข็งแกร่งของคารัคสูงนำค่าสถานะอื่น เมื่อคิดรวมการเสริมพลังจากตราลัญจกรด้วยแล้ว ค่าสถานะทั้งสองเพิ่มขึ้นมากจนเหนือกว่าสถานะของอินกองเสียอีก
‘สแตตก็ด้วย แต่ก็เพราะเวลมันเพิ่มด้วยแหละ’
อินกองจำได้อย่างคร่าวว่าคารัคมีระดับเลเวลราวยี่สิบสามหรือสี่เมื่อครั้งกบฏเผ่าสายฟ้าชาด ขณะนี้เจ้าออร์คมีระดับอยู่ที่ยี่สิบแปด
‘อินท์ก็เยอะเกินไปปะเนี่ย’
ค่าสติปัญญาของคารัคสูงกว่าเหล่าออร์คที่อินกองพบเห็น ถึงกระนั้นค่าสถานะสติปัญญาก็มิได้เป็นตัวชี้วัดถึงความสามารถในการประมวลผลของสมอง ต่างไปจากไหวพริบ ความหลักแหลม
‘แต่ถ้าอินท์เยอะขนาดนี้ ค่าพวกนั้นก็คงเยอะพอกันแหละ’
น่าเสียดายที่ค่าสถานะบางอย่างไม่สามารถแสดงออกเป็นตัวเลขให้เห็นได้
อินกองหันไปทางนาตาช่าอีกครั้ง ค่าสถานะของนางแสดงขึ้นให้เห็นข้างตราลัญจกร มือสังหารมิได้เป็นอาชีพรองของนางดั่งความทรงจำของอินกอง กลับเป็นอาชีพหลักโดยมีองครักษ์เป็นอาชีพรองเสียแทน
‘ตัวเลขแบบนี้มันสายมินแม็กชัดๆ’
#min-max ทางเกมหมายถึงการลงค่าสถานะเพียงบางอย่าง โดยเมินที่เหลือ
อินกองคาดเดาว่าทาสคือปัจจัยส่งผลให้ค่าสถานะของนางเปลี่ยนไป จากความทรงจำของเขาค่าสถานะของนาตาช่าสมดุลมากกว่านี้ และระดับเลเวลของนางก็ควรจะสูงกว่านี้ ทว่าบางทีนั่นอาจเป็นตัวเลขในอีกหนึ่งให้หลังก็เป็นได้
“รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
นาตาช่าตอบคำถามของอินกองด้วยนัยตาเป็นประกาย
“ดีเหลือเกิน ข้ารู้สึกร่างกายเบาบางราวกับกำลังบิน”
มิใช่เพียงแววตาของนาง แม้แต่ถ้อยคำและท่าทางก็บ่งบอกราวกับนางกำลังอยู่ในภวังค์
อินกองหัวเราะก่อนจะปล่อยมือ นาตาช่าบ่นพึมพำอย่างจับความไม่ได้ แสงสีขาวที่จางลงแสดงให้เห็นแก้มของนางที่แดงระเรื่อ
“นายท่าน”
เสียงกรีนวินด์ดังขึ้นพร้อมปรากฏกายเนื้อ นางกอดแขนอินกองพลางสลับสายตาไปมาระหว่างคารัคกับนาตาช่า
“นายท่าน ข้าก็อยากเป็นองครักษ์ด้วยเช่นกัน”
“หา?”
“ข้าเป็นของนายท่านนั่นย่อมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ว่าเจ้าออร์คกับยัยซัคคุบัสนั่นต่างออกไป ข้าต้องการเช่นนั้นเช่นกัน”
คำขอที่เหนือความคาดหมายจากกรีนวินด์ ใบหน้าของนางเจือไปด้วยความอิจฉาเล็กน้อย
‘จำเป็นมั้ยเนี่ย?’
