ลาเมียดิโอทิมาตัวสั่นเทาจากการต่อสู้ปกป้องป้อมปราการที่ห้า การต่อสู้นั้นจบลงมาได้สักครู่แล้ว แต่นางก็อดย้อนคิดกลับไปมิได้
ป้อมปราการที่ห้าตกอยู่ในสภาพที่สามารถแตกพ่ายได้ทุกเมื่อ ประตูและกำแพงถูกทำลายลงราวกึ่งหนึ่ง
กลยุทธกองโจรช่วยให้เหล่าทหารคุ้มกันสามารถยืดเยื้อมาได้สามวัน ถึงกระนั้นพวกเขาก็มีขีดจำกัด อนาคตพวกเขามีเพียงตายในการต่อสู้กับเหล่าชนเถื่อน และพยายามสังหารศัตรูให้มากที่สุดก่อนตาย
ก่อนแสงสีขาวจะสาดส่องลงมาจากฟากฟ้าพร้อมเสียงดังสนั่น ดิโอทิม่าหลับตาลงอย่างเลี่ยงมิได้
เมื่อนางลืมตาขึ้น ตรงหน้านางคือแผ่นหลังของพระราชาปกคลุมด้วยไอพลังสีขาว
เจ้าชายลำดับที่เก้า ฉัตร อิกษณา
ทว่าเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มเท่านั้นหาใช่พระราชาไม่ ดิโอทิม่าได้ยินชื่อเสียงเรียงนามเจ้าชายกำมะลอมาในช่วงเวลาหลายปี
แต่ภาพตรงหน้ากลับผุดเพียงภาพลักษณ์ของราชาผู้พิชิต
ผู้บัญชาการก็คือทหารตนหนึ่งเช่นกัน ในแดนไร้กฎหมายอย่างเอเวียง สิ่งที่เหล่าทหารยึดมั่นมิใช่ความจงรักภักดีแต่เป็นค่าแรงประจำเดือน และแน่นอนว่าเมื่อพวกเขายืนหยัดมานาน ศักดิ์ศรีทำให้พวกเขาเลือกยืนหยัดจนตัวตายมากเสียกว่าการยอมจำนนต่อศัตรู
ทั้งที่ควรจะเป็นเช่นนั้น ดิโอทิม่ากลับรู้สึกอบอุ่นใจอย่างแปลกประหลาด
เรียกว่าราชาผู้นี้กุมหัวใจนางไว้ก็ไม่ปาน
เจ้าชายลำดับที่เก้ากำจัดศัตรูก่อนหันมายื่นมือให้กับดิโอทิม่า นั่นทำให้นางตัดสินใจบางอย่างในทันที
บุคคลตรงหน้านี้คือพระราชาของนาง ผู้ที่นางเข้าสวามิภักดิ์และถวายความภักดี
อายุของนางอาจทำให้นี่เป็นเรื่องชวนเขินอาย แต่ประกายไฟได้ถูกจุดขึ้นในหัวใจ
นอกจากเจ้าชายลำดับที่เก้าแล้ว ยังมีเจ้าหญิงลำดับที่แปด กำลังทัพเหล่าไลแคนโทรป กำลังทัพเหล่าเอลฟ์รัตติกาลเข้าตีล้อมชนเถื่อน และใบหน้าคุ้นเคยอย่างกาลิกุล่าจากป้อมปราการเจ็ด โรโตฟจากป้อมปราการที่หก เมื่อดิโอทิม่าถาม กาลิกุล่ากับโรโตฟหัวเราะก่อนจะตอบเป็นเสียงเดียว
“พระรา… พวกเราติดตามใต้ฝ่าพระบาทเจ้าชายฉัตร”
แน่นอนว่าดิโอทิม่าเข้าใจ นั่นเพราะทั้งสามต่างรู้สึกไม่ต่างกัน
