แวนเดลถือกำเนิดในสมรภูมิรบ
เขากำพร้าทั้งพ่อและแม่
เขาไม่รู้แน่ชัดถึงชาติกำเนิดของตนเอง มีเพียงความจริงที่ว่าแม่ของเขาเป็นโอเกอร์ แม่ของเขาอาจจะเป็นทหารสังกัดจอมมาร ทหารรับจ้าง หรือพลเรือนธรรมดา
พ่อของเขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มทหารรับจ้างเร่ร่อน ความทรงจำในวัยเด็กของเขาเลือนลาง แต่สิ่งหนึ่งที่เขาจำได้ชัดเจนคือกลุ่มทหารนี้มิใช่ทหารรับจ้างธรรมดาทั่วไป
ชีวิตเขาเป็นหนี้บุญคุณหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้าง ตัวเขาเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูของเหล่าสมาชิกในฐานะสัญลักษณ์นำโชค
ต้องขอบคุณลักษณะเด่นของโอเกอร์ในเรื่องพลังชีวิตที่ทำให้แวนเดลอยู่รอดมาได้ หากเปรียบเทียบกับบรรดาโอเกอร์ทั่วไป เรียกได้ว่าเขาจัดอยู่ในกลุ่มผ่าเหล่าที่มีคุณสมบัติสูงกว่าปกติ
บันทึกชีวิตวัยเยาว์ของแวนเดลอาจเรียกได้ว่าเป็นจารึกประวัติสงคราม ไม่ว่าจะเป็นการรบที่ได้เปรียบเสียเปรียบ สมรภูมินองเลือดที่เข่นฆ่าอย่างบ้าระห่ำ หรือสมรภูมิที่ทั้งสองฝ่ายต่างถอนทัพ แวนเดลเคยผ่านทั้งเป็นฝ่ายกระทำและฝ่ายถูกกระทำ
หลากสนามรบทั้งชนะและพ่ายแพ้… ประสบการณ์ที่สั่งสมในตัวมากเกินกว่าจะนับ มีบางการศึกที่โดดเด่นจนเขาสามารถจดจำได้อย่างฝังใจ
หนึ่งในนั่นคือเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วันก่อน
เป็นการพ่ายแพ้อย่างย่อยยับหมดรูป เรียกได้ว่าย่ำแย่ที่สุดจากประสบการณ์ที่แวนเดลสั่งสม
ทหารราวเก้าพันตน… ไม่ทราบจำนวนรอดชีวิต… ไม่ทราบจำนวนสูญเสีย… ไม่ทราบจำนวนสูญหาย… หลักฐานความจริงที่บ่งบอกถึงความเลวร้ายในสถานการณ์ของเขา
จำนวนทหารที่แวนเดลควบคุมอยู่ตอนนี้มีราวสองพันตนโดยประมาณ แน่นอนว่าหากเขารวบรวมกำลังพลที่แตกกระจายอาจได้จำนวนมากกว่านี้ แต่ศัตรูก็มิปล่อยให้เขาทำได้อย่างใจคิด
หน่วยแกะรอยของศัตรูพบตำแหน่งของแวนเดล ทหารชนเถื่อนหลายพันล้อมกรอบไล่ล่าแวนเดล ทหารเหล่านี้มิใช่ทัพหลักของราชาชนเถื่อนแต่อย่างใด เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่แยกออกมาเพื่อไล่ล่าแม่ทัพศัตรูที่พ่ายแพ้เท่านั้น
กำลังพลของแวนเดลล้วนอ่อนล้า ส่วนใหญ่บาดเจ็บ บ้างลมตาย และบางส่วนหนีทัพเนื่องจากไม่เห็นโอกาสคว้าชัยชนะ
แวนเดลที่ปกติอยู่เบื้องหน้านำทัพย้ายตำแหน่งตนเองอยู่เยื่องไปทางด้านหลังลึกที่สุด หากแต่มิใช่เพื่อตรวจตราป้องกันการหนีทัพ