กรีนวินด์คอยติดตามตัวอินกองอยู่ตลอดต่างไปจากคารัค กัมมะ และนาตาช่า ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทักษะรับสั่งกับนาง นอกจากนี้สิ่งที่นางกล่าวอาจดูเกินเลยแต่ก็เรียกได้ว่านางเป็นภูติคุ้มกายของอินกอง เขาไม่เคยคิดเพิ่มนางเป็นองครักษ์เลยสักครั้ง
จำนวนทหารมหาดเล็กที่อินกองสามารถแต่งตั้งได้มีจำกัด ถึงแม้ระดับทักษะเพิ่งเพิ่มขึ้น แต่จำนวนที่ว่างทหารก็เพิ่มขึ้นเพียงสองตำแหน่ง
‘เก็บ 1 ที่ให้เวนเดล ก็เหลือว่าง 1’
การใช้ตำแหน่งที่เหลือกับกรีนวินด์ดูเปล่าประโยชน์ ในคราวกัมมะตอนนั้นอินกองมีทหารติดตามเพียงคารัคตนเดียว การเพิ่มนางเข้าหน่วยทหารมหาดเล็กจึงมีเหตุผลต่างออกไป
ราวกับคาดเดาความคิดของอินกองได้ กรีนวินด์กอดแขนของอินกองแน่นขึ้น สายตาอ้อนวอนราวกับลูกแมวอันเกินกว่าที่อินกองจะทนทานไหว อินกองจึงเปลี่ยนมาคิดถึงผลประโยชน์หากเขาเพิ่มกรีนวินด์เข้าทหารมหาดเล็กแทน
‘รับสั่งจะใช้กับโล่บินได้เปล่านะ?’
โล่ไวท์อีเกิ้ลบินหาอินกองได้อยู่ ทว่าการบินกลับมากับการปรากฏขึ้นทันทีย่อมแตกต่างกัน แม้มีข้อจำกัดด้วยจำนวนครั้งที่เขาสามารถใช้ทักษะได้ ก็ไม่ถึงไร้ประโยชน์เสียทีเดียว
‘แล้วก็ผลจากตราที่เพิ่มค่าสถานะ… เดี๋ยวนะ นี่มันสุดยอดสุดๆไปเลยไม่ใช่หรอวะ?’
พลังของกรีนวินด์ลดทอนลงจากการที่นางใช้พลังสร้างตัวแทนสถิต ณ ที่ราบอินคา นั่นทำให้นางไม่สามารถใช้ความสามารถของนางได้อย่างเต็มที่
บางทีผลจากตราลัญจกรอาจช่วยกรีนวินด์ดึงพลังของนางกลับคืนมาได้ และเมื่อพลังของนางฟื้นคืนกลับมาตามเวลา ผลของตราจะช่วยเพิ่มความสามารถของกรีนวินด์ให้เหนือชั้นยิ่งขึ้นไปอีก
“นายท่าน?”
กรีนวินด์กล่าวถามอีกครั้งเรียกเสียงหัวเราะจากอินกอง
“นั่นสินะ กรีนวินด์อยู่กับผมมาตลอด”
เมื่อระดับของทักษะเพิ่มขึ้นในอนาคตจำนวนทหารย่อมเพิ่มขึ้นได้อีก ประโยชน์ที่ได้เหนือกว่าที่คิดไว้ตอนแรก และอินกองก็ไม่อยากทำให้กรีนวินด์ผิดหวัง
กรีนวินด์หัวเราะออกมาอย่างดีใจก่อนคุกเข่าลง กรีนวินด์ตรงหน้าช่างแตกต่างไปจากยามที่อินกองพบนางครั้งแรกเหลือเกิน
เทพารักษ์กรีนวินด์ผู้เป็นถึงผู้พิทักษ์ระดังสูง คารัคตกตะลึงเมื่อรับรู้ตัวตนของนางตั้งแต่พบเจอ กระทั่งอินกองก็เคารพยำเกรงในความศักดิ์สิทธิ์และลี้ลับ
อินกองทำพิธีการเช่นเดียวกับนาตาช่าเพื่อมิให้กรีนวินด์ไม่พอใจ
“อาา”
กรีนวินด์หลับตาครางออกมาเบาเบา ตราลัญจกรแห่งอาณัติปรากฏขึ้นกลางหน้าผากของนาง
‘ดูเหมือนจะได้ผล’
“ขอบคุณมากนายท่าน ท่านเป็นเจ้านายที่ดีมาก”
กรีนวินด์โผเข้ากอดอินกองก่อนจะลอยตัวหันไปกอดอกตั้งท่า
“ทีนี้ก็ไม่มีอะไรนอกเหนืออีกทั้งนั้น”
คำประกาศของกรีนวินด์ทำให้นาตาช่าหรี่ตาลงถามอินกอง
“ใต้ฝ่าพระบาท นางผู้นี้เป็นใครหรือเพคะ?”