นางถามต่อถึงเหตุการณ์ที่ป้อมปราการหกกับเจ็ด และตะลึงในวิธีการที่กำลังเสริมมาเยือนป้อมปราการที่ห้า
วิธีการที่เหนือความคาดหมายเป็นอย่างยิ่ง แต่กลยุทธ ‘ลมกรด’ ที่ว่าช่วยให้ป้อมปราการที่ห้าและตัวนางรอดพ้นเงามฤตยู
แม้ความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้ติดต่อกันสามวันสามคืนจะสั่งสม ความตื้นตันในใจนางกลับมีมากกว่านั้น นางยังสามารถนึกถึงภาพธงสีขาวโบกสะบัดในทุกครั้งที่นางหลับตา
ดิโอทิม่ากำชับตนให้ล้มตัวพักผ่อน เสียงถอนหายใจอย่างชื่นชมยังคงเล็ดลอดให้ได้ยินอยู่ร่ำไป
เจ้าชายลำดับที่เก้า…
ผู้กอบกู้เอเวียง ตระเวนทัพช่วยป้อมปราการถึงสามป้อมในสามวัน
นี่อาจจะเป็นจุดกำเนิดของตำนานบทใหม่เลยทีเดียว
นางหลับไหลด้วยรอยยิ้มอย่างเขินอาย
&
ระหว่างที่ทหารประจำป้อมปราการพูดคุยถามไถ่กัน ด้านกำลังพลของอินกองต่างกระจายตัวพักผ่อนด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า
พวกเขาเหล่านี้วิ่งพล่านไปทั่วครั้งแล้วครั้งเล่าและยังร่วมการรบถึงสามครั้งติด หากทั้งหมดยังอยู่ในสภาพเพียบพร้อมจึงจะเรียกว่าแปลกประหลาด
ทันทีที่การต่อสู้สิ้นสุดลง คารัครีบตั้งกระโจมในคลังของป้อมปราการที่ห้า อินกองนำทุกสิ่งในคลังเข้าช่องเก็บของ เหลือเพียงสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น
แน่นอนว่าการตั้งกระโจมพักผ่อนในห้องคลังดูแปลกประหลาด แต่นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว
คณะของอินกองชุมนุมตัวกันในกระโจมที่ใหญ่ที่สุด
เคทลินผู้ที่ยังกระปรี้กระเปร่าเอ่ยปากด้วยรอยยิ้มเช่นเคย
“ฉัตรสุดยอด!”
ช่วยเหลือป้อมปราการถึงสามป้อมในเวลาเพียงสามวัน ยิ่งกว่านั้นเคทลินยังรับรู้ได้ถึงความปลาบปลื้มของเหล่าทหารที่มีต่ออินกอง กระทั่งกองกำลังผสมไลแคนโทรปกับเอลฟ์รัตติกาลก็ยึดถืออินกองเป็นผู้นำ
ตลอดการวิ่งตระเวนตามแผ่นหลังอินกองสามวันที่ผ่านมา เคทลินรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่มองแผ่นหลังนั้น นางรู้สึกอยากจะติดตามมัน
เฟลิซีอมยิ้มให้ถ้อยคำจากเคทลินก่อนทิ้งตัวลงบนพรมพูดด้วยเสียงจวนเจียนตาย
“ฉัตรเธอมันแย่มาก เธอคิดจะฆ่าฉันใช่ไหม?”