แวนเดลมิได้กลัวตาย ทว่ากลายตายของแม่ทัพย่อมทำให้เหล่าทหารเสียขวัญ หากพวกเขาหวังโอกาสในการพลิกเอาชนะศัตรู แวนเดลต้องรอด
ฝุ่นละอองคละคลุ้งบ่งบอกถึงเหล่าชนเถื่อนที่ไล่ล่าตามหลัง เกิดการปะทะเล็กน้อยตลอดหลายวันที่แวนเดลพยายามถอยหนี ไม่ว่าจะด้วยจำนวนหรือความเพรียบพร้อมของกำลังพล แวนเดลเป็นรองในทุกด้าน
แวนเดลถอนหายใจ เขากำหมัดชูขึ้นส่งท้องฟ้า
ในเมื่อผลลัพธ์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แวนเดลเลือกที่จะกลับมาบัญชาการรบแนวหน้า
‘ไม่สิ ไม่ใช่ข้ออ้างอะไรพรรค์นั้น’
ศรธนูที่พุ่งทะลวงทัพข้าศึก หรือในอีกนัยหนึ่งก็คือโล่เนื้อที่ถูกส่งไปเพื่อพลีชีพ
ที่แวนเดลต้องทำก็เพียงบุกตะลุยสร้างความโกลาหลในทัพศัตรูเพื่อให้ฝ่ายตนชิงข้อได้เปรียบมาได้ ไม่ว่าจะกองทหารใดต่างก็ตบรางวัลตามผลงาน แน่นอนว่าสำหรับเหล่าชนเถื่อน ศีรษะแม่ทัพข้าศึกอย่างแวนเดลย่อมเรียกได้ว่าเป็นผลงานชั้นดี
เสียงอึกทึกดังมากขึ้น รุนแรงขึ้นจากฝีเท้าสัตว์สงครามที่ย่างกรายเข้ามา
แวนเดลกับองครักษ์ประจำตัวเตรียมพร้อมรบ ตำแหน่งยืนองครักษ์มือขวาว่างเปล่า ออร์คผู้ซื่อสัตย์เสียชีวิตระหว่างการต่อสู้กับราชาชนเถื่อนเพื่อให้แวนเดลหลบหนี
แวนเดลส่งพลังไปยังมือทั้งสองที่กุมอาวุธ บาดแผลจากการต่อสู้กับราชาเคราโตสทำให้แขนข้างซ้ายควบคุมได้อย่างยากลำบาก ขาข้างขวาเจ็บแปลบในทุกครั้งที่เขาขยับตัว
สภาพร่างกายเช่นนี้ แวนเดลจะต่อสู้ทำศึกได้อย่างไร? แต่อย่างไรเสียสนามรบก็อยู่เคียงข้างเขามาทั้งชีวิต และโอเกอร์ตนนี้ก็เลือกที่จะตายในสนามรบ
แวนเดลนึกถึงหัวหน้าหน่วยทหารรับจ้างที่ชุบเลี้ยงเขา คำพูดติดปากหัวหน้าลอยขึ้นมา
‘นี่เป็นวันที่ดีที่จะตาย’
แวนเดลหัวเราะออกมา ถ้อยคำที่ฟังดูไร้สาระ หรือว่าบางทีวันนี้จะเป็นวันดังกล่าว?
# It is a good day to die! คำพูดปลุกเร้าของทหารในยามเผชิญการรบที่ไร้หนทางชนะ
# เป็นวันที่ดีที่จะตาย แต่ผู้พูดไม่คิดจะตายในวันนี้
“พวกมันมาแล้ว”
แวนเดลกล่าว หน่วยทหารกระชับอาวุธของตนให้พร้อมปะทะ
ฝุ่นละองตลบคละคลุ้ง เสียงกู่ร้องคำรามศึกมากมายปะปนกับเสียงฝีเท้าสัตว์สงคราม
แวนเดลแผดเสียงคำรามร้องออกมา เสียงอันดังสนั่นระยะประชิดทำให้สัตว์ภาหนะของศัตรูมีอาการชะงักเล็กน้อย แต่ก็มากพอทำให้เสียรูปกระบวน
แวนเดลเค้นลมปราณไปทั่วร่างแล้ววิ่งกระโจนเข้าหาศัตรู
“บุก!”