ถ้อยคำปกติที่ดูนอบน้อม ทว่าอินกองกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
“นางคือเทพารักษ์กรีนวินด์ ผู้พิทักษ์สิงสถิตแห่งที่ราบอินคา ณ ตอนนี้นางคือภูติคุ้มกายของเรา”
ดวงตากรีนวินด์เป็นประกายกับคำว่า ‘ของเรา’
“ใช่แล้ว ข้าคือภูติคุ้มกายของนายท่าน ประวัติความเป็นมาของข้าต่างจากเจ้าที่เพิ่งโผล่มามากนัก”
“ประวัติความเป็นมาอะไร แกก็เพิ่งติดตามองค์ชายได้ไม่กี่เดือนไม่ใช่เรอะ?”
คำค้านจากคารัคเรียกเสียงคำรามจากกรีนวินด์ ทำให้มันรีบเบือนหน้าหนี
นาตาช่าผงกหัวก่อนกล่าวเสริม
“เช่นนั้นพวกเราก็เปรียบเสมือนพี่น้อง ข้าขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
นาตาช่ากล่าวด้วยร้อยยิ้มอันงดงาม รอยยิ้มที่ทำให้อินกองขนลุกด้วยความกลัว กรีนวินด์จ้องตานาตาช่าครู่หนึ่งก่อนยื่นมือออกไปจับมือ ฝ่ายหนึ่งหัวเราะยิ้มแย้มฝ่ายหนึ่งไม่วางใจ ราวกับมีประกายเกิดขึ้นระหว่างสายตาทั้งสองก็ไม่ปาน
การเผชิญหน้าระหว่างทั้งคู่กลับทำให้อินกองรู้สึกอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด
‘นี่มันอะไรกัน? ความรู้สึกที่เหมือนบางอย่างได้รับการเติมเต็ม… ’
ความรู้สึกเบิกบานที่อินกองไม่เคยรับรู้มาก่อน เขาไม่รู้ว่าเหตุใดกรีนวินด์กับนาตาช่าจึงเผชิญหน้ากัน และเหตุใดเขาจึงยินดีกับการปะทะของทั้งสอง
หลังจากที่อินกองตั้งสติกลับมาได้ เขาก็หยุดการต่อสู้โดยให้กรีนวินด์สลายกายเนื้อของนาง จากนั้นเขาก็สั่งให้คารัคกับนาตาช่าไปพักผ่อน อาจเกิดเรื่องดีขึ้นบ้างแต่สถานการณ์ไม่สามารถให้พวกเขารื่นเริงได้
นาตาช่าน้อมรับแต่โดยดี ส่วนคารัคก็แสดงความห่วงใยออกมา
อินกองนั่งลงใช้ความคิดเพียงผู้เดียว ไม่รวมความจริงว่ากรีนวินด์เพียงแค่ไม่ปรากฏกายเนื้อ
‘ได้ตัวนาตาช่ามาละวะ’
หนึ่งในสามขุนพลสุดโปรดของอินกองยามเล่นเกม
นาตาช่ายังเป็นปัจจัยสำคัญกับการฆ่าล้างเผาไลแคนโทรป
ความรู้สึกภาคภูมิเกิดขึ้นเมื่อเป้าหมายได้สำเร็จลุล่วงไปหนึ่ง
‘ต่อไปก็แวนเดล’
ภาพที่อินกองจับมือกับบลัดโอเกอร์โผล่ขึ้นมา รอยยิ้มผุดขึ้นบนในหน้าของเขา
‘ราชาบาบาเรี่ยนเก่งอยู่ เราต้องรอบคอบ แล้วสุดท้ายเราต้องดวลตัวตัวชนะแวนเดลให้ได้อีก’
อินกองสูดหายใจเข้าเต็มปอด เขาเตรียมตัวเข้าภวังค์เพื่อฝึกลมปราณเช่นทุกวัน
“ฉัตร ฉันเข้าไปได้ไหม?”
แต่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอีกด้านของประตู
เมื่ออินกองลุกไปเปิดประตู เขาก็พบกับเฟลิซีในชุดนอน
“คุยกันเสร็จแล้วสินะ?”