ถ้อยคำหยอกล้อบ่งบอกว่านางมิได้โกรธเคืองจริง
อินกองทำได้เพียงส่งสีหน้าขอขมาลาโทษ
“ขอโทษด้วยครับ”
ผู้ที่แบกภาระหนักอึ้งของกลยุทธนี้คือเฟลิซี ทั้งการใช้เวทมนตร์รักษา ทั้งการสนับสนุนการรบ เรียกว่านางอยู่ในสภาพกึ่งตายตลอดสามวัน
ร่างกายนางมิใช่นักรบเยี่ยงเคทลินหรืออินกอง ทำให้นางอ่อนล้าทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ
“อ๊าาาา… ตัวฉันแทบจะฉีกเป็นเสี่ยงๆแล้ว… ”
ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านจากทุกมัดกล้ามเนื้อ อินกองมองนางด้วยแววตาที่ไม่สบายใจนัก
“ขอโทษด้วยครับ ช่วยอดทนอีกนิดเดียวเท่านั้น”
ใจหนึ่งอินกองก็อยากให้เฟลิซีพัก แต่นางเป็นตัวแปรสำคัญที่ขาดไม่ได้ในกลยุทธ
“ฉัตรแย่มากกกกก”
เฟลิซีร้องโอดครวญ สภาพของนางแตกต่างจากเคทลินร้าวฟ้ากับเหว
“เรื่องนั้น… พวกเราควรหารือแผนการต่อจากนี้กันก่อน… เฟลิซีลุกขึ้น ช่วยรักษาภาพพจน์เจ้าหญิงของเผ่าเอลฟ์รัตติกาลด้วย!”
เอลิต้ากล่าวดุหลานสาวพลางพยุงตัวนางขึ้นนั่งเก้าอี้ สภาพของเฟลิซีไม่ต่างจากเดิม ไม่หลงเหลือมาดอะไรทั้งสิ้น เอลิต้าถอนหายใจยอมแพ้แล้วนั่งลงข้างนาง
คัปลานทำทีเป็นไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหันไปกล่าวกับอินกอง
“เจ้าชายฉัตร กำลังพลของเราเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากจากการรวมทหารจากป้อมทั้งสาม พวกเรายังชนะศึกถึง 3 ครั้งติดกัน ความสูญเสียฝ่ายเราก็น้อย เรียกได้ว่าขวัญกำลังใจทหารกำลังฮึกเหิมได้ที่”
จากกำลังพลราวสี่ร้อยกลายเป็นราวสองพัน
แม้จะมีการสูญเสียเกิดขึ้นบ้างจากการรบ แต่กำลังแรกเริ่มสี่ร้อยตนยังอยู่ครบ สมเป็นทหารระดับหัวกะทิ
การชนะอย่างต่อเนื่องย่อมเพิ่มขวัญกำลังใจ และยิ่งช่วยเหลือพวกพ้องทหารรักษาป้อมได้ทันการยิ่งสร้างความรู้สึกสำเร็จลุล่วงด้วย
หากตัดเรื่องที่ว่าระดับหัวหน้าต่างอ่อนล้า นี่เรียกได้ว่าเป็นสถานการณ์ดียิ่งสำหรับพวกเขา
คารัคหันมาถามอินกอง
“องค์ชาย ป้อม3 กับ ป้อม4 อยู่คนละทิศกันเลย แกจะเอายังไงต่อ?”