แล้วกำลังพลของทั้งสองฝ่ายก็เข้าปะทะตะลุมบอล
&
ในการต่อสู้ปราบกบฏเผ่าสายฟ้าชาด
ยาคุซันหัวหน้าเผ่าเลือกกุมอาวุธต่อสู้ยืนหยัดจนตัวตาย
แวนเดลก็คิดเช่นกัน
“โฮก!”
แวนเดลคำรามเหวี่ยงค้อนศึกใส่ศัตรู พละกำลังของโอเกอร์รวมเข้ากับอาวุธไร้คมอย่างค้อนส่งผลให้วิชากายแกร่งไร้ประโยชน์ ชนเถื่อนโดนเหวี่ยงกระเด็นและบาดเจ็บจากบาดแผลภายใน
แวนเดลวิ่งฝ่าเข้ากลางดงศัตรู ค้อนในมือทั้งสองข้างเหวียงควงราวกับพายุ กระบวนทัพของเหล่าชนเถื่อนถูกโอเกอร์ตนนี้บุกตะลุยจนเสียรูป
ถึงกระนั้นเหล่าชนเถื่อนก็ใช่ว่าจะไร้สมอง เมื่อรู้ว่าไม่สามารถปะทะด้วยซึ่งหน้า พวกเขาก็เปลี่ยนใช้หอกซัดแทน แวนเดลจับร่างของชนเถื่อนที่หมดสติใช้เป็นโล่กำบังอาวุธขว้าง แต่ก็ไม่อาจป้องกันปริมาณทั้งหมดได้ ไหล่กับแขนขวาทั้งแขน ข้อเข่าทั้งสองข้าง สีข้าง และอกโดนเสียบทะลุ
แวนเดลพุ่งเข้าหาศัตรูโดยป้องกันเพียงศีรษะของตนเท่านั้น เสียงคำรามร้องอันเจ็บปวดและเกรี้ยวกราดดังจากทั้งแวนเดลและชนเถื่อน
แม้แวนเดลจะใช้ร่างชนเถื่อนเป็นโล่กำบัง แต่ชนเถื่อนที่เหลือก็มิได้สนใจความปลอดภัยพวกพ้อง หอกซัดถูกขว้างอย่างต่อเนื่อง เสียบทะลุร่างของชนเถื่อนที่เป็นโล่ไปยังตัวโอเกอร์คลั่ง หากจ้องมองที่หอกเหล่านี้จะพบว่าพวกมันปกคลุมด้วยไอพลังสีแดงเบาบาง และชนเถื่อนบางตนก็แผ่ไอพลังสีแดงนี้ออกมาอย่างชัดเจน
แวนเดลส่งลมปราณเข้าค้อนศึกแล้วขว้างมันขึ้นไปกลางอากาศ ลมปราณภายในระเบิดออกแผ่ทำลายหอกซัดในระยะ บางส่วนที่ไม่ถูกทำลายก็โดนปรับเปลี่ยนแนววิถี
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
แววตาของแวนเดลเรืองแสงออกมาอย่างประหลาด แม้จะเพียงเบาบาง แต่ร่างกายของเขาถูกปกคลุมด้วยไอพลังสีน้ำเงิน
แวนเดลหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาพุ่งเข้าหาชนเถื่อนที่เรืองไอพลังสีแดง ด้วยปกติร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลเช่นนี้ย่อมไม่อาจทำได้ เรียกได้ว่ามีแต่ผู้ที่คลุ้มคลั่งเท่านั้น
เหล่าชนเถื่อนที่ขวางทางต่างถูกปัดออก บ้างสลบ บ้างกะโหลกแตกตาย ชนเถื่อนที่เรืองไอพลังสีแดงก็เช่นกัน เขาไม่อาจต้านทานพลังทำลายจากแวนเดลได้ ร่างกายบริเวณที่โดนค้อนซัดระเบิดออกตายคาที่