เฟลิซีถามพลางเดินเข้าห้องพร้อมปิดประตู อินกองตอบนาง
“ใช่ครับ ต่อจากนี้นาตาช่าจะร่วมเดินทางกับพวกเรา หน้าที่หลักของนางคือการรวบรวมข้อมูล”
ข้อมูลเป็นสิ่งจำเป็นไม่ว่าจะด้วยยุทธศาสตร์ใด คารัคอาจเป็นองครักษ์ที่มากความสามารถ ทว่ามันก็ไม่สามารถรวบรวมข้อมูลได้ดีเท่าเซร่าหรือเดเลีย อินกองใช้นาตาช่ามาเสริมจุดด้อยตรงนี้ของมัน
สิ้นคำพูดของอินกอง เฟลิซีก็นั่งลงบนเตียง
“อืม ฉันยังคงคิดว่าฉัตรรับนางมาเพราะว่าเป็นซัคคุบัสอยู่… แต่ฉันจะเชื่อในตัวเธอก็แล้วกัน”
ถ้อยคำที่บ่งบอกว่านางจะไม่เอ่ยถามอะไรเพิ่มเติม ตัวอินกองก็ไม่รู้จะอธิบายเฟลิซีอย่างไร นี่จึงเป็นข้อเสนอที่เขารับไว้อย่างเต็มใจ
“ขอบคุณครับ”
“ไม่ต้องขอบคุณอะไรหรอก”
เฟลิซีหัวเราะก่อนยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง
“ฉัตรรู้ไหมว่าฉันมาเพราะอะไร?”
อินกองพอจะเดาได้อยู่ เขาจึงเลือกถามบางอย่างนำทางไปก่อน
“เคทลินนูนะละครับ?”
“หลับไปแล้ว วันนี้ค่อนข้างหนักสำหรับนาง”
หลังจากเดินตระเวนซื้อของทั่วเมืองทาก้าตอนบ่ายก็การต่อสู้ที่เกิดขึ้นช่วงค่ำคืน
“ทีนี้ก็เล่ามาซะ”
เฟลิซีกล่าวสั่งพร้อมยกแขนขึ้นเท้าคาง อินกองใช้เวลารวบรวมความคิดชั่วครู่ว่าจะเริ่มจากจุดไหน เขาตัดสินใจได้และนำหมวกมังกรออกมา
“สิ่งนี้คือหมวกมังกรทองแห่งราชา เป้าหมายการจู่โจมของพวกบาบาเรี่ยนก็คือเจ้านี่”
เฟลิซีหยิบหมวกขึ้นมองสำรวจ ดวงตานาจดจ้องยังรอยสลักก่อนเอ่ยถาม
“ราชามังกรทอง?”
“ราชาบาบาเรี่ยนในตำนานครับ เขาได้รับการนับถือดุจเทพ”
“ว้าว”
แน่นอนว่าโบราณวัตถุย่อมจุดประกายอยากรู้ให้กับนักโบราณคดีอย่างเฟลิซี นางสำรวจหมวกอย่างพิถีพิถัน
อินกองยังคงพูดต่อไป
“ความสำคัญของหมวกนี้สำหรับพวกบาบาเรี่ยนต่างออกไป มันสื่อถึงอำราจของราชา คล้ายกับมงกุฎหรือพวกตราประทับ”
“หมวกนี้อยู่ที่เมืองทาก้ามาแต่แรกแล้วรึ?”
“เรื่องนั้นผมก็ไม่มั่นใจ แต่ที่แน่ๆคือพวกบาบาเรี่ยนบุกมาเพื่อจะชิงมัน”
มันอาจจะถูกปล้นช่วงชิงมา หรือเป็นโบราณวัตถุที่ถูกขุดเจอ
เฟลิซีสัมผัสหมวกมังกรทองอย่างแผ่วเบา แววตาของนางเปลี่ยนไปอีกครั้ง ไม่ใช่นักโบราณคดีแต่เป็นเจ้าหญิงแห่งวังจอมมาร
“น่าเสียดายที่เราใช้ประโยชน์มันได้ไม่มาก”
ถึงจะเป็นสัญลักษณ์อันชอบธรรมของราชา แต่พวกเขาก็ไม่สามารถใช้มันเพื่อปกครองเหล่าชนเถื่อนได้ เพราะคงไม่มีชนเถื่อนตนใดจะยอมรับฟังคำสั่งจากพวกเขาอย่างแน่นอน
แต่ว่าหมวกนี้ยังสามารถใช้ทำประโยชน์ให้กับคณะของอินกองได้อยู่ พวกเขาสามารถใช้มันทำลายขวัญกำลังใจเหล่าชนเถื่อน หรือก่อสงครามภายในแย่งชิงอำนาจ
เฟลิซีไม่จำเป็นต้องยกตัวอย่างเหล่านี้ขึ้นมา นางทำเพียงยักไหล่แล้วถามบางอย่างเพิ่ม
“แล้ว… เพราโตสใช่มั้ย? บาบาเรี่ยนนั่นรู้ไหมว่าหมวกนี้อยู่ที่เธอ?”