อินกองมีเหตุผลสองประการที่มุ่งสู่ป้อมปราการลำดับที่หกและเจ็ด
หนึ่งคือป้อมทั้งสองอยู่ในสภาวะฉุกเฉินสามารถแตกพ่ายได้ทุกเมื่อ สองคือเพื่อมิให้แวนเดลถูกศัตรูล้อมกรอบตัดเส้นทางเสบียง
ปราการลำดับที่สามและสี่อยู่ห่างกระจายออกไป นั่นทำให้อินกองไม่สามารถแวะไปที่ป้อมทั้งสองระหว่างเส้นทางได้ นอกจากนี้ปราการลำดับที่สี่ยังถูกศัตรูตีแตกยึดไว้เรียบร้อย
การเร่งรีบมาที่ป้อมปราการลำดับห้ายิ่งทำให้ความอ่อนล้าสั่งสมมากยิ่งขึ้น
อินกองจัดความคิดแผนการก่อนตอบออกมาในที่สุด
“พวกเราจะหยุดพักกันที่ป้อม5นี้ รุ่งขึ้นให้ทหารทั้งหมดพักผ่อนแล้วก็สอบสวนเชลย… พวกเราต้องการข้อมูลเกี่ยวกับพวกมันที่กระจายตัวอยู่”
นาตาช่าได้ทำในสิ่งที่อินกองกล่าวไว้เรียบร้อยแล้ว หรือก็คือการสอบสวนเชลยเรียกได้ว่าเป็นหน้าที่หลักในการรบของนางเมื่ออ้างอิงจากในเกม
“นั่นค่อยมีเหตุผลหน่อย”
คารัคพยักหน้า ด้านเฟลิซีก็แสดงอาการตอบสนองโล่งอกเล็กน้อย
คัปลานกล่าวต่อ
“เวลาก็ล่วงเลยมาสามวันแล้ว ทางวังจอมมารน่าจะมีแผนส่งกำลังเสริมมาเพิ่มเติม ยิ่งกว่านั้นเมื่อพูดถึงแม่ทัพแวนเดล ความสามารถของเขาเป็นที่วางใจว่าเรายังพอมีเวลา”
สถานการณ์เริ่มกลับมาในทางที่ดี
‘กำลังเสริมจากทางวังงั้นหรอ’
เหตุการณ์นี้แตกต่างไปจากครั้งกบฎเผ่าสายฟ้าชาด แน่นอนว่าทางวังย่อมไม่นิ่งเฉย
อินกองหลับตาใช้ความคิดเพิ่มเติม
เขาพยายามเทียบเคียงสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้กับความทรงจำจากในเกม
ในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า ราชาชนเถื่อนได้สวมหมวกมังกรทองแห่งราชา นั่นทำให้เขาสามารถระดมเหล่าชนเถื่อนทั้งหมดเป็นกองทัพใหญ่
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้หมวกมังกรทองแห่งราชาอยู่ที่อินกอง
เช่นนั้นราชาชนเถื่อนสามารถระดมพลได้อย่างไร?
‘อาชาสินะ’
คำตอบของอินกองมาจบที่ตัวแปรนอกเหนือจากในเกม อย่างที่อาชาแห่งอาสัญมีบทบาทสนับสนุนเหล่าภูติที่คลุ้มคลั่ง บางที่เขาอาจจะเป็นผู้สนับสนุนเบื้องหลังราชาชนเถื่อนเช่นกัน
และหากเป็นเช่นนั้นจริง พลังอำนาจของเขามากมายขนาดไหนกัน?
‘ช่วงเวลาสินะ’
การต่อสู้กับจีราดบ่งบอกอินกองว่าช่วงเวลาที่ได้รับพลังจากสี่ฑูตส่งผลต่อไอพลังที่สั่งสม อินกองเป็นอาชาแห่งอาณัติก่อนที่จีราดจะเป็นอาชาแห่งทุพภิกขภัย ทว่าในครั้งนี้ดูเหมือนอาชาแห่งอาสัญจะอยู่มานานกว่าตัวอินกอง อาจจะเป็นเดือน หรือเป็นปี
ถ้าเบื้องหลังคืออาชาแห่งอาสัญจริง…
จุดประสงค์เพื่ออะไรกัน? จุดจบของโลกอย่างที่แสงสุดท้ายกล่าว? สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมันเกี่ยวกับจุดจบของโลกอย่างไร?
อีกหนึ่งตัวแปรที่อินกองมองข้ามมาตลอด อาชาแห่งรณการ…
อาชาที่ว่ามีตัวตนหรือยัง? ถ้ามีแล้วอาชาแห่งรณการอยู่ที่ไหน?