หอกเสียบแทงทะลุจากด้านหลังของแวนเดลทำให้เขาได้สติร้องคำรามเหวี่ยงค้อนโจมตีศัตรู แววตาเขากลับเป็นดังเดิมและไอพลังที่ว่าถูกลมปราณขับเคลื่อนชำระล้างหายไป แวนเดลเตรียมโจมตีต่อ แต่เหล่าชนเถื่อนไม่ปล่อยโอกาส ชนเถื่อนเหล่านี้ล้วนแผ่ไอพลังสีแดงออกมา แวนเดลทำได้เพียงตั้งรับ บาดแผลที่สั่งสมเพิ่มพูนมากขึ้น บาดแผลเหล่านี้ส่งมอบความเจ็บปวดไปทั่วร่าง
ค้อนศึกของแวนเดลไม่สามารถรับภาระท่ามกลางการต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อนได้อีกต่อไป แวนเดลระเบิดค้อนด้วยลมปราณอีกครั้งแล้วเตรียมใช้หมัดเข้าต่อสู้ต่อ แม้โอเกอร์จะมีพลังชีวิตที่มากกว่าเผ่าอื่นแต่กระนั้นร่างกายสิ่งมีชีวิตย่อมมีขีดจำกัด แวนเดลเสียเลือดไปมากจากการต่อสู้ ทัศนวิสัยของเขาเริ่มพร่ามัว การเคลื่อนไหวของร่ากายช้าลง ลมปราณแตกกระจายเกินจะควบคุม
หอกจำนวนมากยังคงพุ่งซัดใส่ร่างโอเกอร์ที่อ่อนแรง แม้ศัตรูเพลี่ยงพล้ำแต่เหล่าชนเถื่อนก็ไม่ประมาท ชนเถื่อนตนหนึ่งกระโจนเข้าหมายตัดศีรษะแวนเดลแต่ก็ถูกหมัดต่อยสวนเข้าอย่างไม่คาดคิดตายคาที่
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
เสียงหัวเราะครั้งสุดท้าย
แวนเดลหัวเราะให้กับความตายที่กำลังมาเยือน ทว่าเขาไม่รอความตาย เขากระโจนเข้าหามัน แวนเดลแค้นพลังที่เหลือเตรียมส่งหมัดสังหารศัตรูให้มากที่สุดเท่าที่สามารถทำได้!
บรึ้ม!
เสียงระเบิดดังขึ้นจากอกของแวนเดล หอกที่เรืองไอพลังสีแดงทั้งหมดระเบิด บาดแผลเหวอะหวะทำให้ร่างกายของโอเกอร์ตนนี้ล้มกองกับพื้นในที่สุด เหล่าชนเถื่อนต่างกรูเข้าใช้หอกแทงซ้ำ
‘จบสิ้นแล้วสินะ’
อาจเรียกว่าโชคดีที่หัวใจของแวนเดลยังไม่บุบสลาย เขาใช้แรงอีกเฮือกคว้าขยี้ข้อเท้าชนเถื่อน แวนเดลจ้องมองท้องฟ้าที่ถูกชนเถื่อนจำนวนมากบดบัง ท้องฟ้าปลอดโปร่งอันงดงาม
‘นี่เป็นวันที่ดีที่จะตาย’
แวนเดลพยายามหัวเราะแต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา เขาหลับตาลง
ทันใดนั้นก็มีก้อนอุกกาบาตสีน้ำเงินตกจากท้องฟ้าลงมาข้างกายแวนเดล สะเก็ดสีขาวกับดำแตกออกกระแทกใส่เหล่าชนเถื่อนที่รายล้อม
แวนเดลลืมตาอีกครั้ง ภาพอันพร่ามัวแสดงเพียงร่างของบางสิ่งสีขาวขาวปะปนควบคู่สีน้ำเงิน หูของเขาไม่อาจได้ยินข้อความที่สิ่งนั่นบอกกล่าว ทว่าด้วยเหตุผลบางประการเขากลับนึกถึงเด็กหนุ่มตนหนึ่ง
‘เพราะอะไรกัน?’