“ครับ แต่เขาคงไม่รู้ตัวตนของผมหรอก”
ยิ่งกว่านั้นเพราโตสในตอนนี้คงไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดมากนัก เขาต้องหาทางหลบหนีออกเมืองทาก้าให้ได้เสียก่อน อินกองไม่รู้รายละเอียดปลีกย่อยแต่คงอีกสักพักใหญ่กว่าเขาจะเผชิญหน้าเพราโตสอีกครั้ง
การแสดงออกของเพราโตสบ่งบอกว่าสิ่งนี้คือเป้าหมายของเขาอย่างแน่นอน
“ตาพายุจริงๆ ช่วยคิดถึกคนที่โดนลูกหลงหน่อยได้มั้ย?”
เฟลิซีขมวดคิ้วพลางกอดอกใช้ความคิด
“ขอโทษครับ”
อินกองรู้สึกผิดต่อเฟลิซีอย่างจริงใจ นั่นเพราะนางคอยเก็บกวาดเรื่องที่เขาเป็นต้นเหตุอยู่เสมอ
สีหน้าสำนึกผิดของอินกองทำให้เฟลิซีรีบลุกขึ้นปัดมืออย่างเขินอาย
“ฉันแค่หยอกเล่นนะ แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ทำไมต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้น แล้วครั้งนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย อาจจะวุ่นๆหน่อย แต่ก็ไม่ต่างไปจากปกติหรอก อย่าเก็บไปคิดให้รกหัวเปล่าๆเลย”
ถ้าทางลนลานของนางทำให้อินกองกลับมาสบายใจอีกครั้ง
“ยังไงก็สรุปว่า เพราโตสบุกเข้าเมืองทาก้าเพื่อจะชิงหมวกนี้ใช่ไหม?”
“ตอนนี้ก็ใช่ครับ”
“ของชิ้นอื่นละ?”
เฟลิซีเท้าเอวถาม อินกองทำเพียงยิ้มแหยตอบนาง
“เอ่อ… ก็… ถึงผมไม่ฉกมาของพวกนั้นก็คงโดนลูกหลงเสียหายอยู่ดีละมั้งครับ?”
เป็นเหตุผลที่พอฟังขึ้นอยู่บ้าง ทว่าเฟลิซียังคงจดจ้องมาที่อินกอง
“พูดได้ดีนิ”
จะเกิดเรื่องหรือไม่ อย่างไรเสียอินกองก็คงนำของพวกนั้นมาอยู่ดี
“ครั้งนี้ช่วยไม่ได้เพราะวัลคาโน่ไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่พวกเราเป็นถึงทายาทจอมมาร พวกเราควรมาขโมยของอะไรแบบนี้หรือ?”
#โอ้ววววว มีคนหลุดจากการล้างสมองของคุณปู่แล้ว (@^◡^)
“ผมจะเก็บไปคิดครับ”
“ใช่แล้ว เก็บไปคิดซะ”
เฟลิซีลูบหัวอินกองอย่างเอ็นดู ส่วนใหญ่อินกองจะเป็นฝ่ายลูบหัวผู้อื่นเสียมากกว่า เมื่อเป็นฝ่ายถูกลูบหัวบ้างทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาด
“แล้วก็”
“แล้วก็?”
“ได้อะไรมาบ้างละ? มีของน่าสนใจบ้างไหม? ถ้าเป็นเครื่องเพชรหรือรูปภาพที่ฉันเล็งไว้บ้างยิ่งดีเลย”
#หน่านี้! ไหนว่ากลับใจแล้วไงหนู?
เฟลิซีถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ครั้นจะตอบนางก็จะเสียเวลา อินกองทำเพียงอมยิ้มก่อนนำสิ่งของเตรียมประมูลทั้งหมดออกมาทีละชิ้น