คำถามที่เพิ่มคำถามอย่างไม่รู้จบ อินกองจัดระเบียบความคิดของเขาก่อนพุ่งเป้ากลับมาที่แวนเดลปะทะชนเถื่อน
“วันนี่พอแค่นี้แล้วแยกย้ายพักผ่อนเถอะ”
ท่าทางของเฟลิซีอาจทำให้เอลิต้าเสนอเช่นกันซึ่งสมาชิกทั้งหมดต่างเห็นด้วย คัปลานกับคารัคแยกย้าย เดเลียกับเอลิต้าพยายามอุ้มเฟลิซีออกไป หากแต่เฟลิซีส่ายหน้า
“น้าเอลิต้า ฉันพักที่นี้วันนี้ก็ได้”
เคทลินเงยหน้ามองเฟลิซีในทันที เอลิต้าขมวดคิ้วแต่มิใช่เพราะเคทลิน
“ที่นี่กระโจมของเจ้าชายฉัตร”
อินกองกับเคทลินใช้ลมปราณมหาศาลในการรบ ทั้งคู่จึงใช้คุณสมบัติพิเศษของแก่นจันทรากับแก่นบริวารในการฟื้นฟู
“ก็แค่นอนพักในกระโจม ยังไงก็มีทั้งเซร่ากับกรีนวินด์อยู่ด้วย”
เฟลิซีพูดอย่างอิดโรย เคทลินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“แบบนั้น… ก็ช่วยไม่ได้ เข้าใจแล้ว”
เอลิต้าถอนหายใจยอมแพ้ ส่วนเคทลินรีบกระตือรืนร้นเตรียมที่นอนให้เฟลิซี
เอลิต้าอมยิ้มมองสิ่งที่เกิดขึ้น
“สายสัมพันธ์พี่น้องเป็นเรื่องที่ดี เจอกันวันพรุ่งนี้”
“ราตรีสวัสดิ์คะ น้าเอลิต้า”
เอลิต้าลูบหัวหลานสาวก่อนเดินออกกระโจม
เดเลีย เฟลิซี เคทลิน เซร่า อินกอง ทั้งห้านองเรียงกัน แม้จะมีระยะห่างระหว่างเคทลินกับอินกอง แต่แก่นในตัวทั้งสองก็สามารถถ่ายทอดพลังกันได้หากระยะไม่มาก
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง
ปกติอินกองจะหลับเพียงลำพัง แม้เขาจะเริ่มคุ้นเคยกับเคทลินและเซร่าแล้ว แต่เมื่อรวมเฟลิซีกับเดเลียเข้าด้วยทำให้เขานอนไม่หลับ
อินกองพยายามนับแกะซึ่งไร้ผล เขาเงยตัวขึ้นมองเห็นเคทลินกอดเฟลิซีราวตุ๊กตาอย่างมีความสุข
เคทลินต้องการสนิทสนมกับพี่น้องตนอื่นอยู่ก่อนแล้ว แต่ด้วยความลับชาติกำเนิดทำให้เหตุการณ์กลับตาลปัตร
‘ไม่มีทาง’
อินกองต้องการจะปกป้องรอยยิ้มนี่ไว้ เขาหัวเราะเมื่อได้ยินเสียงเฟลิซีพึมพำ‘ฉัตรแย่มาก’ออกมา
เวลาล่วงเลย อินกองไม่รู้ตัวว่าเขาจ้องมองทั้งสองนานเพียงใด
แสงสีขาวสาดส่องลงจากเหนือศีรษะ และมีเสียงกระดิ่งดังขึ้นต่างไปจากทุกครั้งที่เขาเพิ่มระดับ
เสียงกระดิ่งทำให้เคทลินตื่นขึ้นตามมาด้วยเฟลิซี เดเลีย และเซร่า
“ฉัตร?”
“ใต้ฝ่าพระบาท?”
อินกองกระพริบตาอย่างงุนงง นั่นเพราะเขาได้ยินถ้อยคำบางอย่างจากสตรีนิรนามส
[สุขสันต์วันเกิด]
‘หา?’