แวนเดลพยายามเอ่ยถ้อยค้ำบางอย่าง ในขณะเดียวกันร่างที่มาจากอุกกาบาตก้อนนั้นก็ชูบางสิ่งสีขาวและปักมันลง
“ใต้ร่มเงากษัตริย์!”
ครืน!
ทั้งที่สูญเสียการได้ยิน แต่แวนเดลกลับรับรู้ถ้อยคำนั้น แสงสีขาวระเบิดออกจากบางสิ่งที่ถูกปัก มันแผ่กระจายออกไปรอบอาณาบริเวณ
พระราชา…
แผ่นหลังของกษัตริย์
&
หลังจากจัดการเหล่าชนเถื่อนที่ห้อมล้อมแวนเดล อินกองก็จ้องมองไปเบื้องหน้า เขาจ้องมองไปยังเหล่าชนเถื่อนที่แผ่ไอพลังสีแดง แม้จะเป็นครั้งแรกที่เขาพบเห็นไอพลังนี้แต่เขาก็รับรู้ได้ทันที ไอพลังแห่งรณการ
ทักษะใต้ร่มเงากษัตริย์จึงประจวบเหมาะกับสถานการณ์นี้ พลังแห่งอาณัติช่วยผลักการคุกคามจากพลังแห่งรณการ และยังช่วยให้ทหารของแวนเดลสามารถต่อการกับเหล่าชนเถื่อนที่ได้รับพลังแห่งรณการได้
‘บัญชา’
เสียงกระซิบจากสตรีนิรนามดังขึ้น
‘ยึดครองพลังของนาง ปกครองและควบคุม!’
อาชาแห่งรณการมิได้อยู่ที่นี่ ไอพลังแห่งรณการเหล่านี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวที่ถูกส่งมอบ นั่นทำให้พลังแห่งรณการไม่สามารถคุกคามพลังแห่งอาณัติได้
อินกองดึงธงขึ้นชี้ไปยังเหล่าชนเถื่อน ไอพลังแห่งอาณัติพุ่งถาโถมเข้าชะล้างไอพลังแห่งรณการ
“ฉัตร!”
เคทลินเรียกเขาจากอ้อมแขน
อินกองปล่อยเคทลิน เขาหันมองไปยังโล่ชีวาตม์ทั้งสองที่โบยบินเชือดเฉือนชนเถื่อน แม้ศัตรูจะถูกผลักออกไปบ้าง แต่บริเวณนี้ทั้งหมดรายล้อมไปด้วยเหล่าชนเถื่อน มีเพียงอินกองกับเคทลินสองตนเท่านั้นที่กระโจนเข้ามาช่วยแวนเดลอย่างกระชั้นชิด
ย้อนกลับไปหลายชั่วโมงก่อน เมื่อคณะของอินกองหารือแผนการที่ป้อมปราการที่ห้าเสร็จสิ้น พวกเขารับรู้เส้นทางหลบหนีของแวนเดลอย่างคร่าว อินกองมองผ่านดวงตาของกรีนวินด์จากท้องฟ้า ส่วนตัวเขาเองก็ชำเลืองสังเกตแผนที่ย่อเป็นระยะ
กว่าเขาจะพบตัวแวนเดล การต่อสู้ก็เริ่มขึ้นแล้ว อินกองจึงรีบรุดหน้ามากับเคทลินด้วยโล่ไวท์อีเกิ้ล ทิ้งให้เอลิต้ากับคัปลานเป็นผู้นำกำลังทัพ
ระหว่างการบินสู่จุดหมาย อินกองใช้เวลานั้นวิเคราะห์สถานการณ์ แวนเดลถูกห้อมล้อมด้วยศัตรูนับพัน
ทั้งอินกองกับเคทลินโคจรแก่นจันทรากับแก่นบริวารเผื่อส่งทอดพลัง จากนั้นเขาใช้ทักษะจากฮูกคุ้มภัยในการพุ่งเข้าจุดหมาย ส่วนโล่อีเกิ้ลทั้งสองเป็นหน้าที่ของกรีนวินด์
กลับมาที่ปัจจุบัน…
เมื่อการคุกคามจากพลังแห่งรณการลดลง อินกองก็เตรียมพสุธากัมปนาทให้พร้อมต่อสู้
“กัมมะ!”
ทักษะรับสั่งอัญเชิญตัวกัมมะให้ปรากฏตัว นางมีสีหน้าประหลาดใจชั่วครู่ก่อนปรับตัวเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อินกองไม่จำเป็นต้องสั่งการอะไร กัมมะรุดหน้าเข้าทำการรักษาแวนเดล เศษหอกถูกดึงออกจากร่างตามด้วยพรฟื้นฟูของดรูอิด
‘นายท่าน!’
กรีนวินด์ร้องเตือนอินกองพลางร่ายพรแห่งสายลม โล่ทั้งสองยังคงบินสะกัดการถาโถมของเหล่าชนเถื่อน แต่อาจทำได้เพียงไม่นาน
“องค์ชายเก้า… ”
เสียงอันแผ่วเบาดังขึ้นทำให้อินกองต้องหันหลังกลับ ร่างที่ชโลมไปด้วยบาดแผลของแวนเดลส่งยิ้มมาให้เขา ร่างกายแวนเดลสั่นเทาพยายามขยับเขยื่อนอย่างทุลักทุเล ท้ายที่สุดแวนเดลก็ทำได้เพียงขยับยื่นนิ้วมือให้อินกอง
เวลาค่อนข้างกระชั้นชิด ถึงแม้พลังแห่งรณการจะถูกผลักให้ล่าถอยและมีโล่ชีวาตม์คอยคุ้มกัน แต่ด้วยจำนวนชนเถื่อนแล้ว อินกองเหลือเวลาเตรียมการไม่มาก
ถึงกระนั้นอินกองก็เดินเข้าจับนิ้วแวนเดลราวกับจับมือ
แสงสีขาวแผ่ออกสู่แวนเดล ทั้งสองพยักหน้าให้กัน ก่อนอินกองจะหันไปทางเคทลิน
“รบกวนนูนะช่วยคุ้มกันแม่ทัพแวนเดลกับกัมมะด้วยครับ”
“ไม่มีปัญหา เธอระวังตัวด้วยละ”
“นูนะก็เหมือนกันครับ”
เคทลินขยับเข้าระวังภัยให้แวนเดลกับกัมมะ ส่วนอินกองก็เรียกโล่ชีวาตม์กลับมา โล่ทั้งสองกลับรวมตัวประกอบกันเป็นโล่ชีวาตม์ดั้งเดิมติดเข้าที่แขนซ้ายของเขา
เมื่อโล่บินทั้งสองหายไปเผยให้เห็นช่องว่างระหว่างเหล่าชนเถื่อนกับกลุ่มของอินกอง เหล่าชนเถื่อนต่างเห็นว่านี่เป็นโอกาสทอง พวกมันกู่ร้องอย่างดีใจแล้วถาโถมเข้าสู่อินกอง
‘นายท่าน’
กรีนวินด์ร้องเตือน อินกองรวมลมปราณเค้นส่งไปยังแก่นมังกรในตัว
‘โลหิตมังกร’
พลังสายเลือดมังกรตื่นตัวขึ้นในร่าง…
จากนั้นอินกองใช้พลังสายเลือดมังกรนี้เรียกใช้อีกทักษะหนึ่ง
“อสูรทมิฬ”
เสียงจากอินกองเป็นเพียงเสียงกระซิบท่ามกลางพายุเสียงโห่ร้องของเหล่าชนเถื่อน
ทักษะพิเศษของฮูกราตรีอันของวิเศษแห่งพญามังกรไคทีน
#หลังไมค์ไปถาม admin เว็บแมว นิยายเรื่องนี้รอด แฮ่~
#อาจเพราะเป็นนิยายเก่าแล้ว(?) เลยไม่มีสำนักพิมพ์ไหนสนใจเพ่งเล็ง
#สรุปว่าแปล(อู้?)ต่อได้ (๑˃̵ᴗ˂̵)و