[ครบรอบ 15 ปีบริบูรณ์]
[เลเวลของคุณเพิ่มขึ้น]
[ระดับขั้นอาชาแห่งอาณัติเพิ่มขึ้น]
[เพิ่มระดับขั้นทักษะ พลังพระเอก]
[เพิ่มระดับขั้นทักษะ ยันต์สมรภูมิ]
[ก้าวพ้นวัยเยาว์ สมรรถนะร่างกายเพิ่มขึ้น]
ถัดจากถ้อยคำอวยพร ตัวอักขระสีขาวก็เรืองขึ้น
แน่นอนว่าการต่อสู้สามวันที่ผ่านมาทำให้อินกองเพิ่มระดับเลเวล และในตอนนี้เขาก็เพิ่มระดับอีกครั้ง หรือบางทีนี่อาจเป็นของขวัญวันเกิดจากสตรีนิรนาม? ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาถึงระดับเลเวลสามสิบ ทักษะพลักพระเอกก็เพิ่มระดับขั้นอีกด้วย
อินกองหวนนึกถึงการสนทนาในงานน้ำชาของไบคาล
‘หรือนี่จะเป็นของขวัญที่ไบคาลว่า?’
วันนี้คือวันเกิดของเขา
แน่นอนว่าการเพิ่มระดับเลเวลย่อมเป็นเรื่องดี แต่เพิ่มระดับจากของขวัญวันเกิดทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาด และเขายังต้องพยายามอธิบายสมาชิกอื่น
ทันใดนั้นเอง…
“นายท่าน! ขอแสดงความยินดีด้วย!”
กรีนวินด์ปรากฏกายขึ้นป่าวประกาศ
“แสดงความยินดี?”
“วันนี้คือวันครบรอบวันเกิดของนายท่าน! ข้ารับรู้ได้จากพันธะระหว่างเรา”
กรีนวินด์ตอบคำถามจากเฟลิซีอย่างภาคภูมิ
“วันเกิด… ของฉัตร?”
“ทำไมเธอไม่บอกกันก่อน”
เคทลินกับเฟลิซีกล่าวติอินกอง
อินกองผงกหัว จะของขวัญวันเกิดหรือเหตุผลอะไร การที่เขาเพิ่มระดับเลเวลย่อมเป็นเรื่องที่ดี นี่หมายถึงค่าสถานะทั้งหลายที่เพิ่มขึ้น
‘เจ๋ง’
ไม่มีข้อเสียอะไร
ในขณะเดียวกันก็มีเสียงเอิกเกริกดังขึ้นจากด้านนอกกระโจม ก่อนคารัคจะโผล่เข้ามา
หรือว่าบางทีเจ้าออร์คจะรู้วันเกิดของเขาและมาร่วมแสดงความยินดีเช่นกัน?
ทว่าสีหน้าของมันกลับบ่งบอกอีกอย่าง
คารัคกล่าวถ้อยคำที่ดึงความสนใจทั้งหมด
“ทัพของพลเอกแวนเดลพ่ายแพ้”
&
ห่างออกไปที่ดินแดนแร้นแค้น ศพทหารมากมายก่ายกอง กลิ่นอายความตายลอยคละคลุ้งดึงดูดบรรดาสัตว์กินซาก สำหรับสัตว์เหล่านี้นี่คืออาหารเฉลินฉลองจำนวนมาก
กองทัพชนเถื่อนเคลื่อนพลโดยไม่สนใจอะไร สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอีกหนึ่งผลงานของพวกเขา
ซึ่งผู้นำทัพชนเถื่อนนี้ก็คือ…
ราชาเคราโตส ราชาชนเถื่อน!
ชายผู้กำเนิดท่ามกลางสนามรบ และมีชีวิตท่ามกลางสนามรบ
เคราโตสหันชำเลืองมองไปทางทิศเหนือ ก่อนหันก้าวเดินสู่เอเวียง
จบบทที่ 20 – บลิทซ์ครีค เริ่มบทที่ 21 – ชนเถื่อน